ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 313 อย่าร้องเลย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 313 อย่าร้องเลย

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของลั่วเซิง เถาฮูหยินอดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ “เชิญคุณหนูลั่วถาม”

คุณหนูลั่วคนนี้ต่อกรยากกว่าที่นางคิดไว้มากนัก ทั้งๆ ที่ในข่าวลือนางเป็นเพียงจอมเสเพลไร้การศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น

“เหตุผลที่จวนท่านจะถอนหมั้น” ลั่วเซิงพูดขึ้นทีละพยางค์

“เหตุผลหรือ”

“ใช่ จะถอนงานแต่งงานที่หมั้นหมายกันมาหลายปีก็ควรมีเหตุผลมิใช่หรือ”

เถาฮูหยินกระตุกคิ้วเบาๆ

เหตุผล?

เรื่องก็เห็นกันทนโท่เช่นนี้ จวนลั่วยังมีหน้ามาถามเหตุผล

เมื่อเห็นเถาฮูหยินเงียบ มุมปากของลั่วเซิงปรากฏรอยยิ้มหยัน “คงไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพราะท่านพ่อของข้าติดคุก จวนท่านก็เลยรีบร้อนอยากจะถอนหมั้นหรอกนะ”

เถาฮูหยินหน้าแข็งทื่อ

ไม่ได้แน่นอน!

ถอนหมั้นกับจวนลั่ว ที่จริงผู้อื่นเข้าใจได้ เป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินได้นั้นย่อมไม่ใช่คนดีอะไร ทำอะไรผิดไปแล้วยังต้องให้นางซวยไปด้วยหรือ

มองดูในเมืองหลวง ตระกูลแบบนั้นเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และถูกถอนหมั้นก็มีไม่น้อย

ทว่าเรื่องเหล่านี้ทำได้ แต่พูดไม่ได้ พูดออกไปแล้วก็จะแสดงให้เห็นว่าจวนเถาเห็นผู้อื่นตกบ่อแล้วยังปาหินใส่

“ไม่เหมาะสมกัน โดยเฉพาะเมื่อนายท่านของจวนข้ามีส่วนในการตัดสินคดีของท่านพ่อเจ้า ความสัมพันธ์เช่นนี้น่ากระอักกระอ่วนเกินไป…”

ลั่วเซิงยิ้มบาง “ฮึ หมายความว่าเหตุผลคือเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาอยู่ดี?”

ชั่วขณะนั้นเถาฮูหยินรู้สึกอับอายอย่างมาก

ถึงอย่างไรนางก็เป็นภริยาข้าหลวงขั้นเจิ้งซื่อ[1] หน้าที่การงานของนายท่านก็ดี คุ้นเคยกับการได้รับการปรนนิบัติอย่างดี ใครจะไปอยากมาจวนลั่วถูกนังหนูน้อยคนหนึ่งพูดจาประชดประชันใส่เล่า

“เหตุผลนี้ข้าไม่เห็นด้วย” ลั่วเซิงกล่าวอย่างสงบ

เถาฮูหยินข่มอารมณ์เดือดดาลไว้ถามว่า “เช่นนั้นคุณหนูลั่วคิดว่าเหตุผลอะไรจึงเหมาะสม”

ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้นมาจิบชาคำหนึ่งอย่างเนิบช้าแล้วเผยรอยยิ้มเกียจคร้าน “บอกว่าพี่ใหญ่ข้าโดดเด่นทั้งในด้านความสามารถและคุณธรรม ทำให้ลูกชายของท่านละอายใจจึงมาขอถอนหมั้นด้วยตนเอง เพื่อไม่เป็นการขัดขวางพี่ใหญ่ข้าหาคนดีท่านอื่นในอนาคต”

“ไม่ได้!” เถาฮูหยินคัดค้านทันควัน

ลั่วเซิงหุบยิ้ม สีหน้าเยือกเย็น “เถาฮูหยิน ข้าคิดว่าจวนท่านต้องการศักดิ์ศรีไม่มากก็น้อย เหตุใดถึงอยากได้ทั้งความสบายใจและศักดิ์ศรีเล่า พูดตามตรง ท่านมีเพียงสองตัวเลือก รายงานเรื่องไปยังส่วนราชการให้ส่วนราชการเป็นผู้ตัดสินถอนหมั้น หรือไม่ก็คือลูกชายของท่านไม่เหมาะสมกับพี่ใหญ่ข้าก็เลยถอนหมั้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลั่วเซิงยิ้มหยัน “ก่อนหน้านี้ท่านส่งยายเฒ่าผู้ดูแลมา ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ใช่คนมีเหตุผล หากไม่ทำตามที่ข้าพูดก็จบเท่านี้ ถึงอย่างไรจวนลั่วของเราก็ไม่รีบ”

เมื่อได้ยินคำพูดจุกอกที่ไม่อ้อมค้อมเหล่านี้ เถาฮูหยินก็โมโหจนหน้ามืด

เห็นว่าจวนเถารีบชัดๆ ช่างโลภมาก ไม่รู้จักพอจริงๆ!

“เถาฮูหยินลองไตร่ตรองคำพูดของข้าดีๆ อีกครั้ง หากยังคิดไม่ได้ กลับไปคิดก่อนสักสองวันก็ได้” ลั่วเซิงวางจอกชาลง ยิ้มบางๆ “แม้ข้าจะไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ก็มีความอดทนอยู่บ้าง ข้าไม่รีบจริงๆ”

เถาฮูหยินจับจอกชาแน่น ดิ้นรนในใจอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างอึดอัด “ให้เป็นไปตามที่คุณหนูลั่วกล่าวแล้วกัน”

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปาก “เถาฮูหยินคิดได้ก็ดี หงโต้ว…”

หงโต้วขานตอบเสียงใส “เจ้าค่ะ”

“ไปเอาพู่กัน หมึกและหมึกแดงมา”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้หันไปหยิบของอย่างคล่องแคล่ว

เถาฮูหยินได้ยินคำว่าหมึกแดง จู่ๆ ก็เคร่งเครียด ขมวดคิ้วถามว่า “คุณหนูลั่วหมายความว่าอย่างไร”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ปากพูดไร้หลักฐาน เหตุผลที่ถอนหมั้นต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ลงนามและประทับลายนิ้วมือ”

“ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรือไม่” ทันทีที่เถาฮูหยินได้ยินว่าต้องลงนามประทับตรา นางย่อมไม่ยินยอม

บังคับให้นางยอมรับว่าลูกชายไม่คู่ควรกับคุณหนูใหญ่ลั่วก็น่าขยะแขยงพออยู่แล้ว ยังต้องเขียนไว้ด้วยหรือ

“เถาฮูหยินวางใจ สิ่งที่เขียนไว้จะไม่ถูกติดประกาศเหมือนกับประกาศราชสำนัก ข้าแค่ต้องการความสบายใจเท่านั้น หากต่อไปมีคนพูดจาเหลวไหล อย่างน้อยพี่ใหญ่ข้าก็มีความมั่นใจ” ลั่วเซิงมองเถาฮูหยินนิ่ง น้ำเสียงแฝงความหมายบางอย่าง “เถาฮูหยินเป็นแม่ที่มีลูกสาวเหมือนกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ฮูหยินน่าจะรู้ว่าการถอนหมั้นสร้างความเสียหายต่อสตรีมากเพียงใด ปัจจุบันถือว่าผ่อนหนักผ่อนเบาลงแล้ว หากเป็นอดีตนี่เท่ากับบีบบังคับให้สตรีไปตาย”

เถาฮูหยินคิดว่าตนเองเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ บัดนี้กลับแทบอยากจะกลอกตา

สำหรับนางแล้วตอนนี้เรียกว่าผ่อนหนักผ่อนเบาเกินไปต่างหากจึงทำให้นังสารเลวตรงหน้าที่ไม่รู้จักอายคนนี้เลี้ยงผู้ชายได้

วิถีทางโลกอะไรกัน!

“คุณหนู พู่กันและหมึกมาแล้วเจ้าค่ะ” หงโต้ววิ่งเหยาะๆ เข้ามา วางของลงข้างหน้าเถาฮูหยิน

ลั่วเซิงยิ้ม “ทำให้เถาฮูหยินต้องเหนื่อยแล้ว”

เถาฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม สับสนในใจ

เขียนไปก็อัดอั้นใจ หากไม่เขียนนังสารเลวนี่ก็จะส่งแขก

แต่เรื่องถอนหมั้นกับจวนลั่วคือสิ่งที่นางปรึกษากับนายท่านแล้ว งานแต่งครั้งนี้จำเป็นต้องถอน

ไม่ว่าจะสับสนอย่างไร ที่จริงแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น

เถาฮูหยินหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนเหตุผลถอนหมั้นลงไป พูดด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “คุณหนูลั่วลองดูเถอะ”

ลั่วเซิงอ่านอย่างละเอียด ยื่นหมึกแดงไปข้างหน้าเถาฮูหยิน “เถาฮูหยินลายมือสวยจริงๆ ประทับลายนิ้วมือแล้วเราแลกหนังสือแต่งงานกันเถอะ”

เถาฮูหยินยื่นนิ้วออกไปหยุดลงที่หมึกแดงครู่หนึ่ง จากนั้นแตะนิ้วลงบนหมึกแดงและกดลงบนกระดาษ

ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อเก็บกระดาษก็ขมวดคิ้ว “จู่ๆ ข้าก็คิดถึงปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง”

เถาฮูหยินกัดฟัน “คุณหนูลั่วยังมีข้อโต้แย้งอะไรหรือ”

ช่างได้คืบจะเอาศอกเสียจริงๆ นางจะคอยดูวันที่จวนลั่วบ้านแตกสาแหรกขาดและถูกส่งไปยังสำนักการสังคีต!

“ไม่ใช่ข้อโต้แย้ง แต่คือปัญหาเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง”

“เชิญพูด”

ลั่วเซิงกะพริบตาปริบ “หลังจากถอนหมั้นแล้ว ลูกชายท่านคงไม่มาตอแยพี่ใหญ่ข้าหรอกนะ ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ข้าก็โดดเด่นเช่นนี้”

หลังฉากกั้น ขนตาลั่วอิงสั่นเล็กน้อย หยดน้ำตาที่ไม่เคยร่วงลงมาก็ไหลลงมาเงียบๆ

เถาฮูหยินโมโหจนแทบจะหงายหลัง

ลูกชายของนางจะมาตอแยคุณหนูใหญ่ลั่ว?

ช่างเป็นเรื่องตลกเรื่องใหญ่จริงๆ!

ให้นางพูดนะ คุณหนูใหญ่ลั่วโดดเด่นที่ไหนกัน นังหนูตรงหน้าคนนี้ต่างหากที่ ‘โดดเด่น’ มาก มากจนนางสามารถยกระดับความไร้ยางอายให้ถึงขีดสุดได้!

“คุณหนูลั่ววางใจเถอะ ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน”

ลั่วเซิงอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”

การถอนหมั้นก็เหมือนกับการหมั้นหมาย อันที่จริงชายหญิงสองฝ่ายตัดสินใจอะไรไม่ได้ ผู้ที่ตัดสินใจคือพ่อแม่ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถามมากความ เพียงแต่ว่าดูจากปฏิกิริยาของลั่วอิงแล้ว ลั่วเซิงเดาได้ว่านางมีใจให้คุณชายใหญ่เถา ดังนั้นพูดให้ชัดเจนแต่ต้นย่อมดีกว่า

นางไม่ชอบการต่อสู้ที่ไม่ได้เตรียมตัว

“ไม่มีปัญหาแล้ว ถอนหมั้นเถอะ”

ในที่สุดลั่วเซิงก็ยอมเสียที เถาฮูหยินรู้สึกโล่งราวกับยกก้อนหินออกจากอก

การส่งคืนหนังสือและสิ่งของแต่งงานไม่จำเป็นต้องพูดในรายละเอียด ทันทีที่คุยเรื่องถอนหมั้นจบ เถาฮูหยินแทบจะรอไม่ไหวที่จะอำลา

ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้น ยิ้มสั่งหงโต้วว่า “หงโต้ว ส่งแขกแทนข้า”

การถูกสาวใช้คนหนึ่งส่งกลับย่อมเป็นการไม่ให้เกียรติ เถาฮูหยินกลับไม่มีจิตใจถือสา

นางต้องการเพียงออกจากสถานที่ที่ทำให้อึดอัดและโมโหแห่งนี้ให้เร็วที่สุด

หลังจากเถาฮูหยินออกไปแล้ว ลั่วเซิงก็เดินอ้อมมาข้างหลังฉากกั้น

สามพี่น้องยังยืนอยู่ที่นั่น

“พี่ใหญ่ พี่ลองดูสิ” ลั่วเซิงยื่นกระดาษสีขาวที่ระบุเหตุผลถอนหมั้นให้

ลั่วอิงรับมาด้วยมือที่สั่นเทา เมื่ออ่านจบ น้ำตาก็ไหลลงมาไม่หยุด

ลั่วเซิงตบไหล่นางเบาๆ “พี่ใหญ่อย่าร้องเลย เถาฮูหยินเป็นคนอย่างไรพี่ก็เห็นแล้ว เป็นสะใภ้ให้คนแบบนี้ตลอดชีวิตคือความทุกข์ ไม่มีผู้ชายแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างมากต่อไปหากเจอคนที่เหมาะสมข้าจะฉุดกลับมาให้พี่เอง”

[1] ขั้นเจิ้งซื่อ คือ ยศขั้นหนึ่งของขุนนาง แบ่งเป็นทั้งหมดเก้าขั้น ตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า ขั้นหนึ่งคือสูงที่สุดเรียงไปจนถึงขั้นเก้าซึ่งต่ำที่สุด

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท