บทที่ 371 ไร้เทียมทาน (1)
เมื่อคนในทีมกู้ภัยเห็นว่าใกล้เดือนสิงหาคมเข้ามาทุกทีต่างก็พากันร้อนรน เพราะพวกเขารู้สึกว่าความคืบหน้าในการอบรมช้าลงเรื่อยๆ ถึงขั้นรู้สึกว่ามันจะต้องจบแย่แน่นอน
ตอนแรกที่ไป๋เยี่ยเป็นคนรับหน้าที่ฝึกอบรม ทุกคนต่างตื่นเต้น หลังจากที่เข้าใจในสิ่งที่ไป๋เยี่ยทำ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจและชื่นชมไป๋เยี่ยมาก
คนอายุแค่ยี่สิบกว่าปีแต่กลับประสบความสำเร็จในการทำวิจัยมากมาย ย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างเทิดทูนจากคนอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เยี่ยก็ยังเป็นคนมีความสามารถ ระหว่างที่อบรมนั้น ทุกคนก็ได้เห็นและสัมผัสถึงทักษะอันยอดเยี่ยมของไป๋เยี่ยด้วยตนเอง
ทุกคนมาจากวงการแพทย์ ทั้งยังเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมา ย่อมมีพื้นฐานที่ดีและทักษะที่แข็งแกร่ง เกิดมาในวงการแพทย์ หรือแม้กระทั่งถูกเลือก มีทักษะพื้นฐานที่มั่นคงและทักษะทางการแพทย์ที่แข็งแกร่ง ทุกคนจึงคิดว่าการยอมรับไป๋เยี่ยไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ทุกคนรู้ว่าไป๋เยี่ยกำลังถ่ายทอดความรู้แบบใด แต่เมื่อได้ลงมือทำ กลับรู้สึกเหมือนถึงมีความรู้ก็เหมือนไม่มี ทว่านับตั้งแต่ที่ไป๋เยี่ยเริ่มบรรยาย ความรู้สึกนั้นในใจของทุกคนก็พลอยสลายหายไปด้วย
เพราะไป๋เยี่ยนำแนวคิดที่สร้างสรรค์เกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินมาถ่ายทอดให้พวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวิธีการกู้ภัย เทคนิคการวินิจฉัย วิธีการรักษาแบบพิเศษและการปฐมพยาบาลชั่วคราวที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่เมื่อหลังจากที่ไป๋เยี่ยอธิบายอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาก็กระจ่างขึ้นในทันที
สิ่งที่ได้รับจากหนังสือย่อมตื้นเขินกว่า และการอ่านก็มีขีดจำกัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ตอนนี้มีเพียงระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ ระหว่างการอบรม ทุกคนต่างรู้สึกว่าไป๋เยี่ยนำตนเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ได้ ทำให้คำอธิบายของเขาละเอียดถี่ถ้วนและเป็นที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทุกคนก็คงมีความสุขดี ทว่า…ตั้งแต่สวีเสี่ยวเฉียนเข้ามาบรรยาย บรรยากาศก็เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เพียงแค่การบรรยายจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ความรู้ในหลายๆ ประเด็นก็ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนด้วย การแพทย์ไม่ใช่ศาสตร์ที่จะประมาทเลินเล่อได้ ทักษะเหล่านี้ล้วนถูกนำมาใช้เพื่อช่วยชีวิตผู้คน จะสอนแบบลวกๆ ได้อย่างไร
ทุกคนต่างนำประเด็นนี้ไปพูดคุยกันลับหลัง ซึ่งพวกเขาเองก็ยังคิดว่าเป็นเพราะตนเองรับความรู้ที่มากมายขนาดนี้ไม่ไหว แต่หลังจากที่ได้คุยกัน ทุกคนก็พบว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่ตัวพวกเขา แต่ทำไมประสิทธิภาพในการเรียนรู้ถึงต่ำลงขนาดนี้ล่ะ
คำตอบนั้นชัดเจนดี ปัญหาอยู่ที่คนสอนนั่นเอง!
หลังเลิกการฝึกอบรม สวีเสี่ยวเฉียนก็รีบเดินถือหนังสือออกไป เขารู้สึกว่าการบรรยายช่างเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด เพราะว่าเขาไม่เข้าใจความรู้เหล่านี้เลย ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะเขียนไว้อย่างละเอียดก็ตาม แต่คนเรียนกลับเอาแต่ถามวนไปวนมาอยู่ได้!
เขาตอบคำถามของผู้เรียนไม่ได้เลย ทำได้เพียงแค่ตอบส่งๆ ไปเท่านั้น ทุกคนจึงยิ่งมีอคติมากขึ้นเรื่อยๆ
“เฮ้อ จะเดือนสิงหาแล้ว การอบรมครั้งนี้ช้าลงเรื่อยๆ จริงๆ นะ”
“มีใครไม่คิดแบบนั้นบ้าง ความคืบหน้าว่าช้าแล้ว แต่ในคลาสยิ่งเลอะเทอะเลยแหละ หัวหน้าสวี่ตอบคำถามของฉันได้ไม่ชัดเจนเลย”
“นายว่า…เป็นเพราะหัวหน้าสวี่เองก็ไม่เข้าใจหรือเปล่า”
“อย่าพูดมั่วน่า ใครเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้ล่ะ ถ้าหัวหน้าสวี่ไม่เข้าใจแล้วใครจะไปเข้าใจ รับประกันได้เลยว่าต่อไปหนังสือเล่มนี้จะถูกโปรโมตไปทั่วประเทศแน่นอน”
“แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสิ่งที่หัวหน้าสวี่สอนกับสิ่งที่อาจารย์ไป๋เยี่ยสอนมันต่างกันมากเลยล่ะ”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…”
“ฉันด้วย!”
ผู้คนรอบๆ ก็เริ่มออกความคิดเห็นกันใหญ่ ทุกคนเป็นแพทย์ ถึงแม้ว่าจะได้อยู่ในกองทัพทหาร แต่พวกเขาก็ใช้การแพทย์ในการหาเลี้ยงชีพมากกว่า
หลังจากที่ได้พบเจอกับไป๋เยี่ยในทุกๆ วัน ทุกคนก็ต่างรู้สึกว่าไป๋เยี่ยไม่หยิ่งเลย เขาทั้งถ่อมตนและสง่างาม ไม่แม้แต่จะวางมาดใดๆ อีกทั้งยังบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้โดยไม่ถือสาใครเลย ขอแค่ไป๋เยี่ยเป็นคนสอน ทุกคนก็ได้รับความรู้มากแล้ว
หลังจากที่ทุกคนเงียบไปสักพัก จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ถ้างั้นเราลองขอคำแนะนำจากหัวหน้าให้ปล่อยให้หน้าที่บรรยายเป็นของไป๋เยี่ยดีไหม ถ้าผลัดกันแบบนี้ ฉันกลัวว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย ทุกคนคิดว่าไง”
คนในทีมต่างเป็นคนอายุน้อยทั้งนั้น หลายคนก็มีภูมิหลังมาเช่นกัน เมื่อได้ยินข้อเสนอนั้นจึงเกิดความสนใจขึ้นมา
ทุกคนจึงยกมือเห็นด้วย
ช่วงนี้สวีเสี่ยวเฉียยุ่งมาก เขาทั้งแก้ไขหนังสือที่ใช้สอนทีมกู้ภัยพร้อมกับยื่นขอสิทธิบัตร เพราะว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ครอบคลุมประเด็นความรู้เยอะมาก
มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเฉพาะต่างๆ มากมาย หลังจากนั้นเขาหาเวลาไปคุยกับเพื่อนเก่าในสำนักงานอนุมัติสิทธิบัตรให้เขาได้รับการอนุมัติโดยเร็วที่สุด
หลังจากเขียนหนังสือจบแล้ว สวีเสี่ยวเฉียนก็ไปหาที่ปรึกษาของเขา ‘หวังชิ่งหยวน’ และขอให้อาจารย์ช่วยเขียนคำนำให้
ช่วงนี้เขายุ่งมาก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี
หวังชิ่งหยวนจัดว่ามีคุณสมบัติพอๆ กับเกาเย่ว์หยางในฐานะนักวิชาการจากโครงการสองสถาบันและเป็นนักวิชาการเก่าในแวดวงการแพทย์ อีกทั้งเขายังเป็นถึงผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นระดับชาติ
ดังนั้น เมื่อหวังชิ่งหยวนเห็นหนังสือเล่มนี้ เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขาคือ ศิษย์ของเขาเป็นคนเขียนมันขึ้นมาจริงๆ หรือ
เพราะว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นเกี่ยวพันไปถึงองค์ความรู้มากมาย ทั้งยังมีแนวคิดใหม่ๆ หลายแนวคิดที่เขาคาดไม่ถึงอีกด้วย
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศจีน หวังชิ่งหยวนจึงเข้าใจถึง คุณค่าและความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี
การจะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้ไม่ง่ายเลย
นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่และเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินก็เป็นได้
หวังชิ่งหยวนอ่านหนังสือจบแล้วก็ถอนหายใจ เขาถอดแว่นตาออกพลางเหลือบมองสวีเสี่ยวเฉียน
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ครอบคลุมทุกประเด็น แต่มุ่งเน้นไปที่การศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินและการบาดเจ็บที่เกิดจากการฉีกขาดของแผลมากกว่า เขาจึงถามขึ้น “มีเล่มต่อไปไหม”
สวีเสี่ยวเฉียนชะงักไปก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มแห้งๆ ออกมา เขากล่าวอย่างนอบน้อม “อาจารย์ ผมยังไม่ได้คิดเรื่องเขียนเล่มต่อไปเลยครับ หัวข้อมันเยอะไปหน่อยน่ะครับ แล้วอาจารย์คิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นไงบ้างครับ”
หวังชิ่งหยวนถอนหายใจ เขาย่อมรู้จักลูกศิษย์ของตนเองดีที่สุด เขาอยู่กับสวีเสี่ยวเฉียนมาหกปีแล้ว ย่อมรู้ระดับความรู้ของอีกฝ่ายดี สวีเสี่ยวเฉียนเป็นคนเก่ง แต่จะให้เขามาเขียนหนังสือทั้งเล่มแบบนี้ อย่าว่าแต่จะใช้เวลาสิบปีเลย ต่อให้มีเวลายี่สิบหรือสามสิบปีเขาก็ทำไม่ได้
นี่เป็นเรื่องของพรสวรรค์!
ทว่าหวังชิ่งหยวนก็ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ “เป็นหนังสือที่ดีมาก สำหรับผมแล้วมันมีแนวคิดที่ดี มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินชนิดที่ประเมินค่าไม่ได้เลย!”
เหล่าหวังเอ่ยอย่างช้าๆ แต่หนักแน่นทุกถ้อยคำ