ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 239 ใจภักดี

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 239 ใจภักดี

บิดามารดามักผ่อนปรนต่อบุตรชายหญิงเป็นพิเศษ ซึ่งแทบจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่มาพร้อมกับสายเลือด

แต่หากบุตรผู้นั้นตนไม่ได้ให้กำเนิดแต่กลับต้องสืบทอดทรัพย์สมบัติตระกูลจำนวนมหาศาลเล่า

สืบทอดอำนาจจากเขา บัลลังก์ของเขา ใต้หล้าของเขา…

เช่นนั้นหากจะจุกจิกหรือเคี่ยวกรำมากหน่อยก็คงไม่แปลกอะไร

เดิมทีการถูกหมูป่าไล่ขวิดตอนไปล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากเป็นคนทั่วไปคงเป็นเรื่องให้ขบขันกันอยู่พักหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว แต่ในใจฮ่องเต้ยังหลงเหลือความไม่พอใจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงยากจะใช้มาตรฐานปกติมาชี้วัดได้

หลังจากโจวซานมาถามไถ่ตามบัญชาของฮ่องเต้แล้ว สิ่งที่เว่ยเชียงเป็นกังวลก็คือเรื่องนี้

เสด็จพ่อในนามของเขาผู้นี้หรือในความเป็นจริงคือเสด็จลุงนั้น ความคิดอ่านล้ำลึก ความยินดียินร้ายไม่แสดงออกทางสีหน้า ถึงอย่างไรคงไม่นึกเอ็นดูเขาเพราะเขาถูกหมูป่าขวิดเข้ากระมัง

แล้วยังเรื่องการตายของเฉาฮวาอีก…

การเดินทางมาเป่ยเหอครั้งนี้ เรียกได้ว่าไม่ราบรื่นเอาเสียเลยจริงๆ

แต่ก็ยังพอได้อะไรกลับไปบ้าง

ในหัวเว่ยเชียงมีใบหน้าหมดจดงดงามแวบขึ้นมา ความขุ่นข้องในใจจึงพอคลายลงบ้าง

แม่ทัพใหญ่ลั่วตามลั่วเซิงตรงกลับกระโจมที่พักเท้าของนาง

ซิ่วเย่ว์ยืนอยู่ข้างหน้าเตาพอดี กำลังใช้กระบวยยาวคนน้ำแกงในกระทะอยู่

แม่ทัพใหญ่ลั่วสูดดมกลิ่นหอม จากนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เซิงเอ๋อร์ เหตุใดวันนี้เจ้าถึงไปล่าสัตว์กับรัชทายาทได้เล่า”

เขาเคยสังเกตอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้มักเป็นไคหยางอ๋องที่เข้าหาบุตรสาวของตนเสมอ

ถึงแม้เรื่องนี้จะทำให้เขาเห็นไคหยางอ๋องแล้วนึกอยากฟันให้สักที แต่เมื่อคิดถึงความยากลำบากในการที่เซิงเอ๋อร์จะแต่งงานออกไปแล้วก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้

ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่าเรื่องใหญ่ในชีวิตของบุตรสาวแล้ว

แต่จะให้เป็นรัชทายาทไม่ได้!

บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาไม่มีทางให้ไปเป็นอนุของผู้ใดเด็ดขาด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม

ก็ไม่โทษที่แม่ทัพใหญ่ลั่วจะยึดมั่นเช่นนี้

เขาค่อนข้างเอาแต่ใจในเรื่องสตรี ในจวนจึงมีอี๋เหนียง[1]อยู่โขยงใหญ่

กินดีอยู่สบาย มีบ่าวไพร่ให้เรียกใช้ เหล่าอี๋เหนียงจะปล่อยปละอย่างไรก็ได้ แต่หากกล้าทำร้ายบุตรสาว เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอม

และด้วยเหตุนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงคุ้นชินกับการเห็นเหล่าอนุคุกเข่าบนลูกคิด

การเป็นอนุนั้นน่ารันทดเกินไป…

อนุเหล่านั้นหากไม่มีชาติกำเนิดเป็นสาวใช้ก็เป็นคนที่คิดประจบเอาใจเขาส่งมาให้ ชาติกำเนิดไม่ได้ดีเด่อะไร สตรีเช่นนี้ไปเป็นอนุของผู้อื่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

แต่บุตรสาวของแม่ทัพขั้นหนึ่งจะไปเป็นอนุ?

เขายินดีเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิตจะดีกว่า

ลั่วเซิงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ไม่ได้พบรัชทายาทหลายวัน วันนี้พอได้พบจึงใคร่รู้อยากสอบถามเรื่องอวี้เสวี่ยนซื่อสักนิดก็เลยได้ออกไปล่าสัตว์พร้อมกันน่ะเจ้าค่ะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” แม่ทัพใหญ่ลั่วลอบถอนหายใจ

รัชทายาทไม่ได้คิดอะไรกับบุตรสาวเขาก็ดี

เพิ่งโล่งอกได้ไม่เท่าไร แม่ทัพใหญ่ลั่วก็นึกถึงปัญหาที่น่าหนักอกยิ่งกว่าขึ้นมาได้ หากบุตรสาวเขาเกิดถูกใจรัชทายาทขึ้นมาจะทำอย่างไร

เขาเพิ่งตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทาเพราะความคิดนี้ก็เหลือบไปเป็นเว่ยหานกำลังเดินเข้ามา

แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันบังเกิดความยินดี พลั้งปากชมไปว่า “อยู่ๆ พ่อก็เห็นว่าไคหยางอ๋องดูหล่อเหลาเอาการมากทีเดียว”

เมื่อเห็นสายตาไร้ระลอกคลื่นของบุตรสาวกลับทำให้เขารู้สึกว่าตนใจคิดไม่ซื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มแหยๆ “พ่อไปทักทายไคหยางอ๋องก่อนนะ”

เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วเดินเข้าไป ลั่วเซิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองบุรุษในชุดสีแดงอย่างเงียบๆ

เรื่องในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางวางแผนไว้ก่อน แต่เป็นเพราะข่มความโกรธแค้นเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ พอได้เห็นฝูงหมูป่าจึงตัดสินใจตักตวงผลประโยชน์จากจุดนี้ไว้ก่อน

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าไคหยางอ๋องจะลงมือ

ลั่วเซิงรู้สึกว่าตนอ่านบุรุษผู้นี้ไม่ออกขึ้นทุกที

เดิมทีจุดยืนของพวกเขาอยู่ตรงข้ามกัน แต่ไม่ว่านางจะพุ่งเป้าไปที่ผิงหนานอ๋องหรือรัชทายาท เขาไม่เพียงไม่ขัดขวางกลับยังดูตั้งใจช่วยเหลืออีกด้วย

แท้จริงแล้วไคหยางอ๋องคิดอย่างไรกันแน่

หรือว่า…ลั่วเซิงคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา

หรือว่าไคหยางอ๋องมีใจทะเยอทะยาน คิดอยากขึ้นนั่งเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าโจวนี้?

หากเป็นเช่นนั้น เป้าหมายของพวกเขาในเวลานี้ก็คงเป็นสิ่งเดียวกัน

สายตาลั่วเซิงที่มองบุรุษในชุดสีแดงดูอ่อนลงหลายส่วน

ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในเวลานี้ที่โดดเดี่ยวไร้คนช่วยเหลือ การมีศัตรูที่น่าเกรงกลัวน้อยลงสักคนก็ถือเป็นเรื่องดี

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยายามหาเรื่องมาสนทนากับอีกฝ่าย

“วันนี้ท่านอ๋องช่างแต่งกายได้งามสง่ายิ่งนัก”

“เมื่อวานข้าก็แต่งกายเช่นนี้” เว่ยหานตอบเสียงเรียบ

เขาคุ้นชินกับการไม่เปลี่ยนอะไรเรื่อยเปื่อย

ตัวอย่างเช่นสีสันและรูปแบบของเสื้อผ้า ตัวอย่างเช่นกับข้าวที่คุณหนูลั่วทำ

แต่สือเยี่ยนเคยเตือนเขาว่า หากใส่เสื้อผ้าที่หน้าตาเหมือนกันไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าตนไม่ชอบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้

เรื่องนี้เขาคร้านจะสนใจ

คุณหนูลั่วละเอียดลออเพียงนั้น จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน

ส่วนคุณหนูคนอื่นนอกเหนือจากคุณหนูลั่ว เขาไม่ได้กินอาหารที่พวกนางทำเสียหน่อย พวกนางจะคิดเช่นไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

แม่ทัพใหญ่ลั่วสะอึกไปกับคำตอบของอีกฝ่าย ลืมไปชั่วขณะถึงความใจดีที่มีต่อไคหยางอ๋องจากการเปรียบเทียบกับรัชทายาทจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “ท่านอ๋องไม่ได้เปลี่ยนชุดหรือ!”

วันปกติก็แล้วไปเถิด แต่ทุกวันที่ออกไปล่าสัตว์เหงื่อออกมากเพียงนั้น ไม่อาบน้ำล้างตัวสักหน่อยจะเหมาะสมหรือ

แม่ทัพใหญ่ลั่วลอบส่ายหน้า

เดิมทียังคิดจะถามว่าเหตุใดวันนี้ไคหยางอ๋องถึงไม่ไปด้วยกันกับบุตรสาวตน เวลานี้เลยไม่อยากถามแล้ว

ช่างเถิด ไว้หาโอกาสถามเจ้าสามดูก็แล้วกัน

เขามองไปมองมาแล้ว เจ้าสามดีที่สุด

เว่ยหานเห็นท่าทางแม่ทัพใหญ่ลั่วดูเฉยชาลง เป็นไปตามที่เขาต้องการพอดี

หากพูดคุยกันต่อไป น้ำแกงที่อาซิ่วตักออกมาคงเย็นพอดี

“หากแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน”

“เอ่อ”

เขามองเว่ยหานเดินเข้าไป แม่ทัพใหญ่ลั่วกัดฟันกรอด

ยามอยู่ต่อหน้าบิดาคนเขา เจ้าเด็กที่ไม่ชอบอาบน้ำผู้นี้เหตุใดถึงยังไปขอข้าวขอน้ำกินได้อย่างเป็นปกติธรรมดาเช่นนี้อีกนะ

แม่ทัพใหญ่ลั่วสะบัดแขนเสื้อเดินไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เดินไปไกลแล้วถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินข้าว

“วันนี้เป็นน้ำแกงอะไรหรือ” เว่ยหานหยุดยืนข้างลั่วเซิงแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ

“น้ำแกงกระดูกหมู”

เว่ยหานพยักหน้า “วันนี้ได้หมูป่ามาหลายตัว”

ตัวที่น่าเวทนาที่สุดเป็นหมูป่าตัวที่ถูกคุณหนูลั่วยิงธนูใส่ เพราะมันเข้ามาโจมตีรัชทายาท จุดจบจึงน่าอนาถจนไม่กล้ามอง

“ที่สามารถกินน้ำแกงกระดูกหมูได้อย่างสบายใจ ยังต้องขอบคุณท่านอ๋องด้วย” ลั่วเซิงเอ่ยวาจาแฝงความนัย เป็นการแสดงความขอบคุณอย่างอ้อมๆ

คนอื่นได้ยินยังคิดว่านางขอบคุณที่ไคหยางอ๋องให้ความช่วยเหลือรัชทายาท ทุกคนจึงกินดื่มกันต่อไปได้ตามสมควร

หากเกิดอะไรขึ้นกับรัชทายาท เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วแคว้น

“คุณหนูลั่วไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” เว่ยหานมองนาง นัยน์ตามีประกายอ่อนโยนเล็กน้อย “คุณหนูลั่วอารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

ลั่วเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มมุมปากช้าๆ “อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม”

นางหมุนกำไลข้อมือทองเล่นช้าๆ คล้ายว่าการยิงธนูดอกนั้นไปทำให้ในใจเกิดความชุ่มฉ่ำ อารมณ์จึงสงบตามไปด้วย

“ท่านอ๋องดื่มน้ำแกงหรือไม่”

เว่ยหานพยักหน้าไม่มีลังเล “ดื่มสิ”

ลั่วเซิงเผยรอยยิ้มบางๆ รับน้ำแกงที่ซิ่วเย่ว์ตักมาส่งให้เขา

อาจเพราะเรื่องโชคร้ายที่รัชทายาทประสบทำให้เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวน การล่าสัตว์ในช่วงเวลาหลังจากนั้นจึงดูราบเรียบขึ้นมาก

เรื่องอื่นไม่พูดถึง ในหมู่เหยื่อที่ล่าก็ไม่มีหมูป่าให้เห็นอีกเลย

ช่วงเวลาล่าสัตว์ที่เหลือจึงผ่านไปอย่างไร้รสชาติ ในที่สุดก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองหลวง

เมื่อได้ทราบข่าวการเดินทางกลับของคณะล่าสัตว์ ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊นับร้อยที่อยู่ในเมืองหลวงก็พากันออกมาต้อนรับขบวนที่นอกเมือง

ตอนรับการคารวะของเหล่าขุนนาง จักรพรรดิหย่งอันตกใจที่ได้เห็นว่ามีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ขอบตาแดง

หนึ่งในนั้น เสนาบดีจ้าวที่เป็นเจ้ากรมยุติธรรมดูจะตื้นตันที่สุด ซ้ำยังผ่ายผอมลงไม่น้อย

จักรพรรดิหย่งอันพลันรู้สึกซึ้งใจ

คนเก่าคนแก่อย่างเจ้ากรมจ้าวพวกนี้ ช่างมีใจภักดีโดยแท้จริง

[1] อี๋เหนียง คือคำเรียกอนุภรรยาในบ้าน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท