บทที่ 1313 เต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ
บทที่ 1313 เต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ
บนลานประลอง การต่อสู้ที่ดุเดือดสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์
คนทั้งสองต่างก็งัดเอาเคล็ดวิชาระดับสูงมาใช่ต่อสู้ พวกเขาเคลื่อนที่ไปมาขณะโจมตีอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดนิ่ง
เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รัศมีอันศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายเรืองรอง
พลังที่พวกเขาสำแดงออกมาสร้างแรงสั่นสะเทือนมหาศาลให้แก่แผ่นดิน ทำเอาผู้คนที่อยู่โดยรอบอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
หากการต่อสู้นี้เกิดขึ้นในโลกภายนอก มันก็มีพลานุภาพเพียงพอที่จะกวาดล้างพื้นที่ราว ๆ แสนลี้ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ซ้ำร้าย มันยังสามารถนำพาภัยพิบัติครั้งใหญ่มาเยือนสิ่งมีชีวิตมากมายบนโลก
โครม!
เฉินซีตวัดกระบี่เพื่อโต้กลับการโจมตีของเซียวเชียนซุ่ย ร่างสูงใหญ่เปล่งประกายประหนึ่งเทพเซียนผู้เร้นกายภายใต้แสงอันโชติช่วง กระบี่ตะขอดาราเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานแสนพิสุทธิ์ บัดนี้ชายหนุ่มได้เผยรัศมีอันน่าเกรงขามที่เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจและพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างยากจะหาใดเทียมทัน
หากเปรียบเทียบกันแล้ว เซียวเชียนซุ่ยก็หาได้ต่างจากเขานัก กระบี่เซียนสังหารเทพของเซียวเชียนซุ่ยเองก็เรืองรองไปด้วยรัศมีแห่งความวิบัติ มันเป็นเหมือนแม่น้ำแห่งความวิบัติที่กวาดเกลียวคลื่นไปโดยรอบ เรียกได้ว่าเขาและเฉินซีนั้นได้ต่อสู้กันได้อย่างสูสีเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ แม้ว่าเต๋าแห่งกระบี่ของเซียวเชียนซุ่ยจะไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนกระบี่อย่างเฉินซี แต่เขาก็สามารถรับมือกับการโจมตีจากอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเพียงแค่อาศัยพลังของรัศมีแห่งความวิบัติเท่านั้น ช่างเป็นคนที่พิเศษไม่น้อย
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เซียวเชียนซุ่ยยากจะยอมรับ!
ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ไม่กี่ปี ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับข้าได้อย่างทัดเทียมเช่นนี้!
ทั้ง ๆ ที่กับเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิง เขาไม่ได้จริงจังเสียด้วยซ้ำ เหตุใดเขาถึงจะต้องมาเอาจริงเอาจังกับเด็กอย่างเฉินซีด้วยเล่า?
ทว่าในตอนนี้ เฉินซีกลับสำแดงพลังของขอบเขตเซียนกระบี่และมหาเต๋าแห่งแสงสว่างเพื่อต่อสู้กับเขาอย่างสูสี แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาโกรธด้วยนึกอับอายได้อย่างไร?
ตู้ม!
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของผู้ชมทั้งหลาย ฉับพลันนั้นรัศมีพลังอันสง่างามก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเซียวเชียนซุ่ยครั้งใหญ่ คราวนี้สีหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม ปราศจากกระแสแห่งความปรานี ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีพลังชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวที่ล้นเอ่อจากทั่วทั้งสรรพางค์
ตอนนี้เอง ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นพลังทำลายล้างจำนวนมหาศาลที่เร้นลอดจากร่างกายของเซียวเชียนซุ่ย มันเป็นพลังที่เยือกเย็นและคลุมเครือไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่รุนแรงพอจะพลิกแผ่นดินให้พินาศลงได้
สิ่งนี้คือรัศมีแห่งความวิบัติ มันเป็นเหมือนกับแรงพิโรธจากสวรรค์ที่นำหายนะมาสู่โลก!
เคร้ง!
เสียงจากคมกระบี่เสียดแทงโสตประสาท กระบี่เซียนสังหารเทพปะทุลำแสงสีดำสนิทปกคลุมไปทั้งท้องฟ้า คล้ายความวิบัติครั้งใหญ่กำลังรวมตัวอยู่ภายในฝ่ามือของเซียวเชียนซุ่ย
เขาซัดกระบี่ออกไป!
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
ทุกที่ที่เจตจำนงกระบี่พาดผ่าน พื้นที่มิติพลันแตกสลาย แม้แต่พื้นของสนามประลองก็เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ นับเป็นภาพที่ทั้งน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
โชคดีที่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ข้อจำกัดรอบ ๆ สนามประลองได้ถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ มันสามารถต้านทานผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพลังโจมตีดังกล่าวได้อย่างไร้ที่ติ ไม่เช่นนั้นแล้ว สนามประลองนี้ก็คงจะพังพินาศอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเซียวเชียนซุ่ยน่ากลัวเพียงใด!
มันสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นแก่บรรดาผู้อาวุโสที่อยู่โดยรอบอย่างยิ่ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ ในขณะที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายนั้น พวกเขาหวาดหวั่นเสียจนหัวใจสั่นสะท้าน ตื่นเต้นกระทั่งแทบลืมหายใจ
ชิ้ง!
ครั้นเฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังจากการโจมตีครั้งนี้ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ชายหนุ่มหมุนควงกระบี่เซียนในมือขวา ปล่อยให้พลังแห่งแสงสว่างค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเริ่มเปล่งพลังที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและเหี้ยมเกรียมอย่างไม่มีใครเทียบได้ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและเข้าปะทะกับการโจมตีของเซียวเชียนซุ่ยในทันที
การโจมตีด้วยกระบี่นี้ไม่เพียงแต่หลุดพ้นจากข้อจำกัดของมิติเท่านั้น หากยังสามารถกระจายมิติให้แยกออกไป แสงกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยมหาเต๋าแห่งแสงสว่างกลายเป็นเปลวไฟแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนและพลุ่งพล่าน พวกมันเรืองประกายซึ่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ชะล้างโลกให้พ้นมลทินมัวหมอง
ตู้ม!
เมื่อพลังแห่งความวิบัติและแสงสว่างปะทะกัน ฉับพลันนั้น พื้นที่มิติก็บังเกิดเสียงก้องกัมปนาท พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากแรงปะทะกวาดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะสร้างคลื่นแห่งการทำลายล้างที่กระเพื่อมดั่งพื้นน้ำออกมากลืนกินพื้นที่โดยรอบ
เมื่อมองจากระยะไกล ทั่วทั้งสนามประลองในยามนี้พร่ามัวไปด้วยละอองฝุ่นและเศษธุลี แสงสว่างที่ซุกซ่อนในใจกลางพายุนั้นส่องกราดไปทั่วทั้งผืนฟ้า ชวนให้รู้สึกคล้ายดั่งจุดจบของโลกกำลังมาถึง
จริงอยู่ที่ศิษย์ทั้งหลายรู้ดีว่าสนามนี้มีข้อจำกัดคอยป้องกันอยู่ ทว่าพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวด้วยนึกตกใจเสียจนอกสั่นขวัญแขวน
ไม่มีใครไม่ตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ การต่อสู้ระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิงนับว่าเป็นการปะทะกันระหว่างดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่สองดวง ทว่าหากเปรียบเทียบในแง่ของพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว มันก็ยังเทียบไปไม่ได้กับการต่อสู้กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ฟึ่บ!
บนสนามประลอง ร่างของเฉินซีและเซียวเชียนซุ่ยผละออกจากกัน คนนั้นสองยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล
ท่าทางของเฉินซียังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแแปลง
ผิดกับเซียวเชียนซุ่ยที่เริ่มบังเกิดความกดดันหนึ่งขึ้นภายในใจ
“น่าเสียดาย แม้ว่าเจ้าจะเข้าใจในพลังแห่งแสงสว่างแล้ว แต่ก็ยังบรรลุแต่เพียงในฐานะของกฎเท่านั้น เจ้ายังไม่อาจขัดเกลาให้มันกลายเป็นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ได้ การโจมตีเมื่อครู่ข้าเพียงหยั่งเชิงเท่านั้น ต่อไปข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าไร้เทียมทานนั้นเป็นเช่นไร!” เซียวเชียนซุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่มืดมนของเขาเผยร่องรอยอันเหี้ยมเกรี้ยมและน่าสยดสยอง
แค่หยั่งเชิงอย่างนั้นหรือ? เฉินซีเหยียดยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อไป”
การปะทะกันเมื่อครู่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้นหรือ?
ผู้คนที่ได้ฟังดังนั้นต่างก็ตกตะลึง พวกเขาถึงกับพูดไม่ออกในทันที
“หึ!” ทันใดนั้น เซียวเชียนซุ่ยแค่นเสียงเย็นชาและเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากโจมตี
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
เขาซัดกระบี่อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าพันครั้ง สายใยของปราณกระบี่เหล่านั้นซ้อนทับกันและเกิดเป็นผลึกกระบี่ที่หนาแน่น ในตอนนั้นเอง รัศมีแห่งความวิบัติพวยพุ่งไปทั่วทั้งท้องฟ้า ก่อนจะลงมาปกคลุมร่างของเฉินซี
รัศมีแห่งความวิบัตินี้ผสานตัวกันเป็นสายใย ผนึก และกงล้อตามลำดับ พวกมันเคลื่อนตัวออกไปโจมตีร่างของเฉินซีอย่างรวดเร็วด้วยพลังที่คล้ายกับวัตถุที่มีรูปร่าง คล้ายมุ่งหมายให้อีกฝ่ายจมดิ่งภายใต้มวลแห่งความวิบัติ
เฉินซีแสยะยิ้มเมื่อเห็นฉากนี้ ฉับพลันนั้นเอง เมื่อชายหนุ่มตวัดกระบี่ตะขอดารา มวลเมฆและกระแสลมก็พัดพายรอบ ๆ กาย แสงกระบี่ที่พุ่งออกไปนั้นพิสุทธิ์อย่างเหลือล้น มันสามารถทำลายปราณกระบี่ที่เต็มไปด้วยรัศมีแห่งความวิบัติได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฉินซีหมุนตัวและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวหมอกควันที่ยากสังเกตเห็น เพียงพริบตา ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าเซียวเชียนซุ่ย พร้อมกับกระบี่ตะขอดาราที่ฟาดฟันยังศัตรูประหนึ่งกระบี่แห่งสวรรค์
เซียวเชียนซุ่ยชะงัก ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้องด้วยความทะนง
โครม!
เสียงของกระบี่เซียนสังหารเทพดังกึกก้องทันทีที่มันทำลายการโจมตีของเฉินซี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อพลังปราณกระบี่ที่ถูกหักล้างของเฉินซีนั้นหาได้กระจายออกไป หากแต่กลายเป็นลำแสงที่บางและคมกริบประหนึ่งเข็มนับพันเล่ม มันพุ่งเข้ามาทิ่มแทงตนอย่างดุเดือดอีกครั้ง
โครม! โครม! โครม!
เซียวเชียนซุ่ยไม่ทันได้ตั้งตัว เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังถูกค้อนขนาดใหญ่ฟาดอย่างแรง แสงกระบี่ที่มีรูปลักษณ์อย่างเข็มนั้น แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยพลังมหาศาลไม่ต่างจากน้ำในมหาสมุทร มันเอ่อล้นเสียจนไม่อาจต้านทาน แม้เขาจะสามารถจัดการมันทีละเล่มได้ หากร่างกายนั้นก็ยังคงสั่นไหวท่ามกลางเลือดที่ไหลริน
ตอนนี้เอง เฉินซีเคลื่อนที่ผ่านมิติอีกครั้ง ชายหนุ่มตวัดกระบี่ในมือ มันกลายเป็นกระบี่แห่งแสงอันแวววาว โปร่งใส และเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัว
ดวงหน้าของเซียวเชียนซุ่ยผลัดหม่นหมอง ฉับพลัน เขารีดเค้นกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหลบการโจมตีดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือใด ๆ เฉินซีก็เคลื่อนที่ผ่านมิติอีกครั้ง คล้ายว่าครั้งนี้เขาจะกดดันให้เซียวเชียนซุ่ยกลายเป็นเหยื่อที่ถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายได้สำเร็จ
“บัดซบ!” เซียวเชียนซุ่ยหลบอีกครั้ง เขาจัดการโต้ตอบการโจมตีที่มาถึงอย่างซวนเซเล็กน้อย บัดนี้สีหน้ามีเพียงเงามืดมน ไม่ต่างอะไรกับเทพอสูรที่กำลังพิโรธอย่างถึงขีดสุด รัศมีพลังกล้าแกร่งขึ้นถนัดตา การที่อีกฝ่ายไล่ต้อนให้เขาต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับการโจมตีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้!
“ไร้รูปไร้อาณา พลังวิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์!” ทันใดนั้น เซียวเชียนซุ่ยคำรามเสียงเดือดดาล ร่างกายพลันอาบท่วมไปด้วยเมฆหมอกดำทมิฬ เขาเป็นเหมือนเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่ปรากฏขึ้นยามผู้บ่มเพาะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น จิตสังหารที่ไร้เมตตา และรัศมีแห่งความวิบัติอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าใครก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีแห่งความวิบัติที่รุนแรงนั้นแผงกายภายในมวลเมฆทัณฑ์สวรรค์หนาทึบ มันเป็นเหมือนสายฟ้าสีดำที่แปลบปราบกลางหมู่เมฆ เสียงของมันก้องกัมปนาทไม่ต่างฟ้าคำรน
สายฟ้าลงทัณฑ์!
“เต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ!” หวังต้าวหลูที่อยู่ในระยะไกลมีสีหน้าเคร่งเครียดในขณะที่พึมพำกับตัวเอง เขาจำเคล็ดวิชาประเภทนี้ได้ มันเป็นของตกทอดมาจากนิกายอำนาจเทวะ
เคล็ดวิชานี้จะเปลี่ยนพลังความวิบัติให้กลายเป็นทัณฑ์สวรรค์ เมื่อมันถูกใช้ ไม่เพียงแต่จะกลายสภาพเป็นทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น หากยังสามารถดึงรัศมีแห่งทัณฑ์สวรรค์ภายในร่างกายของเป้าหมายออกมา ส่งผลให้เลือดของคนผู้นั้นโคจรย้อนกลับและเกิดความเสียหายภายในวัฏจักรของลมปราณ!
รัศมีแห่งทัณฑ์สวรรค์คือรัศมีที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกายของผู้บ่มเพาะซึ่งเข้ามาในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ และเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์มาอย่างมากมาย โดยปกติแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจสัมผัสถึงได้
ในภพทั้งสามนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์หรือเทพเซียน พวกเขาล้วนแต่เคยประสบกับทัณฑ์สวรรค์มาแล้วทั้งสิ้น! อาจกล่าวได้ว่าเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะมีอำนาจทำลายล้างที่รุนแรงต่อผู้บ่มเพาะทั้งหลายในทั้งสามภพ ตราบใดที่ในอดีตพวกเขาสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงพลังของเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ
มีเพียงผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์และมีระดับการบ่มเพาะที่ยืนอยู่บนเส้นทางระหว่างเซียนและปราชญ์เท่านั้นที่สามารถขจัดพลังจากรัศมีแห่งความวิบัติเหล่านี้ออกจากร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเพียงสิ่งมีชีวิตในขอบเขตเซียนปราชญ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะได้ ในขณะที่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในภพทั้งสามที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตเซียนปราชญ์นั้นล้วนแต่ได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย
ในตอนนี้ เฉินซีมีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนทองคำเท่านั้น มีหรือจะหลบเลี่ยงภยันตรายจากเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะได้?
…
ตอนนี้เอง เมื่อหวังต้าวหลู อาจารย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า รวมไปถึงบรรดาอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาอื่น ๆ ได้เห็นรัศมีสายฟ้าลงทัณฑ์ที่เกิดจากรัศมีแห่งความวิบัติกำลังหมุนวนอยู่รอบ ๆ เซียวเชียนซุ่ย พวกเขาก็พลันประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล
เต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ! สิ่งนี้เป็นวิชาลับที่สืบทอดมาจากนิกายอำนาจเทวะ! นี่เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมว่าเซียวเชียนซุ่ยมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์จะสามารถครอบครองเคล็ดวิชานี้ได้
ทันใดนั้น สายตาที่บรรดาผู้อาวุโสทอดมองไปยังเหลิ่งอวิ๋นโส่วก็เปลี่ยนไป ทั้ง ๆ ที่เซียวเชียนซุ่ยมาจากสำนักศึกษาระทมสันต์ แต่กลับสามารถเข้าใจเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ แล้วอย่างนี้ มีหรือที่สำนักศึกษาระทมสันต์จะไม่รู้ไม่เห็น?
สีหน้าของเหลิ่งอวิ๋นโส่วดูจะย่ำแย่ลงจากเดิมเล็กน้อย สายตาของเขาเต็มไปด้วยแสงวูบไหว หากสิ่งที่อยู่ภายในใจนั้น หามีใครล่วงรู้
อันที่จริงแล้ว หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าท่าทางของอาจารย์จากสำนักศึกษานภาไพศาลและสำนักศึกษามหาเดียวดายนั้นค่อนข้างจะออกไปทางเฉยเมย แน่ละ ก็พวกเขารู้เรื่องนี้ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น
ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดปากสนิทและทำเหมือนไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาก่อน
…
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่งบนสนามประลอง ใบหน้าของเซียวเชียนซุ่ยทะนงและหยิ่งผยอง เสื้อคลุมกระพือพัดไหวท่ามกลางมวลเมฆทัณฑ์สวรรค์สีดำสนิท เขาในยามนี้ช่างดูเยือกเย็น ไร้ความรู้สึก ไม่แม้จะทอดความรู้สึกต่อสิ่งใด
ราวกับว่าได้สูญเสียห้วงอารมณ์ทั้งหมดไปสิ้น และได้กลายภาชนะของสายฟ้าลงทัณฑ์อย่างแท้จริง
อำนาจเทวะไร้ซึ่งอารมณ์!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเมื่อเห็นภาพที่น่าตกใจนี้ ประกายแสงอันเย็นยะเยือกสว่างวาบภายในนัยน์ตาคมกริบ นี่หรือคือสิ่งตกทอดจากนิกายอำนาจเทวะ?
ชิ้ง!
ตอนนั้นเอง เซียวเชียนซุ่ยไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด หากมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนมุมปาก เขาซัดกระบี่เซียนสังหารเทพขึ้นไปบนอากาศเบา ๆ เพียงพริบตา สายฟ้าลงทัณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นบนแผ่นฟ้าบางเบา
สายฟ้าลงทัณฑ์หลั่งรินดังเม็ดฝนโปรยปราย!
ทันใดนั้น สนามประลองก็ถูกปกคลุมไปด้วยเต๋าแห่งทัณฑ์อำนาจเทวะ มันเหมือนกับบทลงโทษที่เกิดจากแรงพิโรธแห่งสวรรค์ เป็นดังทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง!
ฉับพลันนั้น ร่างของเฉินซีเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่!