ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 226 เกิดความสงสัย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 226 เกิดความสงสัย

“ไม่เหมือนหรือ” เว่ยเชียงผิดหวังในคำตอบของเฉาฮวาอย่างเห็นได้ชัด

เฉาฮวากัดริมฝีปาก “พระองค์เป็นอันใดไปกันแน่เพคะ”

“ไม่มีอะไร” เว่ยเชียงส่ายหน้า คล้ายกับไม่มีความสนใจที่จะอยู่ต่อ เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

“องค์รัชทายาท…”

เว่ยเชียงไม่ได้หันกลับมา “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย เจ้าก็พักผ่อนเสียเถอะ”

เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นหายไปจากหัวมุม เฉาฮวาที่จับกรอบประตูก็รู้สึกสงสัยจนยากจะสงบใจ

องค์รัชทายาทถามว่า คุณหนูลั่วเหมือนท่านหญิงหรือไม่ติดต่อกันสองครั้งแล้ว!

เขาหมายความว่าอะไรกัน

หรือว่าจะค้นพบจุดที่มีความคล้ายคลึงกันของ ‘คุณหนูลั่ว’ กับท่านหญิงเข้าแล้ว

นึกถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว เฉาฮวาก็หนาวเหน็บไปทั้งกาย

“เสวียนซื่อเจ้าคะ…” ชิงเอ๋อร์ตะโกนเรียก

เฉาฮวาสงบสติ เดินไปทางตั่งเตี้ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บางทีอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น นางไม่อาจสร้างความยุ่งเหยิงในแผนการที่วางเอาไว้ได้

วันนี้ไปหาท่านหญิงมาแล้ว รอพรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้นางจะไปพบท่านหญิง หรือจะเชิญซิ่วเย่ว์มา ต้องเตือนท่านหญิงสักหน่อย

ไม่ได้!

เฉาฮวาปฏิเสธความคิดนี้

ในเมื่อองค์รัชทายาทสังเกตเห็นว่า คุณหนูลั่วเหมือนท่านหญิงและอดไม่ได้ที่จะถามนาง นางจึงไม่สามารถติดต่อกับพวกท่านหญิงบ่อยเกินไปได้ชั่วคราว

ไม่เช่นนั้น แม้ว่านางจะปฎิเสธอย่างไรก็จะทำให้องค์รัชทายาทรู้สึกว่า คุณหนูลั่วกับท่านหญิงมีความเกี่ยวข้องกัน

หากว่าบุรุษผู้นั้นคิดเชื่อมโยงได้ว่า อาซิ่วซึ่งเป็นแม่ครัวที่อยู่ข้างกายคุณหนูลั่วก็คือซิ่วเย่ว์ สาวใช้ของท่านหญิง เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

จะลนลานไม่ได้

เฉาฮวาประคองถ้วยชาขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง

ชิงเอ๋อร์รีบเอ่ยว่า “เสวียนซื่อ ชาเย็นแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะไปเปลี่ยนถ้วยใหม่มาให้นะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้ว ชาเย็นๆ ปลุกสมองให้ตื่น”

เว่ยเชียงเดินออกจากตำหนักราชนิเวศน์มาถึงละแวกใกล้ๆ กระโจมหลังนั้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

เมื่อมองทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดสายตา กระโจมแต่ละหลังคล้ายกับเมฆสีขาวสะอาดที่แต่งแต้มอยู่บนท้องฟ้าสีเขียว

และเมฆก้อนที่ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขาก็มีเพียงแค่ก้อนนั้น

เห็นได้ชัดว่าอาหารใกล้จะเสร็จแล้ว กลิ่นหอมยวนใจลอยออกมาไกลมาก ทำให้ผู้คนรอบๆ ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นด้วยใบหน้าทุกข์ใจ

รู้ว่ามีของอร่อย แต่กลับกินไม่ได้นั้นน่าเวทนาเกินไปแล้ว

เว่ยเชียงเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ เดินไปถึงที่ไม่ไกลมากนักก็หยุดเดินอีกครั้ง

ข้ารับใช้กับองครักษ์เหล่านั้นก็หยุดเท้าอย่างรู้ความ แต่ละคนมีสีหน้าไร้ความรู้สึก

ปรนนิบัติผู้สูงศักดิ์ สามารถทำได้ถึงขั้นที่ไม่แยแสสิ่งใด ถึงจะทำได้นาน

ผู้คนในวังล้วนเข้าใจหลักการนี้

มีเพียงแค่โต้วเหริน ขันทีคนสนิทซึ่งยืนอยู่ข้างกายเว่ยเซียงเงียบๆ ที่กำลังคาดคะเนความคิดของผู้เป็นนาย

“โต้วเหริน” ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเพียงใด เว่ยเชียงพลันส่งเสียงออกมา

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ายังจำท่านหญิงได้หรือไม่”

แม้ว่าเสียงของเว่ยเชียงจะเบา แต่กลับทำให้โต้วเหรินตะลึง

เขาตัดอวัยวะเพศชายทิ้งและปรนนิบัติองค์รัชทายาทมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยแล้ว

ไม่สิ ตอนนั้นองค์รัชทายาทยังเป็นอ๋องผิงหนานซื่อจื่อ

ในจวนอ๋องมีจำนวนข้ารับใช้ฝ่ายในที่เลี้ยงแน่นอน เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

สามารถกล่าวได้ว่า ในบรรดาคนที่เป็นเหมือนเขา เขาเข้าใจองค์รัชทายาทมากที่สุด

พระองค์ถามถึงท่านหญิง ย่อมไม่ได้ถามถึงท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องผิงหนานในตอนนี้ แต่เป็นท่านหญิงชิงหยางที่ล่วงลับไปเมื่อสิบสองปีก่อน

“กระหม่อมย่อมจำได้พ่ะย่ะค่ะ” โต้วเหรินตอบเสียงเบา

แม้ว่าคนของวังบูรพาจะรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่า องค์รัชทายาทไม่เคยปล่อยวางจากท่านหญิงชิงหยางได้ แต่ก็ไม่มีใครปากมากเอ่ยขึ้นมา

อย่างไรเสียท่านหญิงชิงหยางก็เป็นบุตรีของกบฎ

ความจริงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทถามเขาเช่นนี้

“เห็นคุณหนูลั่วแล้วใช่ไหม”

“กระหม่อมเห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเหรินมองไปยังทิศทางที่กลิ่นหอมกรุ่นลอยมา

เด็กสาวที่ถูกองค์รัชทายาทเอ่ยถึงกำลังเอ่ยอะไรบางอย่างอยู่ข้างแม่ครัว

แม่ครัวนางนั้นเปิดฝาหม้ออบด้วยความระมัดระวังแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

กลิ่นหอมที่ลอยมาคล้ายจะเข้มข้นขึ้นแล้ว

“เจ้าคิดว่าท่าทางที่คุณหนูลั่วยืนอยู่ข้างเตานั้น…เหมือนท่านหญิงหรือไม่”

โต้วเหรินตะลึง อดมองอีกหลายครั้งไม่ได้ แต่กลับไม่กล้าตอบรับวาจานั้นสุ่มสี่สุ่มห้า

แต่เห็นได้ชัดว่า การไม่ตอบอันใดเลยหลังจากที่ผู้เป็นนายเอ่ยถามก็ไม่ได้เช่นกัน

โต้วเหรินตาจ้องไปทางนั้น มองซิ่วเย่ว์อาศัยผ้าหนารองเพื่อยกหม้ออบบนเตาลงมาด้วยความระมัดระวัง ไม่รู้ว่าทำไมก็พลันมีความคิดหนึ่งขึ้นมาจึงเอ่ยอย่างผีชี้นำ เทพชี้ทาง[1]ว่า “กระหม่อมกลับรู้สึกว่าแม่ครัวผู้นั้นเหมือนสาวใช้ข้างกายท่านหญิงที่ทำอาหารเป็นผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ”

แววตาของเว่ยเชียงพลันเปลี่ยนไป ถามเสียงเคร่งขรึมว่า “สาวใช้นางนั้นมีนามว่าอันใด”

เมื่อก่อนเขารู้ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถึงนานเกินไปจึงนึกไม่ออกไปชั่วขณะ

เฉาฮวาอยู่ข้างกายเขามาตลอด ซูเฟิงกับเจี้ยงเสวี่ยล้วนตายอยู่ที่จวนอ๋องผิงหนาน ดังนั้นความทรงจำของเขาจึงลึกซึ้งมาก อยากลืมก็ลืมไม่ได้

แต่สาวใช้ซึ่งมีฝีมือในการทำอาหารอร่อยผู้นั้น ถูกลืมเลือนอยู่ในความทรงส่วนลึกตามจวนอ๋องเจิ้นหนานที่ถูกทำลายไป

โต้วเหรินค้อมกายลงเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “กระหม่อมจำได้ว่า สาวใช้นางนั้นมีนามว่าซิ่วเย่ว์พ่ะย่ะค่ะ”

ซิ่วเย่ว์หรือ

เว่ยเชียงมองดวงหน้าอัปลักษณ์ดวงนั้นแล้ว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป

“ซิ่วเย่ว์ อาซิ่ว…”

‘ซิ่ว’ คำนี้พบเจอบ่อยมาก เกรงว่าในสตรีสิบคน จะมีสองคนที่ใช้คำนี้

แต่เมื่อคุณหนูลั่วทำให้เขาเหมือนได้เห็นลั่วเอ๋อร์ สถานการณ์ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

อาซิ่วจะใช่ซิ่วเย่ว์หรือไม่

หากว่าใช่ จะเป็นซิ่วเย่ว์ที่สังเกตเห็นว่า คุณหนูลั่วเหมือนกับลั่วเอ๋อร์เหมือนเขาจึงเป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ก่อน หรือว่า คุณหนูลั่วจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับลั่วเอ๋อร์ที่ผู้คนคาดไม่ถึงจึงได้รับซิ่วเย่ว์เอาไว้

เว่ยเชียงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้

เขาอยากจะยืนยันว่า สรุปว่าแม่ครัวที่มีนามว่าอาซิ่วคนนั้นใช่ซิ่วเย่ว์ สาวใช้ของลั่วเอ๋อร์หรือไม่

แต่เดินได้หนึ่งก้าว เขาก็หยุดอีกครั้ง หมุนตัวเดินไปยังตำหนักราชนิเวศน์แทน

คิดจะยืนยันว่า อาซิ่วใช่ซิ่วเย่ว์หรือไม่นั้น ยังจะมีใครรู้ดีไปกว่าเฉาฮวาอีก

การไปแล้วกลับมาของเว่ยเชียงทำให้เฉาฮวาฉงนกว่าเดิม

“พระองค์ไม่ได้เสวยพระกายาหารที่ข้างนอกหรือเพคะ”

เว่ยเชียงยิ้มบางๆ “กลับมากินเป็นเพื่อนเจ้า”

เฉาฮวาเผยสีหน้าซาบซึ้งใจ

อาหารถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนกินกันเงียบๆ

กินได้ครึ่งหนึ่ง เว่ยเชียงก็วางตะเกียบเงิน พลางเอ่ยยิ้มๆ “อวี้เหนียง เจ้าไม่ได้เรียนทำน้ำแกงหัวปลารสเปรี้ยวกับแม่ครัวของคุณหนูลั่วหรอกหรือ ทำเป็นหรือยัง”

“หม่อมฉันงุ่มง่าม ยังทำไม่เป็นเพคะ”

“การฝึกฝนทำให้เก่งขึ้นได้ เรียกแม่ครัวผู้นั้นมาสอนเจ้าหลายครั้งหน่อย ก็ได้แล้ว”

เฉาฮวาพยักหน้า “หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันจะรีบทำให้เป็นเร็วๆ หลังจากนี้จะได้ทำให้พระองค์เสวย”

“ขอบใจที่เจ้าตั้งใจ” เว่ยเชียงหยิบจะตะเกียบขึ้นมาคีบเห็ดหูหนูดำชิ้นหนึ่ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “ว่ากันว่าฝีมือในการทำอาหารนั้นให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ ข้าจำได้ว่าข้างกายลั่วเอ๋อร์มีสาวใช้คนหนึ่งที่ฝีมือการทำอาหารโดดเด่นมาก”

มือที่จับตะเกียบของเฉาฮวาสั่น สีหน้าค่อยๆ ซีดเผือด

“สาวใช้นางนั้นชื่อซิ่วเย่ว์สินะ”

“ทำไมจู่ๆ พระองค์ถึงได้ถามถึงเรื่องพวกนี้เพคะ”

“จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้น่ะ” เว่ยเชียงจ้องเฉาฮวา น้ำเสียงก็แปลกประหลาด

เฉาฮวามีสีหน้าย่ำแย่ พลางเอ่ยเสียงสั่น “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันนึกถึงสหายเก่าจึงเสียกิริยาไปเล็กน้อย”

เว่ยเชียงสังเกตปฏิกิริยาของเฉาฮวาเงียบๆ มาตลอด ก็มองไม่ออกถึงความผิดปกติ

ถามตรงๆ ย่อมไม่ได้

หากซิ่วเย่ว์ยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นปลาลอดแห[2]ของจวนอ๋องเจิ้นหนาน เฉาฮวามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสหาย ย่อมไม่มีทางยอมรับแน่นอน

โชคดีที่หลังจากนี้เฉาฮวายังคงติดต่อกับอาซิ่วอีก หากว่าอาซิ่วคือซิ่วเย่ว์จริงๆ ตอนที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว จะต้องเผยเบาะแสออกมาแน่นอน

ส่งคนไปจับตาดูเงียบๆ ก็ได้แล้ว

ทั้งสองคนต่างมีความคิดในใจ อาหารมื้อนี้จึงกินอย่างไร้รสชาติ

ล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืน ทั้งสองคนเอนตัวนอนบนตั่ง สนทนากันครู่หนึ่งเหมือนดั่งในอดีต ภายในห้องก็มีเสียงลมหายใจชัดเจนอย่างสม่ำเสมอของบุรุษดังขึ้น

เฉาฮวาหันหน้าไปมองเขา

บุรุษผู้นี้กำลังจะอายุสามสิบ แต่ยังคงหล่อเหลาไม่ธรรมดา

กาลเวลาทำให้ความเป็นเด็กในวัยเยาว์ของเขาเลือนหายไป กลายเป็นคนลึกซึ้ง สงบนิ่ง และเปลี่ยนแปลงไปมา

ก็เหมือนกับในวันนี้ที่ท่าทีของเขาซึ่งมีต่อนางเปลี่ยนแปลงไปอย่างยากจะคาดเดากับวาจาที่ชวนให้ผู้คนตระหนกใจเหล่านั้น

ทันใดนั้น บุรุษผู้นอนฝันอยู่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

[1] ผีชี้นำ เทพชี้ทาง หมายถึง การกระทำที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัว

[2] ปลาลอดแห หมายถึง ผู้กระทำผิดที่หนีลอยนวลไปได้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท