ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 292 พบหน้ากันและกัน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 292 พบหน้ากันและกัน

พระชายาผิงหนานอ๋องย่อมคิดไม่ถึงว่า บุตรชายเกิดความคิดที่ไม่สมควรมีกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่คิดถึงลั่วเซิง

มีหอสุราเปิดทำการโดยคุณหนูลั่ว หลายวันมานี้บุตรชายมักจะไปที่นั่น คงไม่ได้ชอบพอในตัวคุณหนูลั่วหรอกนะ

ความคิดนี้ถาโถมซัดสาดรุนแรงในหัวใจพระชายาผิงหนานอ๋อง ประหนึ่งน้ำหยดลงในกระทะน้ำมันจนกระเด็นไปทั่ว ทำให้นางตื่นตกใจสุดขีด ทั่วร่างเย็นเยือก

คนแบบคุณหนูลั่วเป็นลูกสะใภ้…เพียงแค่นึกถึงความเป็นไปได้นี้ พระชายาผิงหนานอ๋องก็หายใจไม่ออก

ไม่ต้องพูดเลยว่าจะเข้าประตูจวนอ๋อง แค่มีข่าวลือซุบซิบของบุตรชายกับคุณหนูลั่วออกมา นางก็รับไม่ได้แล้ว

นั่นเป็นสตรีแบบไหนกัน โอหังอวดดีและกำเริบเสิบสานนั้นไม่พูดถึง อายุสิบสามสิบสี่ก็เลี้ยงดูนายบำเรอแล้ว

และที่ทำให้พระชายาผิงหนานอ๋องกลัวยิ่งกว่าก็คือ อีกฝ่ายเป็นพวกขัดทำนองคลองธรรม หากมีความตั้งใจจะแต่งเข้าจวนอ๋อง จวนอ๋องปฏิเสธก็จบแล้ว หากเพียงแค่อยากจะมั่วสุมกับบุตรชายก็ช่างเป็นการยากที่จะให้คนป้องกัน

นังเด็กแพศยานั่นต้องการทำลายชื่อเสียงของเฟิงเอ๋อร์!

ในใจพระชายาผิงหนานอ๋องประหนึ่งคลื่นลมที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง นางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่อยากแต่งภรรยาเร็วหรือ เชื้อพระวงศ์อย่างพวกเราไม่ต้องให้บุตรหลานสอบขุนนางและไม่จำเป็นต้องไปทำงานหนักในกองทัพ อย่างมากที่สุด เจ้าก็แค่ร่ำเรียนกิจต่างๆ ขุนนางในจวนอ๋องเล็กน้อย การแต่งภรรยา ให้กำเนิดบุตรต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ”

เว่ยเฟิงถูกถามจนชะงักค้าง

ในฐานะทายาทจวนอ๋อง หน้าที่รับผิดชอบของเขาก็คือการมีทายาท หาเหตุผลหนึ่งมาหลบเลี่ยงการแต่งภรรยานั้นยากเย็นยิ่ง

เว่ยเฟิงซึ่งถูกสายตาสำรวจที่มองมาอย่างพิจารณาของพระชายาผิงหนานอ๋อง จำใจต้องตอบว่า “ลูกยังไม่ได้เตรียมตัวจะแต่งภรรยาให้เรียบร้อยขอรับ…”

พระชายาผิงหนานอ๋องขมวดคิ้ว “เรื่องทุกอย่างในการแต่งงานล้วนมีคนจัดการให้ ยังต้องการให้เจ้าเตรียมตัวอะไร? หรือจะบอกว่า…เจ้ามีคนที่ถูกใจแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ลองเล่าให้แม่ฟังก็ได้ รูปร่างหน้าตาและกิริยามารยาทโดดเด่น แม่ก็ไม่คัดค้านหรอก”

เว่ยเฟิงตะลึงในความเปิดกว้างของพระชายาผิงหนานอ๋องมาก

ฟังจากความหมายของเสด็จแม่ หากเขามีแม่นางที่ถูกใจ ถึงกับสามารถตัดสินใจเองได้?

นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ

เพียงแต่น่าเสียดายที่คนที่เขาถูกใจไม่ใช่แม่นาง!

เดี๋ยวก่อน…เว่ยเฟิงหวั่นไหว

หากว่าเขาสู่ขอคุณหนูลั่วล่ะ?

อาศัยนิสัยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจศีลธรรมของคุณหนูลั่ว ก็ไม่แน่ว่าจะพาฟู่เสวี่ยมาด้วย…

เสี้ยววินาทีที่เว่ยเฟิงหวั่นไหวก็ปัดความคิดที่ไม่สมจริงนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเสด็จแม่จะเปิดกว้างเพียงใด ก็ไม่มีทางถูกใจคุณหนูลั่ว

“ลูกไม่มีคนที่ถูกใจขอรับ” เว่ยเฟิงท้อใจ พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

พระชายาผิงหนานอ๋องมีสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ก็ไปจุดธูปบูชาเป็นเพื่อนแม่”

“เสด็จแม่…”

พระชายาผิงหนานอ๋องมีสีหน้าเย็นชา “บุรุษต้องแต่งภรรยา สตรีต้องออกเรือน ในเมื่อเจ้าไม่มีคนที่ถูกใจ และไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่หวัง เหตุใดจึงไม่ยินยอมไปพบหน้า”

เว่ยเฟิงลอบสูดลมหายใจ ทำได้แค่รับปาก “พรุ่งนี้ลูกจะไปจุดธูปบูชาเป็นเพื่อนท่าน”

พระชายาผิงหนานอ๋องเผยรอยยิ้มบางๆ “จำเอาไว้ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า กลับไปพักผ่อนเถอะ”

เว่ยเฟิงกลับไปถึงห้องก็พลิกตัวไปมาถึงเที่ยงคืน แล้วคิดตกกะทันหัน

เรื่องการแต่งภรรยานั้นย่อมเลี่ยงไม่ได้ หากคุณหนูใหญ่หวังอ่อนโยนและจริงใจเฉกเช่นวาจาของเสด็จแม่ ก็ไม่ใช่ว่าแต่งเข้ามาไม่ได้

เขาสร้างครอบครัวแล้ว มีบางเรื่องที่เสด็จแม่ไม่สะดวกจะจัดการมากนัก และสตรีที่นิสัยอ่อนแอย่อมควบคุมเขาไม่อยู่แน่นอน

ถึงตอนนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะมีอิสระอยู่บ้าง

หลังจากคิดตก เว่ยเฟิงก็หลับไปทันที เช้าวันรุ่งขึ้นก็ถูกเด็กรับใช้ปลุกอยู่สักพัก ถึงจะลืมตา

จวนอ๋องเตรียมรถม้ามุ่งหน้าไปยังวัดต้าฝูนั้นไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ จวนรองเจ้ากรมหวังก็มีบรรยากาศไม่เหมือนกับที่ผ่านมา

คุณหนูรองหวังขยี้ตา มุ่งหน้าไปเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าหวังเป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่หวัง

“ครั้งนี้ท่านย่าไปจุดธูปบูชาเช้ากว่าในอดีตที่ผ่านมา”

ฟ้าเพิ่งสาง นางกับพี่สาวก็ตื่นขึ้นมาหวีผมล้างหน้า แต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว เพียงแค่หวีผมก็วุ่นวายอยู่นานมาก ทำให้นางนึกว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอะไร

คุณหนูใหญ่หวังซ่อนความกระวนกระวายใจไว้ในก้นบึ้งนัยน์ตา แต่มุมปากกลับประดับรอยยิ้ม “ไปเร็วกลับเร็วก็ดีนะ”

นับตั้งแต่สองวันก่อนที่ท่านย่าเรียกนางไปพบคนเดียว ก็บอกเรื่องที่นางจะไปพบเจอกับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อที่วัดต้าฝูในวันนี้ นางก็ไม่ได้นอนหลับสนิทอีกเลย

สามารถกลายเป็นชายาเอกของซื่อจื่อนั้นมีความก้าวหน้าไม่จำกัดจริงๆ และสามารถทำให้แม่เลี้ยงที่ทรมานนางกับน้องสาวในหลายปีนี้ประจบสอพลอนางได้ แต่นางกลับไม่ต้องการเป็นนกกระจอกที่บินขึ้นไปบนกิ่งก้านแล้วเปลี่ยนเป็นหงส์ตัวนั้น

นางเคยพบพระชายาผิงหนานอ๋องที่สูงส่งเหนือผู้คน และเคยติดต่อกับท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องที่อยู่เหนือผู้คนมาก่อน เมื่อนึกว่าสามารถแต่งเข้าไปในจวนที่สูงส่งเหนือผู้คนเช่นนี้แล้วก็กลัวจนตัวสั่นงันงก

นางรู้ความสามารถของตัวเองดีว่า ไม่มีความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องเสมือนปลาได้น้ำ[1] สุดท้ายอนาคตและหน้าตาเหล่านั้นก็ไม่อาจแทนที่การใช้ชีวิตอย่างแท้จริงได้

คืนวันที่ต้องระมัดระวังและไร้อิสระเช่นนี้ สิบแปดปีมานี้ นางใช้ชีวิตแบบนี้มาพอแล้ว และไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีก

แต่ทว่า สุดท้ายก็ไม่สามารถทำตามใจปรารถนาได้ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นการแต่งงาน ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ท่านย่าหรือแม่เลี้ยงตัดสินใจ

นึกถึงสีหน้าท่าทางการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นของแม่เลี้ยงแล้ว คุณหนูใหญ่หวังก็ยิ้มมุมปากเยาะหยันตัวเอง

หากต้องมอบให้แม่เลี้ยงตัดสินใจ ไม่สู้ฟังท่านย่าเสียดีกว่า

คุณหนูรองหวังกับคุณหนูใหญ่หวังต่างพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอดจนเติบใหญ่ แม้ว่านิสัยจะร่าเริงกว่าพี่สาวอยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ประเภทเรื่อยเฉื่อยจึงมองออกถึงเบาะแสผ่านสีหน้าคุณหนูใหญ่หวังได้หลายส่วน

“พี่สาว ท่านมีเรื่องในใจใช่หรือไม่”

คุณหนูใหญ่หวังส่ายหน้า “ไม่มี เจ้าอย่าคิดเหลวไหล”

คุณหนูรองหวังชะงักฝีเท้า เม้มปากมองคุณหนูใหญ่หวัง

คุณหนูใหญ่หวังจึงทำได้แค่เอ่ยว่า “ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วค่อยคุยกัน”

สองพี่น้องเดินเคียงไหล่กันเข้าไปในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าหวัง

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังค่อนข้างพอใจในการที่หลานสาวสองคนมาที่นี่แต่เช้าตามคำกำชับ เพียงแต่เมื่อกวาดตามองผ่านคุณหนูใหญ่หวังก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงไม่สวมเครื่องประดับศีรษะที่ย่าสั่งให้คนนำไปส่งให้”

คุณหนูใหญ่หวังหลุบตาลง “เครื่องประดับศีรษะที่ท่านย่าส่งไปนั้นล้ำค่าเกินไป หลานตัดใจสวมไม่ลงเจ้าค่ะ”

“ของดีต้องสวมใส่”

“หลานคิดว่าแต่งกายเรียบง่ายหน่อยต่อหน้าพระโพธิสัตว์ก็ดีเจ้าค่ะ”

นึกถึงเรื่องที่จะไปพบเจอกับจวนผิงหนานอ๋องในวันนี้ นางก็ไม่อยากแต่งกายให้ตัวเองงามเพริศพริ้ง

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับคิดถึงอีกความหมายหนึ่ง “สิ่งที่หลานสาวคนโตพิจารณาก็มีเหตุผลเช่นกัน เรียบง่ายสุขุมสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเข้าตาพระชายาผิงหนานอ๋องได้”

จวนผิงหนานอ๋องน่ะ แค่คิดก็ไม่กล้าคิดแล้ว พระชายาผิงหนานอ๋องถึงกับคิดถึงหลานสาวคนโตของนาง

ระยะนี้จวนผิงหนานอ๋องโชคไม่ดีเล็กน้อย ว่ากันว่าผิงหนานอ๋องกลายเป็นคนพิการ…

แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ หลานสาวคนโตสามารถแต่งเข้าไปได้ก็ดี ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่ถึงสองปี ก็สามารถมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องราวในจวนได้แล้ว

คุณหนูรองหวังได้ยินบทสนทนาของท่านย่ากับพี่สาวคนโตแล้วก็สับสนไม่เข้าใจมาตลอด ในใจก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น

ตอนนี้เองที่สาวใช้เข้ามารายงานว่า นายหญิงใหญ่กับคุณหนูสามมาถึงแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังพยักหน้า ไม่นานนัก สตรีรูปโฉมงดงามก็นำเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

เด็กสาวอายุประมาณสิบสี่สิบห้า คิ้วและดวงตาดุจภาพวาด ผิวขาวประหนึ่งหิมะ รูปโฉมงดงามเหนือกว่าสองพี่น้องคุณหนูใหญ่หวังไปไกล

วันนี้เห็นได้ชัดว่าคุณหนูสามหวังตั้งใจแต่งตัว ทรงผม เสื้อผ้ารวมถึงรองเท้าและถุงเท้า ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่งดงามจึงยิ่งเอาชนะสองพี่น้องได้มากกว่าเดิม

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังขมวดคิ้ว เอ่ยกับสตรีนางนี้ว่า “ซานเหนียง หลายวันก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นหวัดหรอกหรือ”

สตรีรีบตอบ “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ซานเหนียงไม่ได้เรื่อง หลายวันที่ป่วยล้วนไม่ได้มาทักทายยามเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้อาการป่วยหายดีแล้วจึงให้ไปจุดธูปบูชาเป็นเพื่อนท่านได้พอดี ถือว่าเป็นใจกตัญญูรู้คุณของยัยหนูนี่นะเจ้าคะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท