ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 294 โชคชะตา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 294 โชคชะตา

รอยยิ้มนี้ของคุณหนูสามหวังทำให้เว่ยเฟิงตกตะลึงอยู่บ้าง

เขาจ้องมองเด็กสาวคนนี้ ก็เห็นว่าผิวพรรณของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ทำให้เขาอดนึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้

และเมื่อแย้มริมฝีปากยิ้ม ก็ยิ่งเหมือนกว่าเดิม

คุณหนูสามหวังถูกเว่ยเฟิงมองจนหัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ทั้งตื่นเต้นและปีติยินดี

ปีติยินดีที่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อให้ความสำคัญกับนางเป็นพิเศษ ตื่นเต้นที่อย่างไรเสียผิงหนานอ๋องซื่อจื่อก็ไม่ใช่คนตัดสินใจที่แท้จริง

คุณหนูสามหวังเหลือบมองพระชายาผิงหนานอ๋องอย่างอดไม่ได้แวบหนึ่ง

สตรีบอบบางขาวซีดซึ่งมีบุคลิกอ่อนหวาน รอยยิ้มที่ประดับบริเวณมุมปาก นอกจากทำให้คนรู้สึกถึงความมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ ก็อดไม่ที่จะเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม

อารมณ์ตื่นเต้นของคุณหนูสามหวังลดลงเล็กน้อย

มารดาบอกไว้ว่า ในเมื่อมีการพบหน้ากันในวันนี้ก็เห็นได้ว่าจวนอ๋องไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องตระกูลเท่าใดนัก นางกับพี่ใหญ่ล้วนเป็นคุณหนูของจวนรองเจ้ากรม สำหรับจวนอ๋องแล้ว มีความแตกต่างกันไม่มาก

ตอนนี้พระชายาผิงหนานอ๋องมีผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว คิดว่าน่าจะทำตามความปรารถนาของบุตรชายกระมัง

มารดากำชับนางไว้ว่าให้คว้าโอกาสนี้เอไว้ให้ดี นางไม่มีทางทำให้มารดาผิดหวังแน่นอน

คุณหนูสามหวังคิดเช่นนี้ก็มีความมั่นใจ

“ถวายพระพรพระชายา” ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทำความเคารพ

สามพี่น้องก็ทำความเคารพตาม

“ฮูหยินรองเจ้ากรมไม่จำเป็นต้องมากพิธี เด็กสาวเหล่านี้ล้วนเป็นหลานสาวของท่านหรือ แต่ละคนราวกับบุปผาเชียว”

“เป็นบรรดาหลานสาวของข้าเองเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหวังรีบแนะนำสามพี่น้อง พลางเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้พาพวกนางมาจุดธูปบูชา คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับพระชายาเอก เป็นวาสนาของพวกนางเช่นกัน”

พระชายาผิงหนานอ๋องฟังฮูหยินผู้เฒ่าหวังแนะนำ ความสนใจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ร่างคุณหนูใหญ่หวัง

พระชายาผิงหนานอ๋องพอใจมาก

อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แม้ว่าสองตระกูลจะมีความสัมพันธ์กันไม่มาก แต่ก็ต้องมีช่วงอยู่ได้รวมตัวกัน ทว่าด้วยฐานะของนางย่อมไม่มีทางให้ความสนใจกับหลานสาวรองเจ้ากรมตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

วันนี้เมื่อพิจารณามองให้ละเอียด ก็ไม่แตกต่างกับเรื่องราวที่ได้สอบถามมาจึงวางใจแล้ว

ผู้ที่ยืนติดกับคุณหนูใหญ่หวัง ก็คือคุณหนูรองหวังซึ่งหน้าตาเหมือนกับพี่สาวมาก เพียงแต่ท่าทางจะอายุน้อยกว่าหนึ่งถึงสองปี พระชายาผิงหนานอ๋องจึงไม่ได้มองมากนัก

สองพี่น้องมีชาติกำเนิดเหมือนกัน มีพี่สาวอยู่ก่อน แน่นอนว่าไม่มีทางพิจารณาน้องสาว

สำหรับคุณหนูสามหวัง พระชายาผิงหนานอ๋องเพียงแค่มองแวบเดียวก็โยนทิ้งไปไม่สนใจอีก

บุตรีคนสุดท้องของจวนรองเจ้ากรมคนนี้เป็นสาวงามที่มีรูปโฉมโดดเด่น เพียงแต่สตรีที่หน้าตาสะสวย นางเจอมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้วจึงไม่รู้สึกว่าเป็นจุดแข็งในตอนที่พิจารณาลูกสะใภ้

ในฐานะพระชายาของซื่อจื่อจวนผิงหนานอ๋อง ความประพฤติต่างหากที่ต้องมาก่อน รูปโฉมปานกลางก็พอแล้ว

คุณหนูสามหวังรับรู้ถึงการเมินเฉยของพระชายาผิงหนานอ๋องจึงตื่นตระหนก

ว่าแล้วเชียวว่า คนที่จวนผิงหนานอ๋องพิจารณาก็คือพี่ใหญ่

ทว่าก็ไม่แปลก พี่ใหญ่อายุสิบแปดปีแล้ว ส่วนนางยังห่างจากวัยปักปิ่นอีกหลายเดือน คิดจะหารือเรื่องแต่งงานกับบุตรีในจวนรองเจ้ากรมย่อมไม่มีทางข้ามหน้าพี่สาวมาพิจารณานาง

และเพราะเป็นเช่นนี้ นางจึงต้องช่วงชิงมาด้วยตัวเอง

คุณหนูสามหวังฉวยโอกาสแอบมองเว่ยเฟิงในตอนที่พระชายาผิงหนานอ๋องสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าหวัง

คนผู้นั้นมองมาอย่างไม่ใส่ใจราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง

คุณหนูสามหวังโค้งมุมปาก แย้มรอยยิ้มอีกครั้ง

หลังจากนั้น ก็เห็นคนผู้นั้นเก็บท่าทางไม่ใส่ใจและแทนที่ด้วยความจริงจังหลายส่วนอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

แพขนตายาวเป็นแพของคุณหนูสามหวังสั่นไหวเบาๆ

ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่สามารถกระทำเรื่องใดที่เกินเลย สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ ทำให้เขาจดจำดวงหน้ายิ้มแย้มของนาง

ก่อนหน้านี้ นางก็รู้แล้วว่าตัวเองงามกว่าพี่สาวทั้งสองคน ตอนที่สามพี่น้องปรากฏตัวต่อหน้าบุรุษพร้อมกัน นางมักจะเป็นคนที่ดึงดูดสายตาอีกฝ่าย

วันนี้ ก็ไม่มีทางเป็นข้อยกเว้นเช่นกัน

ส่วนเว่ยเฟิงที่จ้องริมฝีปากซึ่งแย้มรอยยิ้มของคุณหนูสามหวังก็ตัดสินใจแล้วว่า หากต้องเลือกแต่งงานกับคนใดคนหนึ่งในบรรดาคุณหนูทั้งสาม เช่นนั้นก็คนเล็กสุดแล้วกัน

นางดูแล้วอายุมากกว่าเด็กหนุ่มที่ทำให้เขาหวั่นไหวคนนั้นนิดหน่อย ท่าทางที่ยิ้มออกมาก็ทำให้เขาอดคิดถึงอีกฝ่ายไม่ได้

แม้ว่าจะไม่ชอบ อย่างน้อยตอนที่มาลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าในภายภาคหน้าก็ไม่รู้สึกว่ารำคาญ

สำหรับคุณหนูใหญ่หวังนั้น..เว่ยเฟิงส่ายหน้าในใจ

เขาเห็นคุณหนูใหญ่หวังแล้วรู้สึกง่วงนอน จะสู่ขอกลับไปทำอะไร

การแกล้งบังเอิญพบหน้ากันแบบนี้ เวลาไม่ยาวนานเกินไป ผ่านไปไม่เท่าไร พระชายาผิงหนานอ๋องก็เอ่ยว่า “วันนี้บังเอิญเจอฮูหยินรองเจ้ากรม คุยแล้วถูกคอยิ่งนัก ข้าไม่ถ่วงเวลาท่านพาหลานสาวไปจุดธูปบูชาแล้ว วันหลังค่อยเชิญฮูหยินรองเจ้ากรมไปงานเลี้ยงเล็กๆ ที่จวนอ๋องแล้วกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังได้ยินก็เบิกบานมีความสุขยิ่ง แต่กลับขอบคุณด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

สองฝ่ายแยกกันเงียบๆ

ระหว่างทางกลับจวนรองเจ้ากรม คุณหนูรองหวังกระซิบข้างหูคุณหนูใหญ่หวัง “ท่านพี่ ข้าเห็นน้องสามยิ้มให้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อด้วย ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อก็จ้องน้องสามตลอดเช่นกัน”

เอ่ยถึงตรงนี้ คุณหนูรองหวังก็ยิ่งกลัดกลุ้มใจ “เห็นได้ว่าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อก็เป็นคนที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก”

หากผิงหนานอ๋องซื่อจื่อถูกใจน้องสาม แต่กลับแต่งพี่ใหญ่เข้าตระกูลไป คิดๆ แล้วก็อยากจะอาเจียน

พี่สาวของนางดีขนาดนี้ คู่ควรกับสามีในอนาคตที่ชื่นชอบนางสุดจิตสุดใจ

คุณหนูใหญ่หวังได้ยินวาจาของน้องสาวก็เอ่ยอย่างไม่ถือสาว่า “ทุกคนล้วนรักสวยรักงาม ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร”

ตระกูลและตำแหน่งของตัวเองต่ำต้อยต่างหาก ถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางปฏิเสธการแต่งงานนี้

คุณหนูรองหวังบิดผ้าเช็ดหน้า งึมงำว่า “ไม่รู้ว่าพระชายาผิงหนานอ๋องปฏิบัติต่อผิงหนานอ๋องซื่อจื่ออย่างไร…”

ยึดความรักและทะนุถนอมเป็นหลัก หรือว่ายึดความเฉียบขาดเป็นหลัก?

แม้ว่าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อจะจ้องมองน้องสามตลอด แต่ในสายตาพระชายาผิงหนานอ๋องนั้นมีแต่พี่สาว

คุณหนูใหญ่หวังไม่ได้ต่อบทสนทนา นางยื่นมือเลือกม่านรถม้าขึ้น ปล่อยให้สายลมต้นฤดูหนาวพัดเข้ามา

นางย่อมเข้าใจความหมายของน้องสาว และเพราะเป็นเช่นนี้จึงยิ่งรู้สึกไม่มีทางเลือก

สตรีอยากจะกำหนดโชคชะตาของตัวเองนั้นยากเกินไป ถึงขั้นที่หลายๆ ครั้งทำได้แค่มอบมันให้กับโชคเท่านั้น

ครั้งนี้หวังว่า นางจะโชคดีเล็กน้อย

พระชายาผิงหนานอ๋องกลับไปถึงจวนอ๋องก็เรียกเว่ยเฟิงมาสอบถามในห้อง

“วันนี้เจอคุณหนูใหญ่หวังแล้ว เจ้าพอใจหรือไม่”

“ลูกไม่ชอบขอรับ”

พระชายาผิงหนานอ๋องมุ่นคิ้ว “คุณหนูใหญ่หวังสง่างาม กิริยาวาจาเหมาะสม รูปโฉมก็ไม่ด้อย มีตรงไหนที่ไม่ถูกใจเจ้า”

“คุณหนูใหญ่หวังแต่ละอย่างล้วนไม่แย่ แต่ไม่มีสิ่งใดที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ในสายตาลูก คุณหนูใหญ่หวัง คุณหนูใหญ่จางหรือคุณหนูใหญ่หลี่มีอะไรแตกต่างกันหรือ ในอนาคต ลูกไม่อยากที่จะจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตาของภรรยาตัวเอง” เว่ยเฟิงเอ่ยวาจาที่คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วออกมา “หากเสด็จแม่ต้องการให้ลูกแต่งกับหลานสาวของจวนรองเจ้ากรม เช่นนั้นก็คุณหนูสามหวังแล้วกันขอรับ”

“ไม่ได้!”พระชายาผิงหนานอ๋องโพล่งออกมาทันที

นังหนูที่ยังไม่ผ่านการปักปิ่นเช่นนั้นหรือ

“เลือกภรรยา เลือกที่ความดี หากเจ้าชอบรูปโฉมงดงาม หลังจากนี้ค่อยรับอนุภรรยาก็ได้”

เว่ยเฟิงส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ชอบคุณหนูใหญ่หวัง”

“เช่นนั้นก็ไปพบหน้ากับคุณหนูของจวนอื่นๆ อีกสักสองสามจวนแล้วกัน”

เพื่อเฟ้นเลือกพระชายาให้กับบุตรชาย ย่อมไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคุณหนูใหญ่หวังเท่านั้น

“หากว่าเสด็จแม่ล้วนอิงตามเงื่อนไขของคุณหนูใหญ่หวัง เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปดูแล้วขอรับ” เว่ยเฟิงเอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป

พระชายาผิงหนานอ๋องโกรธเกรี้ยว “หยุดนะ! ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ”

เว่ยเฟิงหมุนตัวกลับมา เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จแม่ ท่านจะเห็นข้าเป็นเด็กคนหนึ่งตลอดเลยหรือขอรับ

ในตอนที่พระชายาผิงหนานอ๋องนิ่งเงียบ เว่ยเฟิงก็เอ่ยทีละคำว่า “ท่านต้องรู้ว่า เด็กคนหนึ่งเป็นซื่อจื่อที่ดีไม่ได้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท