ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 256 งี่เง่า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 256 งี่เง่า

เตาเผาสีแดงขนาดเล็กที่มีลวดลายประณีต ข้างในเป็นไฟถ่านไร้ควัน ลูกชิ้นปลากลิ้งไปมาในน้ำแกง กลิ่นหอมเตะจมูก

โต้วเหรินยกมือขึ้นใช้แขนเสื้อกว้างบังไว้แล้วทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน

เข็มเงินไม่เปลี่ยนสี โต้วเหรินกำลังจะชิมด้วยตนเอง

“มิต้องหรอก ออกไปเถอะ” เว่ยเชียงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฝ่าบาท นี่มันผิดกฎนะพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเหรินพูดเสียงเบา

เว่ยเชียงเหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ข้างตู้คิดเงิน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ทดสอบด้วยเข็มเงินแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ซับซ้อน”

“แต่ว่า…”

“ไม่เห็นว่าเสด็จอาก็กินที่นี่หรือ”

โต้วเหรินไม่กล้าพูดอีก เขาหยิบตะเกียบเงินคู่หนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเช็ดเสร็จแล้วก็ถวายให้เว่ยเชียง

เว่ยเชียงรับมา คีบลูกชิ้นปลาลูกหนึ่งเข้าปาก

ลูกชิ้นปลาเนื้อสัมผัสสู้ฟัน เนื้อสดและรสชาติกลมกล่อม

เว่ยเชียงผ่อนลมหายใจอย่างสบายๆ

ในยามที่ลมเย็นเริ่มเข้ามาได้ดื่มน้ำแกงลูกชิ้นปลาแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกดีจริงๆ

เว่ยหานมองเว่ยเชียงกินข้าวด้วยสายตาเยือกเย็น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน

เขากินที่นี่เกี่ยวอะไรกับรัชทายาทด้วยหรือ

วันนั้นเขาอยู่ที่เขตล่าสัตว์เหมือนกันแต่หมูป่าก็พุ่งไปหารัชทายาทอยู่ดีมิใช่หรือ

คุณหนูลั่วย่อมปฏิบัติต่อเขาและรัชทายาทแตกต่างกัน

สายตาเว่ยหานหยุดอยู่ที่เด็กสาวที่นั่งเท้าคางเหมือนกำลังคิดอะไร ความเย้ยหยันที่ปรากฎบนใบหน้ากลายเป็นความอ่อนโยน

เขาเป็นเพื่อนกับคุณหนูลั่วแล้ว

ลั่วเซิงย่อมไม่ได้เมินเฉย แต่นางคอยจับตามองเว่ยเชียงตลอดเวลา เพียงแต่ว่าแนบเนียนมาก

นางต้องคอยดูเขากินให้มากถึงจะสบายใจ

หัวปลาและลูกชิ้นปลาหนึ่งหม้อไม่ถือว่าเยอะมาก เมื่อดื่มสุราสองไหเสร็จ อาหารก็ใกล้จะหมดหม้อพอดี

เว่ยเชียงสั่งให้เก็บเงิน ถามเว่ยหานอย่างเกรงใจว่า “เสด็จอาจะกลับด้วยกันหรือไม่”

เว่ยหานพูดเสียงราบเรียบ “ข้าไม่ได้กลับทางเดียวกับรัชทายาท ไม่เป็นไรหรอก”

“เช่นนั้นหลานขอตัวกลับก่อน” เว่ยเชียงพูดเสร็จก็ลุกขึ้น สายตาอดมองทอดไปที่ตู้คิดเงินไม่ได้

ลั่วเซิงทำเหมือนกับว่าเพิ่งรับรู้สายตานั้น นางมองมาอย่างไม่ใส่ใจนัก

ใต้แสงไฟ ใบหน้างดงามของเด็กสาวดูนุ่มนวลลงเนื่องจากแสงสลัว ทำให้ขณะที่เว่ยเชียงสบตากับนาง หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยครั้งอยู่กับเฉาฮวา

เว่ยเชียงลืมเคลื่อนสายตาออกจนเมื่อมีเสียงจอกสุรากระทบโต๊ะดังขึ้น เขาจึงมองไปตามเสียง

“ฝ่าบาทจะไปแล้วมิใช่หรือ” เว่ยหานถาม

เผชิญกับใบหน้าที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม จู่ๆ เว่ยเชียงก็รู้สึกขบขันขึ้นมา

เสด็จอาท่านนี้ ถึงอย่างไรก็อายุยังน้อยไปอยู่ดี

เว่ยเชียงยิ้มพูดว่า “ทักทายคุณหนูลั่วแล้วจะกลับ”

“ฝ่าบาทเสวยเสร็จแล้วหรือเพคะ” ลั่วเซิงเดินเข้ามาเอง “หม่อมฉันไปส่งฝ่าบาทเองเพคะ”

“คุณหนูลั่วเกรงใจแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าเว่ยเชียงชัดเจนขึ้น แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ

เว่ยหานมองดูทั้งสองเดินออกไปนอกหอสุรา ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมด

เทียบกับความอบอุ่นในหอสุราแล้ว ข้างนอกเริ่มหนาวเย็นเพราะใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว

เว่ยเชียงสร่างเมา ยิ้มพูดกับลั่วเซิงว่า “คุณหนูลั่วส่งเท่านี้เถิด ข้างนอกอากาศหนาวเย็น”

“เช่นนั้นฝ่าบาทเดินทางปลอดภัยนะเพคะ”

เว่ยเชียงพยักหน้าเบาๆ หันหลังเดินไปสองก้าวแล้วหยุดลงกะทันหันก่อนจะหันกลับมา

ลั่วเซิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน

“คุณหนูลั่ว” เว่ยเชียงเรียก

ลั่วเซิงย่อเข่าให้เล็กน้อย “ฝ่าบาทโปรดตรัสเพคะ”

เว่ยเชียงมองนาง สายตาเป็นประกาย “หม้อไฟหัวปลาวันนี้อร่อยมาก ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้าจะมากินอีก”

“เช่นนั้นหรือเพคะ” ในค่ำคืนที่อากาศปลอดโปร่ง ใบหน้าเย็นชาของเด็กสาวปรากฏรอยยิ้มจางๆ “ยินดีอย่างยิ่งที่พระองค์จะเสด็จมาเสวยอีกบ่อยๆ เพคะ”

เว่ยเชียงขานตอบก่อนจะหันหลังจากไป

ลั่วเซิงมองดูโต้วเหรินเดินตามไปด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็มีองครักษ์จำนวนหนึ่งที่เฝ้าอยู่นอกหอสุราคุ้มกันเว่ยเชียงไว้ตรงกลาง คนทั้งขบวนค่อยๆ จากไปไกล

“คุณหนูลั่ว” เสียงเรียกเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างใบหูลั่วเซิง

ลั่วเซิงเงยหน้า มองชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่

อาจเป็นเพราะเขาดื่มมากเกินไป แก้มของชายหนุ่มจึงถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงเล็กน้อย ในค่ำคืนมืดมิดดวงตาคู่หนึ่งดูเปล่งประกายจนน่ากลัว

“ท่านอ๋องทานเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานเม้มปากเบาๆ “เสร็จแล้ว”

เขากินมาจะหนึ่งชั่วยามแล้ว เป็นคนแรกที่เข้ามานั่งในหอสุราจนตอนนี้จวนจะปิดร้าน แม้จะกินหมูทั้งตัวก็ควรจะกินหมดแล้ว

เพียงแต่ว่า… เขามองเด็กสาวอย่างลึกซึ้ง ความคิดตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่าอยากมองคุณหนูลั่วให้นานกว่านี้เท่านั้นเอง

ใครจะไปรู้ว่าเขากลับต้องมาเห็นคุณหนูลั่วมาส่งรัชทายาท

ย้อนคิดดูแล้ว เขามากินหลายครั้งเช่นนี้ยังต้องกลับเองคนเดียวเงียบๆ ทุกครั้ง มีเพียงแค่ครั้งเดียวที่คุณหนูลั่วเดินมาส่งและครั้งนั้นเขายังเป็นคนเอ่ยปากร้องขอเองด้วย

ทันทีที่คิดเช่นนี้ จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกว่าสุราที่ดื่มไปวันนี้ช่างขมเสียจริง

“เช่นนั้นท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงก้าวเท้าเดินเข้าไปในหอสุรา แต่ถูกเว่ยหานเรียกไว้ “คุณหนูลั่วไปส่งข้าหน่อยได้หรือไม่”

ลั่วเซิงเหลียวหลังมามองเขา

ในยามค่ำคืน ชายหนุ่มสวมชุดสีแดงเข้มหน้าตาหล่อเหลาราวภาพวาด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแสงอันนุ่มนวล ราวกับเขาได้หยิบเอาดวงดาวบนท้องฟ้ามาซ่อนไว้ในดวงตา ทำให้ผู้ที่มองดวงตาเขาลุ่มหลงไปโดยไม่ทันระวังตัว

ความบริสุทธิ์ผุดผ่องมักจะชวนให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า

ลั่วเซิงกลับยิ้มภายใต้สายตาที่จริงใจอย่างไม่อาจปิดบังคู่นั้น “อยู่ข้างนอกแล้วยังต้องส่งอะไรหรือ ท่านอ๋องเดินทางดีๆ เจ้าค่ะ ข้าเข้าไปก่อนแล้ว”

เว่ยหานมองแผ่นหลังที่เดินเข้าไปในหอสุรา เด็กสาวที่ทำให้เขาเห็นแล้วมีความสุขไม่ได้เหลียวหลังมาอีกเลย

เขาลอบถอนหายใจ

คุณหนูลั่วยังคงเหมือนที่ผ่านมา มักจะทำใจทิ้งเขาได้ลงคอทุกครั้ง

เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในหอสุรา

ในเมื่ออยู่ข้างนอกแล้วไม่ส่ง เช่นนั้นเขาเข้าไปแล้วกัน

ให้เขากลับไปคนเดียวแบบนี้หรือ อย่างน้อยคืนนี้เขาก็ไม่อยากทำเช่นนั้น

ลั่วเซิงเดินเข้าไปในห้องโถง สือเยี่ยนที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะยิ้มถามว่า “คุณหนูลั่ว นายท่านของเราเพิ่งออกไป ท่านเห็นหรือไม่ขอรับ”

ชายโสดหญิงโสดยืนอยู่ข้างนอก จะไม่คุยกันหน่อยเลยหรือ

“เห็นแล้ว ท่านอ๋องของพวกเจ้ากลับไปแล้ว”

ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเดินเข้าไปด้านใน แต่กลับได้ยินสือเยี่ยนเรียก “นายท่าน”

น้ำเสียงชะงักงันที่แฝงในคำพูดทำให้นางจำเป็นต้องหยุดฝีเท้าลงและหันกลับไป

ข้างหลังของนาง ชายหนุ่มในชุดสีแดงเข้มยิ้มให้นางน้อยๆ “ลืมของไว้น่ะ”

สือเยี่ยนกวาดตามองห้องโถงทันที จากนั้นก็โล่งอก

โชคดีที่หอสุราปิดแล้ว ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ นายท่านมองคุณหนูลั่วแล้วยิ้มซื่อๆ แบบนี้ ใครมาเห็นเข้าคงอับอายน่าดู

ส่วนคนของหอสุราน่ะหรือ

คนของหอสุราไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็ชินแล้ว

ลืมของไว้หรือ

ลั่วเซิงมองไปที่โต๊ะข้างหน้าต่าง

ถ้วยชามและจอกสุราบนโต๊ะถูกเก็บไปหมดแล้ว แม้แต่โต๊ะก็ถูกเช็ดสะอาดแล้ว

ลั่วเซิงเม้มปาก เดินไปตรงหน้าเว่ยหาน “ข้าส่งท่านอ๋องออกไปเองเจ้าคะ”

“ได้”

เมื่อเห็นทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกไป สือเยี่ยนก็กะพริบตาสองสามที

คุณหนูลั่วไม่ถามเลยว่าลืมอะไรไว้ก็ส่งนายท่านออกไปเช่นนี้?

นายท่านไม่พูดอะไรเลยก็เดินออกไปทั้งแบบนี้…

แสดงว่าอันที่จริงเขาไม่ได้ลืมของ แค่ทั้งสองคนอาวรณ์ไม่อยากแยกจากกันเท่านั้นเอง

องครักษ์น้อยคิดถึงความเป็นไปได้นี้จู่ๆ ก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา เช็ดโต๊ะจนสะอาดวับ

ลมข้างนอกเย็นเล็กน้อย

ลั่วเซิงส่งเว่ยหานไปไกลถึงสิบจั้งโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หยุดลง “ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”

“เจอกันพรุ่งนี้” แววตาของเว่ยหานเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย กำชับเสียงจริงจังว่า “ต่อไปท่านอ๋องอย่าดื่มมากเกินไปอีกเลยเจ้าค่ะ”

นางค้นพบแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่ชายคนนี้ดื่มมากเกินไปก็จะเริ่มทำตัวงี่เง่า

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท