ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 316 ไม่เหมือนตอนพบกันครั้งแรก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 316 ไม่เหมือนตอนพบกันครั้งแรก

ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะหงโต้วได้เป็นการชั่วคราว แต่โค่วเอ๋อร์ก็สามารถกดข่มสาวใช้เรือนอื่นได้อย่างง่ายดาย

ลั่วเซิงเล่นสาลี่ลูกหนึ่งในมือ ฟังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

โค่วเอ๋อร์บ่นเสร็จก็พูดด้วยความชื่นชมและประหลาดใจ “คุณหนู ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายใหญ่เถาจะหาคุณหนูใหญ่เจ้าคะ”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “แค่กันไว้ก่อนเท่านั้นเอง จับตามองต่อไปเถอะ หากคุณหนูใหญ่ออกไป ให้เรียกสืออี้ตามไปด้วยแล้วมารายงานข้าทันที”

โค่วเอ๋อร์รับคำสั่งและจากไป

ลั่วเซิงยกสาลี่มาข้างปากก่อนจะกัดลงไปคำหนึ่ง

หากคุณชายใหญ่เถาเจอลั่วอิงเพียงเพราะต้องการอำลาวาสนาที่ไม่สามารถไปต่อนี้ได้ เช่นนั้นนางก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

หากคุณชายใหญ่เถาพูดไร้สาระ ทำให้อารมณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วของลั่วอิงย่ำแย่ขึ้นไปอีก ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ

ในเรือนปินเฟินย่วน ลั่วอิงกำลังว้าวุ่นใจ นางหยิบจดหมายที่สอดไว้ในเสื้อผ้าออกมาดูเป็นครั้งคราว

ในด้านของเหตุผลบอกนางว่าทั้งสองถอนหมั้นแล้ว กลายเป็นคนไม่รู้จักที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ย่อมไม่ควรไปเจอ

นางคิดว่าตนเองเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด แต่ครานี้กลับพบว่าความมีเหตุผลที่ตนทึกทักไปเองนั้นพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

หากไปเจอ เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่หากไม่ไปเจอ จะต้องกลายเป็นปมในใจที่ไม่มีวันแก้ได้

นางคงจะใช้เวลาหลายคืนนับไม่ถ้วนเพื่อเดาว่าเขาจะพูดอะไรกับนาง

ลั่วอิงมองจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง นางพับจดหมายและเก็บกลับเข้าไปในอ้อมอก นางตัดสินใจได้แล้ว

ไปเจอครั้งสุดท้ายเถอะ จากนี้ไปแยกกันไปตลอดกาล

ลั่วอิงเก็บของเสร็จก็พาลี่ว์เอ้อออกจากจวนทางประตูหลังไปเงียบๆ

ทั้งสองนัดเจอกันที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง

ลั่วอิงเพิ่งเดินออกไป ลั่วเซิงก็เดินตามหลังไปแล้ว

“เมื่อครู่นี้มีแม่นางสวมหมวกผ้าโปร่งท่านหนึ่งเข้ามาใช่หรือไม่” ทันทีที่เข้าไปในโรงน้ำชา ลั่วเซิงก็ถามเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินมาต้อนรับ

เสี่ยวเอ้อร์ตาลุกวาว ปากสั่นไม่หยุด

ทะ ทอง!

ดูไม่ผิด ทองจริงๆ!

“มีหรือไม่”

เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าอย่างแรง “มี มีขอรับ!”

เห็นแก่ทอง ไม่มีก็ต้องมี

“นางเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องไหน”

“ห้องหลันจื้อขอรับ”

“ห้องข้างๆ ห้องหลันจื้อคือห้องอะไร”

เสี่ยวเอ้อร์ตอบอย่างรวดเร็ว “ห้องจวี๋จื้อขอรับ”

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘จวี๋’ จู่ๆ ลั่วเซิงก็คิดถึงดอกเก๊กฮวยช่อใหญ่ที่ใครบางคนมอบให้

หลังจากคิดฟุ้งซ่านไปครู่หนึ่ง ลั่วเซิงก็พูดเสียงราบเรียบว่า “พาข้าไปห้องจวี๋จื้อ”

เสี่ยวเอ้อร์เผยสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ห้องจวี๋จื้อมีแขกอยู่ขอรับ”

ทองที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมร่วงลงบนมือของเสี่ยวเอ้อร์ “รบกวนพวกเขาสละห้องให้หน่อย นี่คือค่าชดเชย”

เสี่ยวเอ้อร์กำทองแน่น อยากจะตะโกนออกไปว่า ไม่ต้องเยอะขนาดนี้!

แค่มาดื่มชา ดื่มที่ไหนก็ดื่มเหมือนกันไม่ใช่หรือ ให้หนึ่งตำลึงก็ดีใจตายแล้ว นี่มันลูกล้างผลาญที่ไหนกัน

“ให้ไว ห้ามส่งเสียงดัง”

จู่ๆ เสี่ยวเอ้อร์ก็ตั้งสติได้เพราะคำเตือนของลั่วเซิง

ไม่ใช่ทองของเขาเสียหน่อย เขาจะเสียดายไปทำไม

ไม่นานห้องจวี๋จื่อก็ว่าง

อาจจะเป็นเพราะมีเงินจะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งก็ยังได้ แขกที่ได้เงินเปลี่ยนห้องโดยไม่ส่งเสียงใดๆ แม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าเทพแห่งโชคลาภไม่พอใจจะเก็บทองกลับไป

ลั่วเซิงนั่งลง สั่งโค่วเอ๋อร์ “ไปเฝ้าข้างนอกเงียบๆ คอยจับตามองความเคลื่อนไหวห้องข้างๆ”

โค่วเอ๋อร์โค้งริมฝีปาก “คุณหนู ข้างนอกสะดวกสู้ในห้องมิได้”

นางหยิบจอกชาเปล่าขึ้นมาใบหนึ่ง คว่ำจอกชาลงบนกำแพงที่ติดกับห้องหลันจื้อ นางชี้ที่จอกแล้วพูดเสียงเบาว่า “แนบหูไว้ตรงนี้ ก็จะได้ยินห้องข้างๆ คุยกันแล้วเจ้าค่ะ กำแพงของโรงน้ำชาธรรมดานี้บางมาก”

ลั่วเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง

นางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าโค่วเอ๋อร์มีพรสวรรค์เช่นนี้ด้วย

ในห้องส่วนตัวข้างๆ ลั่วอิงและคุณชายใหญ่เถานั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่เงียบไม่พูดอะไร

ลี่ว์เอ้อยืนอยู่บริเวณมุมห้องที่ไม่สะดุดตา พยายามทำตัวเองให้เหมือนอากาศที่สุด

ส่วนคุณชายใหญ่เถา วันนี้ไม่ได้พาเด็กรับใช้มา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด คุณชายใหญ่เถามองลั่วอิงแล้วปริปาก “อาอิง…”

ลั่วอิงหลุบตาลง เสียงสั่นเล็กน้อย “เราถอนหมั้นกันแล้ว คุณชายเถาเรียกข้าว่าคุณหนูใหญ่ลั่วเถอะ”

“อาอิง เจ้าจะห่างเหินกับข้าเช่นนี้จริงๆ หรือ” คุณชายใหญ่เถาเห็นลั่วอิงเฉยชาเช่นนี้ก็อดเอื้อมมือไปจับมือของนางไม่ได้

ลั่วอิงชักมือออกมา “คุณชายเถา ตอนนี้เราเป็นคนแปลกหน้ากันแล้วจริงๆ ในจดหมายท่านนัดข้าออกมาบอกว่ามีเรื่องจะพูด ไม่ทราบว่าจะพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ”

นางเคยจับมือเขาครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเขาชมโคมไฟในเทศกาลโคมไฟ

คำมั่นสัญญาที่ให้ เขาก็เป็นคนพูดกับนางครานั้นเช่นกัน

มือข้างนี้ยังคงอบอุ่นเหมือนกับในความทรงจำ แต่กลับไม่ใช่มือที่นางสามารถจับได้อีกแล้ว

“อาอิง…”

ลั่วอิงลุกขึ้น “เรียกข้าคุณหนูใหญ่ลั่ว ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับ”

คุณชายใหญ่เถาเผยสีหน้าเจ็บปวด สุดท้ายก็ยอมและเรียกคุณหนูใหญ่ลั่วอย่างคับข้องใจ

ลั่วอิงนั่งลงเงียบๆ อึดอัดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

จากอาอิงเป็นคุณหนูใหญ่ลั่ว ความเจ็บปวดของนางย่อมมีมากกว่าเขา

“ข้า… เพิ่งรู้เรื่องถอนหมั้น เจ้ายังสบายดีหรือไม่”

ลั่วอิงเม้มปาก “ก็อย่างที่เห็น”

ถูกถอนหมั้นแล้วยังจะมีความสุขได้หรือ

ที่นางนั่งอยู่ตรงนี้ นางยังอดดูแคลนตนเองไม่ได้เลย

“คุณหนูใหญ่ เจ้าน่าจะรู้ใจข้า”

ลั่วอิงยิ้มอย่างขมขื่น “คุณชายเถา งานแต่งงานของเราถูกยกเลิกแล้ว คำพูดแบบนี้อย่าพูดเลยดีกว่า”

“ไม่ ข้าจะพูด!” คุณชายใหญ่เถาพูดเสียงดังขึ้น ฟังดูร้อนรน

ลั่วอิงมองเขาเงียบๆ

“คุณหนูใหญ่ลั่ว เจ้ารอข้า ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า!”

ลั่วอิงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ไม่เสียดายจริงๆ ที่นางหน้าด้านออกมาเจอเขา

ทว่าน่าเสียดายที่แม้คุณชายใหญ่เถาจะชอบนางเพียงใด ก็ไม่สามารถแก้ไขเรื่องถอนหมั้นได้แล้ว

เรื่องมันจบไปแล้ว มีแต่จะทำให้นางรู้สึกเสียใจเมื่อคิดถึงเขาในชีวิตที่เหลือ

“น้ำใจของคุณชายใหญ่เถาข้าขอบคุณมาก ให้ข้ารอท่าน คำพูดแบบนี้อย่าพูดอีกเลย งานแต่งงานที่ยกเลิกไปแล้วไม่มีทางแต่งได้อีก คุณชายเถาดื้อรั้นไปรังแต่จะทำให้ตนเองลำบากเปล่าๆ”

“ไม่ลำบากหรอก เอาเป็นว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็ต้องรอข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

ลั่วอิงรู้สึกไม่ชอบมาพากล นางขมวดคิ้วถาม “คุณชายเถาพูดให้ชัดเจนหน่อยได้เหรือไม่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่าน”

“ข้ารู้ปัญหาของจวนลั่ว หากว่า… หากว่าวันที่ลำบาก ข้าจะไม่นั่งดูเจ้าตกระกำลำบาก คุณหนูใหญ่ เจ้าก็อย่าท้อแท้ จะลำบากเพียงใดก็ยังมีข้า”

ลั่วอิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แต่ไม่อยากจะเชื่อ

นางยกมือขึ้นจัดเส้นผม ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “บัดนี้มารดาท่านมาถอนหมั้นแล้ว หากมีวันนั้นจริงๆ คุณชายเถาคิดจะทำอย่างไรกับข้าหรือ”

“ข้าจะรับเจ้ามาอยู่กับข้า ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไรก็จะไม่ทิ้งเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องรอข้า”

ลั่วอิงกะพริบตาสองสามที คิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่ก็เหมือนยังไม่เข้าใจ

นางขานตอบไปเบาๆ สบตาชายตรงหน้านิ่ง “คุณชายใหญ่เถาต้องการให้ข้าเป็นอนุภรรยาท่านหรือ”

ข้างห้อง จอกชาเกือบจะหลุดจากมือโค่วเอ๋อร์ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยไฟโทสะ

ลั่วเซิงอดถามไม่ได้ “พูดอะไรกันหรือ”

หูของโค่วเอ๋อร์ยังแนบอยู่บนจอก นางพูดอย่างโมโหว่า “คุณชายใหญ่เถาต้องการให้คุณหนูใหญ่ไปเป็นอนุเจ้าค่ะ!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท