“บางทีอาจจะมีวิธีก็เป็นได้”หวงเสี่ยวหลงก็นิ่งเงียบสักครู่แล้วมองมาอย่างตื่นเต้น “แล้ววิธีนั้นคือ?!”
“ขุนเขาเทวะซูมี่!”จ้าวชูก็เอ่ยขึ้นอย่างแนะนำ
“ขุนเขาเทวะซูมี่!”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกมาอย่างเหม่อลอย ครู่ต่อมา ดวงตาของเขาก็เปร่งประกายอย่างแรงกล้า “เจ้าพูดถึงขุนเขาเทวะซูมี่มที่เป็นหนึ่งในสมบัติสวรรค์งั้นหรอ?”
จ้าวชูก็พยักหน้า “ถูกต้องแล้วขอรับ สมบัติอันดับ 1 ที่อยู่ในรายชื่อสมบัติสวรรค์ หุบเขาเทวะซูมี่เป็นสมบัติสวรรค์ที่ครอบครองพลังอำนาจที่แสนวิเศษและยังผลิตของเหลวที่เรียกว่า โอสถแก่นแท้พระพุทธเจ้า ถ้าหากมีคนได้กลืนกินโอสถแก่นแท้พระพุทธเจ้าเข้าไปหล่ะก็ ความเร็วในการบ่มเพาะของคนผู้นั้นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับม้าตัวผู้ที่วิ่งทะยานไปนับพันลี้ในหนึ่งวัน ถ้าหากให้ข้าคาดเดาถึงสมบัติสวรรค์ที่สามารถช่วยให้ท่านจักรพรรดิทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนเทียนระดับ 10 ได้ในเวลาสั้นๆหล่ะก็ มันก็มีเพียงหุบเขาเทวะซูมี่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น!”
“หุบเขาเทวะซูมี่!”หวงเสี่ยวหลงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
จ้าวชูก็พูดต่อ “สำหรับการจะสยบหุบเขาเทวะซูมี่ได้นั้น คนผู้นั้นจะต้องเป็นเจ้าของจิตวิญญาณต่อสู้อันแข็งแกร่งประเภทเดียวกันทั้ง 2 ตัว และจิตวิญญาณต่อสู่หนึ่งในนั้นอย่างน้อยจะต้องมีระดับที่ 13 หรือสูงกว่า บังเอิญที่ ท่านจักรพรรดิเป็นคนที่มีจิตวิญญาณต่อสู้คู่อันแข็งแกร่งประเภทเดียวกันทั้งสองตัว และหนึ่งในนั้นเป็นมังกรสีฟ้าที่มีระดับสูงกว่า 13อีกด้วย”
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็เปล่งประกายขึ้นอย่างชัดเจนในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินว่าหุบเขาเทวะซูมีเคยปรากฏเกิดขึ้นครั้งเดียวในช่วงหลายล้านปีก่อนและไม่ปรากฏขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา”
นี่แหละคือจุดที่สำคัญที่สุด
แม้ว่าหวงเสี่ยวหลงจะมีจิตวิญญาณต่อสู้คู่อันแข็งแกร่งและเติมเต็มความต้องการของหุบเขาเทวะซูมีด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ของเขาที่มีระดับมากกว่า 13ได้ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าหุบเขาเทวะซูมี่อยู่ที่ใหน แล้วเขาจะไปเอามันมาได้อย่างไร?
“ความจริงแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้พอจะมีเบาะแสของสถานที่ที่หุบเขาเทวะซูมี่อยู่”จู่ๆจ้าวชูก็เผยข่าวคราวที่ไม่คาดคิดออกมา
“อะไรนะ?!”หวงเสี่ยวหลงก็ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ
จ้าวชูก็พยักหน้า “หลายปีก่อน ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้บังเอิญไปเจอกับสถานที่ที่มีโอกาสจะเป็นที่อยู่ของหุบเขาเทวะซูมี่จากพระคัมภีร์โบราณแห่งศาสนาพุทธ ถ้าหากข้าเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็ หุบเขาเทวะซูมี่น่าจะอยู่ในถ้ำของพระพุทธเจ้าแห่งอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์”
“ถ้ำของพระพุทธเจ้าแห่งอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์!”ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็สว่างสดใส
บนทวีปหิมะโปรยปรายแห่งนี้ มีอาณาจักทั้งหมด 17 อาณาจักร
อาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งใน 3 อาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดใน 17 อาณาจักร อย่างไรก็ตาม อาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปหิมะโปรยปราย ซึ่งระยะทางจากอาณาจักรต้วนเริ่นไปถึงที่นั่นนั้นไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
“ใช่แล้วขอรับ ถ้ำของพระพุทธเจ้าแห่งอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์!”จ้าวชูก็พูดยืนยัน แม้จะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีจุดที่น่าเคลือบแคลงใจอยู่ “ท่านจักรพรรดิ ถ้ำของพระพุทธเจ้านั้นเป็นถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ การเข้าไปนั้นพูดง่ายกว่าทำซะอีก”
แม้ว่าจ้าวชูจะมีสันนิษฐานเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของหุบเขาเทวะซูมีจากพระคัมภีร์โบราณแห่งศาสนาพุทธ แต่ถ้ำของพระพุทธเจ้าก็มีการคุ้มครองอย่างแน่นอนโดยผู้เชี่ยวชาญต่างๆเนื่องจากสถานที่แห่งนี้ถูกยกย่องเป็นถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้จ้าวชูเลือกจะไปที่ถ้ำของพระพุทธเจ้า
แน่นอนว่า เหตุผลจริงๆที่จ้าวชูไม่ไล่ตามหาหุบเขาเทวะซูมี่ก็เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ครอบครองจิตวิญญาณต่อสู้คู่อันแข็งแกร่ง ดังนั้นนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำลายโอกาสอันริบหรี่ที่จะสยบสมบัติสวรรค์อันดับ 1ลงไป เนื่องจากไม่มีโอกาสในการสยบ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์…..
“ท่านจักรพรรดิ”ไม่กี่วิต่อมา จ้าวชูก็เรียกและดึงหวงเสี่ยวหลงกลับมาจากการคุ่นคิด หลังจากเห็นหวงเสี่ยวหลงมัวแต่คิดอย่างว้าวุ่น
หวงเสี่ยวหลงก็ตื่นขึ้นจากผวัง
“ท่านจักรพรรดิตัดสินใจจะเดินทางไปอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์หรือไม่……?”จ้าวชูก็ถามออกไป
หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัว “เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน
แม้ว่าการเดินจากจากจักรวรรดิต้วนเริ่นไปอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์มันไม่เกิน 1 ปี แต่มันก็ยังใช้เวลาประมาณ 8ถึง 9 เดือนในการเดินทางถ้าหากอาศัยความเร็วของหวงเสี่ยวหลงในเวลานี้ นอกจากนี้พอไปถึงอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเข้าไปเดินเล่นในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของพวกนั้นได้ ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าหากเขาได้พบกับไข่มุกวิญญาณในจักรวรรดิต้วนเริ่นก่อนจะคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับการไปตามหาหุบเขาเทวะซูมี่
ไข่มุกวิญญาณอาจจะมีคุณค่าน้อยกว่าเมื่อนำไปเทียบกับหุบเขาเทวะซูมี่แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นสมบัติสวรรค์อันดับ 4 และด้วยการครอบครองไข่มุกวิญญาณก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะของหวงเสี่ยวหลงด้วยในเวลาเดียวกัน
ต่อมาหวงเสี่ยวหลงก็ถามจ้าวชูเกี่ยวกับหุบเขาเทวะซูมี่และอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจ้าวชูก็ได้ตอบคำถามด้วยความรู้อันน้อยนิดของเขาอย่างซื่อตรง
ที่จริงแล้ว จ้าวชูเพียงแค่คาดเดาว่าหุบเขาเทวะซูมี่นั้นอยู่ในถ้ำของพระพุทธเจ้าเนื่องจากพระคัมภีร์ที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ สำหรับตำแหน่งที่ตั้งของมันจริงๆนั้น จ้าวชูยังไม่รู้แน่ชัด
คำว่า *ยิ่งใหญ่*ก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงถ้ำของพระพุทธเจ้าได้เพียงพอเลยสักนิด ซึ่งมันใหญ่กว่าจักตุรัสต้วนเริ่นหลายเท่าซะอีก
แม้ว่าหวงเสี่ยวหลงจะเข้าไปในถ้ำของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ แต่การพิสูจน์ตำแหน่งของหุบเขาเทวะซูมี่ก็ยังเป็นงานที่ยากลำบากอยู่ดี
หลังจากนั้นไม่นานจ้าวชูก็ออกไป
หลังจากที่จ้าวชูออกไปแล้ว หวงเสี่ยวหลงก็ครุ่นคิดขึ้นอีกครั้ง แผนการของเขาตอนนี้ก็คือการสยบไข่มุกวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วหลังจากนั้นค่อยไปเดินทางไปอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไข่มุกวิญญาณหรือหุบเขาเทวะซูมี่ หวงเสี่ยวหลงก็ตั้งใจจะเอาพวกมันมาให้ได้!
หลังจากนั้นไม่นาน หวงเสี่ยวหลงก็ใช้งานแหวนผนึกพระเจ้าแล้วเข้าสู่สนามรบโบราณและเริ่มทำการบ่มเพาะ
ค่ำคืนได้ผ่านไป
พอออกจากสนามรบโบราณ หวงเสี่ยวหลงก็ได้เดินทางออกจากคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้ซึ่งเขาได้มุ่งหน้าไปเขตพื้นที่ของศิษย์ภายในในขณะที่พกเหรียญตราทองคำไปกับเขาด้วย แผนของเขาก็คือการค้นหาเหมือนกับสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเขาพยามสัมผัสตัวตนของไข่มุกวิญญาณผ่านเจดีย์หลิงหลงและแหวนผนึกพระเจ้า
แต่เมื่อนักศึกษาของสถาบันต้วนเริ่นที่เดินผ่านไปมาเห็นหวงเสี่ยวหลง ท่าทางของพวกเขาที่แสดงออกมาต่อหวงเสี่ยวหลงก็แตกต่างจากแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
มีทั้งความเลื่อมใส อิจฉา ริษยา และเคารพปะปนไป
ข่าวคราวเรื่องหวงเสี่ยวหลงที่ทำให้สองพี่น้องตระกูลกั่วมีใบหน้าเหมือนหมูได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสถาบัน
แม้ว่ากั่วจื่อและกั่วเฟยจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักเมื่อเทียบกับต้วนหวูเหิน เหยาเฟย หรือตระกูลใหญ่อื่นๆ แต่ตัวตนของพวกเขาก็คล้ายกัน แต่ทั้งสองคนกลับโดนทุบตีมันเลยกลายเป็นสิ่งที่ยากจะจำไม่ได้!
หวงเสี่ยวหลงไม่สนใจกับสายตาแปลกประหลาดที่เฝ้ามองดูเขา เขา*เดินเล่น*ไปมาภายในพื้นที่ของศิษย์ภายในตลอดทั้งวัน
เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงค่ำคืน
พอมองดูเวลา หวงเสี่ยวหลงก็ตัดสินใจออกไป เขาวางแผนจะกลับไปคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้แล้วค่อยกลับมาตามหาต่อในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ตามในขณะที่หวงเสี่ยวหลงก้าวเท้าออกจากเขตศิษย์ภายใน ก็มีกลุ่มคนมุ่งหน้ามาหาเขาจากระยะไกล คนที่นำพวกเขามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคู่หูกั่วจื่อและกั่วเฟยที่ถูกเขาทุบตีจนน่วมไปเมื่อวันก่อน
ในขณะที่กั่วจื่อ กั่วเฟย และทีมงานมุ่งหน้ามาอย่างพายุน้ำแข็ง ศิษย์คนอื่นๆก็ต่างหลบทางออกห่างจากพวกเขา
พอมองกั่วจื่อและกั่วเฟยมุ่งหน้ามาหาเขา หวงเสี่ยวหลงก็เย้ยหยันและไม่เคลื่อนไหว เขายังคงยืนอยู่จุดเดิม ยืนต้อนรับการมาถึงของกลุ่มคนพวกนั้นด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
พอกลุ่มของกั่วจื่อวิ่งมาถึงหวงเสี่ยวหลง พวกเขาก็แยกตัวล้อมกรอบหวงเสี่ยวหลองย่างรวดเร็ว
ผ่านไปเพียงวันเดียวก็ทำให้ใบหน้าหมูของสองพี่น้องนี่ฟื้นฟูมาเกือบหมด เนื่องจากเป็นผลของการใช้โอสถราคาแพง
“ไอ้หมาพันธุ์ทางหวง ด้วยการที่หมาแก่จ้าวชูไม่ได้อยู่เคียงข้างเจ้า ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าตอนนี้ใครจะช่วยเจ้าได้!”กั่วจื่อก็หัวเราะออกมาอย่างโหดเหี้ยม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประสงค์รายในขณะที่ถลึงตามองหวงเสี่ยวหลง
“จริงหรอ?”น้ำเสียงของหวงเสี่ยวหลงก็หนาวเย็นขึ้น
พอเห็นท่าทางที่ไม่แยแสของหวงเสี่ยวหลง ก็ทำให้ความโกรธปะทุขึ้นในใจของเขา เขาได้เอานิ้วชี้ไปที่หวงเสี่ยวหลงแล้วตะโกนออกไปเสียงดัง “หวงเสี่ยวหลง ไอ้หมาพันธุ์ทาง! ถ้าหากข้าไม่ได้ทำให้เจ้าพิการและบดขยี้เจ้าจนแม้เจ้าจำไม่ได้ในวันนี้ หลังจากนี้ข้าจะไม่ใช่แซ่กั่วอีก!”
“ไป บดขยี้มันซะ ข้าต้องการสอนบทเรียนไอ้หมาพันธุ์ทางตัวนี้ อย่าทำให้มันถึงตายหล่ะ”กั่วจื่อก็คำรามส่งสัญญาณให้ลูกน้องด้วยการโบกมือ
แต่เมื่อลูกน้องของกั่วจื่อและกั่วเฟยกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ๆก็มีเสียงที่ฟังดูขี้เกียจอ่อนไหวแต่กลับสง่างามดังขึ้น “หยุด!”
สองพี่น้องกั่วก็ไม่สามารถทำอะไรนอกจากหยุด
“ใครมันบังอาจยุ่งเรื่องของข้าฟะ!”พอได้ยินเสียงคนพูดรบกวนเขา สองพี่น้องตระกูลกั่วก็หันไปมองรอบๆ