ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 324 ขอโทษ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 324 ขอโทษ

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะลึง อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

เว่ยเหวินถูกตบจนหน้าชา เมื่อตั้งสติได้ก็ง้างมือโจมตีกลับ “เจ้าบังอาจตบข้า!”

ข้อมือถูกมือข้างหนึ่งคว้าไว้เบาๆ รอยยิ้มของลั่วเซิงเบาบางยิ่งกว่า “เรื่องต่อสู้ ท่านหญิงสู้ข้าไม่ได้แม้แต่น้อย เหตุใดต้องทำให้ตนเองอับอายเล่า”

“เจ้า…” เว่ยเหวินโมโหจนหน้าดำหน้าแดง กัดฟันพูดว่า “ลั่วเซิง วันนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

เสียงขรึมเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทะเลาะอะไรกัน”

ชายหน้าตาหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามา

เว่ยเหวินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “องค์ชาย?”

เว่ยเชียงเคยมาหอสุราหลายครา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบความปลอดภัยของพื้นที่นี้ย่อมรู้จักเขา ทำท่าจะคารวะทันที

เว่ยเชียงส่งสัญญาณให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่อย่าเปิดเผยตัวตนของเขา พูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “แค่สตรีไม่พอใจทะเลาะกัน ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่เห็นรัชทายาทออกมารับเรื่องไว้ ย่อมน้อมรับด้วยความยินดีอย่างที่สุด เขารีบพากองกำลังทหารจากไปทันที

จนถึงครานี้ องครักษ์จิ่นหลินจำนวนหนึ่งจึงเพิ่งมาถึงอย่างล่าช้า

ทันทีที่คนที่มุงดูเห็นองครักษ์จิ่นหลินก็รีบหลบหลีกไปไกล

มุงดูเรื่องชาวบ้านก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย เรื่องชาวบ้านที่อาจจะสร้างปัญหาให้ตนเอง ไม่ดูก็ไม่เป็นไร

นี่คือประสบการณ์ที่พวกเขาสั่งสมมานานหลายปี

“คุณหนูสาม ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ผิงลี่หน้าตาร้อนรน เมื่อเข้ามาใกล้แล้วเพิ่งสังเกตเห็นเว่ยเชียงก็ทำท่าจะคารวะ

เว่ยเชียงโบกมือ “มิต้องมากพิธี ไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ” ผิงลี่ขานตอบก่อนจะเหลือบมองลั่วเซิง

จู่ๆ ลั่วเซิงก็เอื้อมมือออกไปคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้

ครานี้เอง ผิงลี่ตัวแข็งทื่อไปทันที

เว่ยเชียงหรี่ตามอง แววตาเจือความไม่พอใจ

ในใจของเขาถือว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นสมบัติของตนแล้ว ย่อมทนดูนางทำเช่นนี้กับชายอื่นไม่ได้

ลั่วเซิงไม่สนใจว่าเว่ยเชียงจะคิดอย่างไร นางคว้าแขนเสื้อของผิงลี่ไว้ไม่ปล่อย “พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้ข้าเกือบจะถูกเจ้าหน้าที่จับไปแล้ว”

ท่าทางน้อยใจและพึ่งพานั้นทำให้สายตาของเว่ยเชียงเยือกเย็นลงกว่าเดิม

ผิงลี่พยายามข่มอารมณ์อยากจะสลัดมือเนียนขาวดั่งหยกนั่น ยิ้มแห้งปลอบว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”

“เหตุใดพี่ใหญ่จึงมาช้าเช่นนี้เจ้าคะ” ลั่วเซิงถามอย่างตรงไปตรงมา

ผิงลี่ชะงักกับคำถาม

คนปกติจะถามเอาคำตอบต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร

ทว่าบุตรสาวอันเป็นที่รักของพ่อบุญธรรมท่านนี้ไม่ใช่คนปกติมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

ผิงลี่ฝืนทนต่อความกระอักกระอ่วน รีบอธิบายว่า “พอดีกำลังจัดการเรื่องด่วนอยู่ เมื่อเจอคนที่คุณหนูส่งมารายงานถึงเพิ่งรู้ว่าเกิดเรื่องที่หอสุรา…”

“พี่ใหญ่ยุ่งกับอะไรอยู่หรือ ช่วยท่านพ่อข้าน่ะหรือ”

ผิงลี่ชะงักไปอีกครั้ง

พูดตามตรง เหตุใดรัชทายาทต้องปรากฏกายเวลานี้ด้วยนะ

สู้ให้คนของกองกำลังปัญจทิศรักษานครจับตัวคุณหนูสามไปแล้วเขาค่อยไปรับนางดีกว่า

เมื่อเห็นผิงลี่จุกจนพูดไม่ออก ลั่วเซิงก็ยิ้มหยันในใจ

ที่นางตบเว่ยเหวินก็เป็นเพราะจะดูว่าเว่ยเชียงจะเป็นเต่าหดหัว แอบอยู่ในฝูงชนอีกนานแค่ไหน

เท่าที่นางรู้จักเขา ตราบใดที่เขาก้าวออกมาก็จะระงับเรื่องนี้ได้

ซึ่งก็หมายความว่า เว่ยเหวินถูกตบเสียเปล่า

ไม่ตบก็เสียดาย ตบไปก็เสียเปล่า

ในอดีต เว่ยเชียงขอให้นางช่วยเชิญหมอเทวดาให้ผิงหนานอ๋อง เขารับปากนางว่าติดหนี้นางครั้งหนึ่งต่อหน้าไคหยางอ๋อง

ด้วยความเย็นชาของชายคนนี้ หากนางขอให้เขาตีท่านหญิงน้อยให้เป็นหัวหมู บางทีเขายังอาจจะคิดว่าเป็นเงื่อนไขที่คุ้มค่าด้วยซ้ำ

ให้เจ้าหน้าที่จับตัวนางไปจริงๆ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

การทำเรื่องที่รับผิดชอบไม่ไหวเพียงเพื่อความสะใจนั้นไม่สอดคล้องกับนิสัยของนาง

“คุณหนูลั่ว เข้าไปคุยข้างในเถอะ” เว่ยเชียงเอ่ยปาก

ผู้คนที่หลบหลีกไปไกลเพราะองครักษ์จิ่นหลินยังมองมาทางนี้อยู่ เขาไม่อยากให้มีข่าวลืออะไรเพราะมาหอสุรา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยเชียงก็ไม่พอใจเว่ยเหวิน

วันนี้เขาอดไม่ได้ที่จะมาแอบดูว่าคุณหนูลั่วเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่ท่านพ่อนางติดคุก เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้อื่น ใครจะไปคิดว่าเว่ยเหวินจะมาหาเรื่องหอสุรา

ลั่วเซิงฝืนพยักหน้า พูดกับผิงลี่อย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “พี่ใหญ่กลับไปเถอะ”

ผิงลี่เผยสีหน้ารู้สึกผิด “คุณหนูสาม ครั้งนี้ข้าทำไม่ดีเอง…”

ลั่วเซิงมองเขาอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่คิดจะมีครั้งต่อไปอีกหรือ”

ผิงลี่ “…”

ในอดีตคุณหนูสามแค่เอาแต่ใจ ตอนนี้ปากดีแล้วยังเอาแต่ใจ ยิ่งอยู่ยิ่งรับมือยากขึ้นทุกที

เมื่อเห็นผิงลี่พาลูกน้องจำนวนหนึ่งกลับไปแล้ว ลั่วเซิงก็เดินเข้าหอสุราด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

กลิ่นอาหารหอมโชยในห้องโถง แสงสว่างในห้องสดใสเช่นเดิม

“องค์ชายนั่งเถอะเพคะ หอสุราที่ถูกทำลายได้ทุกเมื่อไม่มีอะไรต้อนรับพระองค์ได้ เชิญพระองค์ดื่มชาจอกหนึ่งแล้วกันเพคะ”

เว่ยเชียงดมกลิ่นหอมของอาหาร มองน้ำชาที่โค่วเอ๋อร์ยกขึ้นมาก็อารมณ์เสีย

เขายังมีจมูกอยู่ คุณหนูลั่วพูดส่งเดชเช่นนี้ได้อย่างไร

นิสัยยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

รอยฝ่ามือสีแดงยังประทับอยู่บนใบหน้าของเว่ยเหวิน เมื่อได้ยินคำถามของเว่ยเชียง นางก็รู้สึกราวกับถูกตบฉาดใหญ่อีกครั้ง

“องค์ชาย เมื่อครู่นี้นางตบหม่อมฉัน” เว่ยเหวินมองเว่ยเชียง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

พี่ใหญ่ถูกผีสิงหรืออย่างไร เห็นคนที่นางพามาถูกทำร้ายจนกลิ้งไปมาบนพื้น นางยังถูกนังสารเลวสกุลลั่วตบ ไม่ออกหน้าแทนนางไม่พอ เหตุใดยังต้องพูดแทนนังสารเลวลั่วนั่นด้วย

เมื่อเห็นเว่ยเหวินเป็นเช่นนี้ เว่ยเชียงก็ใจอ่อนลงเล็กน้อย

ต่างจากน้องชายที่ทำผิดเป็นครั้งคราว น้องสาวคนนี้เป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด แต่ไม่รู้เหตุใดจึงเสียสติมาหาเรื่องคุณหนูลั่วได้

เมื่อทุกอย่างยังไม่สำเร็จ เขาจึงไม่อยากให้มีเหตุการณ์อะไรมารบกวนเหยื่อที่เขาหมายตาไว้

แม้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ไม่ได้

“เจ้าพาคนมากมายเช่นนี้มาหอสุราทำอะไร”

เว่ยเหวินเม้มปาก “พี่รองกินอาหารที่นี่แล้วท้องเสีย หม่อมฉันมาขอคำอธิบาย…”

นางพูดต่อไปไม่ไหว

คนมีตาย่อมรู้ว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อมาหาเรื่องเท่านั้น หากพี่ใหญ่ยืนฝ่ายเดียวกับนางก็คงไม่เป็นอะไร แต่หากยืนฝ่ายเดียวกับลั่วเซิง ข้ออ้างมากมายมีแต่จะทำให้ตนเองน่าอดสูเท่านั้น

อันที่จริงเว่ยเหวินเป็นคนรู้จักแยกแยะ ที่วันนี้มาหาเรื่องลั่วเซิงก็เป็นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีคนหนุนหลัง เล่นงานนางได้แล้วแค่นั้นเอง

ต่อหน้าท่านพี่ที่เป็นรัชทายาท นางยังคงเป็นน้องสาวที่เชื่อฟังคนนั้น

“ท้องเสียก็ไปหาหมอ เกี่ยวอะไรกับหอสุราเล่า ต่อไปอย่าใจร้อนและเอาแต่ใจเช่นนี้อีก!”

“ทราบแล้วเพคะ” เว่ยเหวินก้มหน้า ขานตอบเบาๆ

เว่ยเชียงถอนหายใจ “ขอโทษคุณหนูลั่วแล้วกลับไปเถอะ”

“องค์ชาย?” เว่ยเหวินชะงักงัน

เว่ยเชียงมองนางด้วยใบหน้านิ่งขรึม

เว่ยเหวินสูดหายใจเงียบๆ มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น แต่กลับสั่นจนแทบจะกำไว้ไม่ได้

ครานี้เองนางรู้จักคำว่าคับข้องใจและโมโหจนควันออกหูแล้ว

คนที่นางพามาถูกตี นางถูกตบหน้า แต่สุดท้ายยังให้นางขอโทษอีก

พี่ใหญ่คงไม่ได้สติฟั่นเฟือนเหมือนพี่รองหรอกนะ

ทว่าไม่ว่าจะคิดอย่างไรในใจ เว่ยเหวินยังคงก้มศีรษะให้เด็กสาวที่นั่งข้างโต๊ะอย่างเรียบร้อย “คุณหนูลั่ว วันนี้ข้าใจร้อนไปเอง”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท