ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 218 ไม่อยากตาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 218 ไม่อยากตาย

ในห้องครัวเหลือเพียงเฉาฮวาและซิ่วเย่ว์สองคน

เฉาฮวามองซิ่วเย่ว์ ซิ่วเย่ว์ก็มองเฉาฮวา

ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก แต่ก็ห่างกันราวกับอยู่คนละโลกเนื่องจากสิ่งที่ทั้งสองประสบตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา

ความใกล้ชิดสนิทสนมและพูดคุยกันได้ทุกเรื่องในอดีตกลายเป็นความเงียบในยามนี้

เฉาฮวาเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ซิ่วเย่ว์…” นางเรียกเบาๆ

มือของซิ่วเย่ว์ที่จับมีดสั่นสะท้าน นางเบือนสายตาหนีพลางหั่นปลาอย่างรวดเร็ว

“ซิ่วเย่ว์ ข้าเฉาฮวาเอง” เฉาฮวาพูดเสียงเบา

ซิ่วเย่ว์ใส่ชิ้นปลาที่บางเหมือนปีกจักจั่นลงในชามลึกที่วางอยู่ข้างๆ น้ำเสียงราบเรียบ “กุ้ยเหรินจำผิดคนแล้ว ซิ่วเย่ว์ตายไปนานแล้ว เฉาฮวา…ก็ตายไปนานแล้วเช่นกัน”

ผู้ที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้คือยายอัปลักษณ์และอวี้เสวี่ยนซื่อ

เฉาฮวาตะลึง ดวงตาฉ่ำชื้น พึมพำว่า “นั่นน่ะสิ ซิ่วเย่ว์และเฉาฮวาตายไปนานแล้ว”

ตั้งแต่ที่ท่านหญิงจากไป พวกนางก็ไม่ใช่เฉาฮวาและซิ่วเย่ว์อีก เป็นแค่คนน่าเวทนาที่มีลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงยืนอยู่ที่นี่” ซิ่วเย่ว์ลูบผิวมีดที่เย็นยะเยือก ปลายนิ้วของนางมีกลิ่นคาว

น้ำเสียงของนางเย็นเยียบยิ่งกว่าสีหน้า

ชั่วขณะหนึ่ง เฉาฮวารู้สึกถึงความเจ็บปวดอันแหลมคมจู่โจมเข้ามา เจ็บจนนางหายใจไม่ออก

ตั้งแต่ที่เดาว่าซิ่วเย่ว์ยังมีชีวิตอยู่ นางก็เคยคิดหลายครั้งว่าหากซิ่วเย่ว์เจอนางแล้วจะพูดอะไร

แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะไม่ได้ยินนางเรียกตนว่าพี่เฉาฮวาอีกแล้ว

ทว่าถึงแม้จะเตรียมใจมาแล้ว เมื่อได้ยินซิ่วเย่ว์พูดเช่นนี้ นางก็ยังคงรู้สึกเจ็บเข้ากระดูก

“ข้า…” เฉาฮวาอ้าปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

หรือว่าต้องให้นางอธิบายว่านางทำเพื่อกำไลของท่านหญิง รอคอยความหวังอันริบหรี่

สำหรับซิ่วเย่ว์แล้ว เกรงว่านี่คือข้อแก้ตัวในการดำเนินชีวิตอันต่ำต้อยของนาง

กี่ค่ำคืนที่นอนข้างกายชายคนนั้น บางครั้งบางคราวนางมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ที่นางกำลังทุกข์ทรมานกับโรคขาดผู้ชายไม่ได้เพราะความโลภและความกลัวตาย นางไม่เคยได้รับคำสั่งของท่านหญิง นี่เป็นเพียงกำไลธรรมดาๆ คู่หนึ่งในสินเดิมเหล่านั้นเท่านั้น

กำไลวงนี้เคียงข้างนางมาหลายปี แต่นางก็ไม่เห็นว่าจะมีความพิเศษอย่างใด

นางจะมีหน้าอธิบายให้ซิ่วเย่ว์ฟังได้อย่างไร

“ข้าไม่อยากตาย ก็เลยติดตามรัชทายาท” เฉาฮวากัดลิ้นเบาๆ พูดทีละพยางค์ออกมา

เปลือกตาของซิ่วเย่ว์สั่นเล็กน้อย ปิดบังแสงที่หายวับไป

ท่านหญิงบอกว่าเฉาฮวาเป็นคนอ่อนไหว หากนางไม่ได้เปลี่ยนไป นางจะต้องบิดเบือนคำพูดแน่

ท่านหญิงให้นางเป็นคนตัดสินใจ แต่นางยังคงโง่เขลาเกินไป

ซิ่วเย่ว์เงยหน้ามองเฉาฮวาตาไม่กะพริบ

จู่ๆ เฉาฮวาก็รู้สึกอยากหนีไปให้ไกล

แต่นางทำไม่ลง

โอกาสที่จะได้เจอซิ่วเย่ว์คือสิ่งที่นางครุ่นคิดหาวิธีอย่างหนัก นางจะเดินจากไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

เฉาฮวาเม้มปากแน่น สายตาที่มองซิ่วเย่ว์แฝงความเจ็บปวด

ซิ่วเย่ว์มองดวงตาที่ทั้งคุ้นเคยและห่างเหินนั่น เจ็บปวดในใจ ใบหน้ากลับนิ่งและเยือกเย็น “เช่นนั้นท่านมาหาข้าทำไม กุ้ยเหรินคิดจะนำตัวข้าเข้าวัง ทำอาหารที่ถูกปากให้ท่านกินหรือ”

เฉาฮวากำหมัดแน่น ยิ้มหยันตนเอง “ข้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่เจ้าเป็นแม่ครัวของคุณหนูลั่ว เสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาทไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น”

“เช่นนั้นคงไม่ใช่เพราะต้องการรำลึกความหลังหรอกนะ” มุมปากของซิ่วเย่ว์เจือความหยันเช่นกัน “บัดนี้สถานะของท่านและข้าต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้าคิดว่าไม่มีอะไรน่ารำลึกถึงหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เว้นจังหวะ มองฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ “หรือว่าท่านอยากจะส่งตัวข้าให้รัชทายาทสร้างคุณงามความดี”

“เปล่านะ!” เฉาฮวาโพล่งพูด

ซิ่วเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านเบาเสียงลงหน่อยเถอะ”

เฉาฮวาบีบมือตนเองแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่ยากจะควบคุม พูดเสียงเบาว่า “ซิ่วเย่ว์ ถึงอย่างไรเจ้าและข้าก็โตมาด้วยกัน นับได้ว่าเป็นพี่น้อง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เคยคิดทำร้ายเจ้า”

ดูซิ่วเย่ว์ราวกับหมดความอดทน นางพูดเสียงเยือกเย็นว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านที่ไม่คร่าชีวิต”

จู่ๆ ก็มีสิ่งของบางอย่างยัดใส่ในมือของนาง

ซิ่วเย่ว์ก้มมองกำไลในมือ ชะงักงัน

เฉาฮวาฝืนยิ้มพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจเป็นเพื่อนกับข้า ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า กำไลวงนี้ข้าให้เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึก…”

ซิ่วเย่ว์ยัดกำไลกลับไป

เฉาฮวาชะงัก อธิบายด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มขมขื่นว่า “ท่านหญิงเป็นคนทิ้งกำไลวงนี้ไว้ ไม่ใช่กำไลจากพระราชวัง เจ้าแค่เก็บไว้ก็พอ ถึงแม้ไม่อยากรำลึกถึงข้า ก็ถือว่าช่วยเก็บรักษากำไลของท่านหญิงให้ดีเถิด”

หลังจากผ่านเรื่องราวแย่งชิงกำไลกับชายารัชทายาทมา ทำให้นางยิ่งตระหนักรู้ถึงอันตรายในพระราชวัง

เดิมนางคิดว่านางจะเก็บรักษาสิ่งของที่ท่านหญิงเก็บรักษาไว้ได้ดีโดยอาศัยรัชทายาท นางยังคงใสซื่อเกินไป

บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่เหมาะสมที่จะฝากกำไลไว้ไปมากกว่าซิ่วเย่ว์แล้ว

ซิ่วเย่ว์ภักดีต่อท่านหญิง บัดนี้กลายเป็นแม่ครัวของคุณหนูลั่ว ด้วยสถานะของคุณหนูลั่วเพียงพอที่จะดูแลความปลอดภัยนางได้

พูดอีกนัยหนึ่ง แม้ต่อไปซิ่วเย่ว์จะสูญเสียการคุ้มครองจากคุณหนูลั่ว แต่ด้วยสถานะแม่ครัวใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงก็คงไม่มีคนทำให้นางลำบาก

ใครจะไปมีปัญหากับแม่ครัวที่ทำอาหารอร่อยๆ บ้างเล่า สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือชิงตัวนางกลับไปเป็นแม่ครัวต่างหาก

ส่งกำไลให้ซิ่วเย่ว์ดูแลต่อ นางวางใจมาก

“ข้ารับไว้ไม่ได้”

“ซิ่วเย่ว์…” เฉาฮวากัดริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยคำขอร้องวิงวอน

ซิ่วเย่ว์เกลียดนางเช่นนี้เลยหรือ

ซิ่วเย่ว์รู้สึกเศร้าเมื่อเห็นเฉาฮวาเป็นเช่นนี้ นางถามเสียงเบาว่า “ที่เจ้าไม่อยากตายเพราะกำไลวงนี้หรือ”

เฉาฮวาถอยหลังไปหลายก้าว มองซิ่วเย่ว์ด้วยสายตาเหลือเชื่อ

ซิ่วเย่ว์ราวกับจะคาดเดาการตอบสนองเช่นนี้ของนางได้แต่แรก นางดูสงบนิ่งกว่ามากพลางหยิบต้นหอมขึ้นมาค่อยๆ ปอก

“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เฉาฮวาถามเสียงสั่น

เรื่องกำไล ท่านหญิงบอกนางเพียงคนเดียว ซิ่วเย่ว์รู้ได้อย่างไร

บางทีนางอาจจะเข้าใจผิด สิ่งที่ซิ่วเย่ว์พูดไม่ใช่ความหมายเดียวกับที่นางคิด

“ซิ่วเย่ว์ เจ้าพูดว่าอะไร”

ซิ่วเย่ว์มองนาง ดวงตาร้อนผ่าว พูดเสียงเบาว่า “เจ้ารับปากท่านหญิงว่าจะเก็บรักษากำไลวงนี้ไว้อย่างดีมิใช่หรือจึงได้พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เฉาฮวาม่านตาหด มือปิดปากแน่น

ซิ่วเย่ว์ก้มหน้าลง จัดการวัตถุดิบต่อไป

นางมาที่นี่เพื่อทำอาหาร หากจะสนทนาเพียงอย่างเดียวจะไม่มีคำอธิบาย

ส่วนเฉาฮวาตกอยู่ในความเงียบนานแสนนาน

นานจนห้องครัวเริ่มมีกลิ่นหอมโชย นางถึงเพิ่งเรียกสติคืนได้

“ซิ่วเย่ว์…”

ซิ่วเย่ว์ใช้ช้อนไม้คนน้ำแกงเปรี้ยวที่กำลังเดือดเบาๆ ราวกับไม่ได้ยินนางเรียก

เฉาฮวาเดินขึ้นหน้า สายตาหยุดอยู่ที่น้ำแกงที่กำลังเดือด ถามเสียงเบาว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ซิ่วเย่ว์จับช้อนไม้แน่น พูดทีละพยางค์ว่า “ท่านหญิงบอกข้า”

เฉาฮวาจับข้อมือซิ่วเย่ว์ไว้แน่น มือข้างที่สวมกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีวงนั้นสั่นไหวไม่หยุด

“ควบคุมอารมณ์ด้วย” ซิ่วเย่ว์เตือนเบาๆ

เฉาฮวากัดริมฝีปากแน่น มิอาจควบคุมอาการสั่นสะท้านของเรือนร่างได้

น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงไปในหม้อที่กำลังเดือด

“ท่านหญิง… เข้าฝันเจ้าหรือ”

ซิ่วเย่ว์ผละมือออกจากมือของเฉาฮวาเบาๆ คนน้ำแกงต่อไปด้วยช้อนไม้

น้ำตาหยดนั้นผสานกับน้ำแกงไปนานแล้ว ไม่เหลือร่องรอยใดๆ

“เปล่า” ซิ่วเย่ว์ตอบเสียงเบา “ท่านหญิงก็คือคุณหนูลั่วอย่างไรเล่า”

ท่านหญิงบอกว่า หากเฉาฮวาส่งกำไลให้นางด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ปรับไปตามสถานการณ์บอกความลับให้เฉาฮวาฟังได้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท