ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 353 กลิ่นหอมของชาทำให้คนเมามาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 353 กลิ่นหอมของชาทำให้คนเมามาย

ไม่พูดถึงเพื่อนนักเรียนเสี่ยวชีที่โดดเรียนไปถูกจับกลับมาแล้ว จะเผชิญหน้ากับพายุโหมกระหน่ำแบบไหน วันนี้เว่ยหานมาที่หอสุราเช้าอีกหน่อย

สือเยี่ยนเห็นแล้วก็เข้าใจ

นายท่านมาหาคุณหนูลั่ว เพื่อดูต้นพลับอีกแล้ว

ทุกครั้งตอนที่นายท่านอยากดูต้นพลับกับคุณหนูลั่วก็จะมาเช้าหน่อย

“นายท่านมาแล้วหรือขอรับ”

เมื่อไม่เห็นลั่วเซิงที่ห้องโถงใหญ่ เว่ยหานจึงถามเรียบๆ “คุณหนูลั่วล่ะ”

“คุณหนูลั่วอยู่ในครัวหลังร้านขอรับ ท่านรอประเดี๋ยว ข้าน้อยจะไปเรียกให้” สือเยี่ยนเอ่ยจบก็วิ่งเข้าไปในลานด้านหลังแล้วตะโกนเรียก “คุณหนูลั่ว นายท่านมาหาท่านเพื่อไปดูต้นพลับด้วยกันขอรับ”

ต้นพลับกลางลานบ้านต้นนั้นยังคงโดดเดี่ยวเช่นเคย หลังจากหิมะละลายก็เผยให้เห็นกิ่งก้านที่ใบโกร๋น ในสายตาของสือเยี่ยนนั้นอัปลักษณ์ยิ่ง

ลั่วเซิงเดินออกมาจากห้องครัวและตัดสินใจรออยู่ข้างต้นพลับ พลางเอ่ยอย่างเปิดเผยว่า “เช่นนั้นก็ไปเชิญท่านอ๋องของพวกเจ้ามาเถอะ ข้าจะรอเขาใต้ต้นพลับ”

สือเยี่ยนกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ด้วยจิตใจซับซ้อน

เขาคิดว่าคนที่มีความสามารถดีเยี่ยมเฉกเช่นนายท่านกับคุณหนูลั่ว เมื่อเผชิญหน้ากับคุณหนูลั่วซึ่งเป็นเด็กสาวที่เปิดเผยเช่นนี้ ก็ถึงกับมีความสามารถ แต่นำมาใช้ไม่ได้เสียอย่างนั้น…

“นายท่าน คุณหนูลั่วรอท่านอยู่ใต้ต้นพลับขอรับ”

เว่ยหานพยักหน้า ก้าวเท้ายาวเดินไปทางด้านหลัง

สือเยี่ยนมองไปยังเงาร่างสูงตระหง่านที่หายลับไปอย่างรวดเร็วก็ลูบคางเกลี้ยงเกลา แล้วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน หากว่าเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ นายท่านกับคุณหนูลั่วคุยเล่นกันใต้ต้นพลับ (ไม่คาดหวังว่าจะสนทนาเรื่องราวส่วนลึกภายในใจ) ทันใดนั้น ก็มีลูกพลับสุกลูกหนึ่งตกลงมาใส่ศีรษะนายท่าน…

ต้นพลับไม่มีโอกาสได้ยินหนุ่มสาวคู่หนึ่งกระซิบกระซาบกัน เว่ยหานมาถึงก็เดินเข้าไปในห้องกับลั่วเซิงแล้ว

สองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาตัวเล็กๆ กั้นอยู่

เว่ยหานหิ้วกาน้ำชาที่อุ่นอยู่บนเตาเล็กด้านข้างมารินน้ำชาสองถ้วยอย่างคล่องแคล่ว

ถ้วยหนึ่งให้ลั่วเซิง ถ้วยหนึ่งให้ตัวเอง

ลั่วเซิงประคองถ้วยชาร้อนลวกขึ้นมา ถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ท่านอ๋องมีข่าวคราวของกลุ่มนักฆ่านั่นแล้วหรือ”

เว่ยหานพยักหน้าเล็กน้อย “นักฆ่าที่หนีไปวันนั้นระแวดระวังมาก ติดตามอยู่สองวันถึงได้ตามไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง”

“สถานที่ใดหรือ” แม้ว่าลั่วเซิงจะร้อนใจ แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่ง

ตั้งแต่เข้าเมืองมาถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนไป หลังจากนี้ยังมีโอกาสอีก

หากจะบอกว่าร้อนรน การปะทะกับราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ไม่มีเรื่องใดไม่รีบร้อน

เว่ยหานไม่มีทีท่าจะให้ลั่วเซิงรอนาน เอ่ยว่า “บ่อนพนันซึ่งมีชื่อเรียกว่า บ่อนทองพันชั่ง”

ลั่วเซิงตะลึง

บ่อนทองพันชั่ง ไม่นานก่อนหน้านี้ นางเพิ่งจะได้ยินมาพอดี

ระยะนี้สวี่ซี หลานชายที่น่าเป็นห่วงของนางเล่นสนุกอยู่ที่บ่อนทองพันชั่งจนลืมกลับบ้าน

เว่ยหานก็ตะลึงไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “คุณหนูลั่วก็รู้จักบ่อนทองพันชั่งด้วยหรือ”

หรือว่าคุณหนูลั่วเคยไปมา?

อ้างอิงจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามนักฆ่ารายงาน ตรงข้ามบ่อนทองพันชั่งก็คือ หอคณิกาชายแห่งหนึ่งซึ่งมีกิจการไม่เลว…

เว่ยหานมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง คิดในใจว่า เช่นนั้นคุณหนูลั่วไปบ่อนพนันหรือว่าหอคณิกาชายกันนะ

ลั่วเซิงไม่รู้ว่าชายตรงข้ามกำลังคิดอะไรอยู่จึงพยักหน้าอย่างสบายใจ “ย่อมเคยได้ยิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องตรวจพบความสัมพันธ์ของนักฆ่าผู้นั้นกับบ่อนพนันหรือไม่”

เว่ยหานยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง ผ่อนคลายอารมณ์ “บ่อนพนันแห่งนั้นน่าจะเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มนั้น ตอนนี้ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นจึงไม่แน่ใจว่าในบ่อนการพนันมีใครเป็นพวกเขาบ้าง…”

เลือกบ่อนการพนันซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเป็นฐานที่มั่น สถานที่ซึ่งมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ช่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

เพราะว่าวุ่นวายเกินไป ในทางตรงกันข้ามกลับสะดวกที่จะหลบซ่อน

ยกตัวอย่างเช่น นักฆ่าที่ถูกติดตามหนีไปยังบ่อนการพนัน หากต้องการจะแยกแยะว่า คนในบ่อนการพนันเหล่านั้นเป็นนักพนันทั่วไป คนของบ่อน หรือว่าคนของกลุ่มนักฆ่าก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว

เว่ยหานเห็นลั่วเซิงขมวดคิ้วตรึกตรองก็เอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูลั่ว เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้ คนของข้าเฝ้าดูอีกสองสามวันก็น่าจะได้คำตอบชัดเจนแล้ว”

หากคุณหนูลั่วไม่วางใจ วิ่งไปบ่อนการพนันแล้วถือโอกาสไปเดินเล่นที่ฝั่งตรงข้าม เช่นนั้นจะทำอย่างไร

สำหรับเรื่องว่าเหตุใดถึงได้ถือสาเรื่องที่คุณหนูลั่วจะไปเที่ยวเล่นที่ฝั่งตรงข้ามนั้น เว่ยหานไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งและคิดว่าเรื่องราวสมควรเป็นแบบนี้

การถือสาเรื่องเด็กสาวไปเที่ยวเล่นที่หอคณิกาชายไม่ใช่สิ่งที่สมควรหรอกหรือ แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็คงถือสาเช่นกัน

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ๋องแล้ว” ลั่วเซิงถือกาน้ำชาทองแดงปากยาวขึ้นมา รินน้ำชาให้เว่ยหานจนเต็ม

เว่ยหานวางใจเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ดื่มชา

น้ำชาร้อนจัด นั่งอยู่ในห้องที่อบอุ่นตรงข้ามเด็กสาวที่มีรูปโฉมดุจภาพวาด เมื่อดื่มน้ำชาลงไป หัวใจของเขาก็ร้อนผ่าวตามไปด้วย

เว่ยหานรู้สึกแปลกเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้ดื่มสุรา แต่คล้ายว่าจะเมาเสียแล้ว

ในสายตา ดวงหน้าคุ้นตานั้นดูเหมือนจะน่ามองอยู่บ้าง…

ลั่วเซิงรู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มตรงข้ามจ้องตนเองนานเกินไปเล็กน้อยจึงมองเขาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ

ภายใต้การเพ่งมองของเด็กสาว เว่ยหานพลันรู้สึกตื่นเต้น เขาฝืนแกล้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วคลึงหว่างคิ้ว “ขอโทษด้วย ข้าเมาแล้ว“

ลั่วเซิงมองถ้วยชาในมือเว่ยหานทันที

ไม่ผิด เป็นถ้วยชาจริงๆ ในนั้นมีน้ำชาไอร้อนกรุ่นที่นางเพิ่งเติมลงไป

ไคหยางอ๋องดื่มน้ำชามากไปแล้วจะเป็นอย่างไร เมามายหรือ

การแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนต่อหน้าคุณหนูลั่วนั้นเป็นไม่ได้ แบบนั้นจะกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นใครบางคนจึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง เอ่ยปากเชื้อเชิญว่า “คุณหนูลั่ว พวกเราไปดูต้นพลับกันเถอะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างไว้หน้า

ก็ดี หากไคหยางอ๋องเมามายขึ้นมาก็ให้ต้นพลับรับหน้าแทนแล้วกัน

ในห้องโถงใหญ่มีนักดื่มมากันอย่างต่อเนื่อง เว่ยหานกลับไปนั่งร่ำสุรา กินเนื้อที่เดิม

ลั่วเซิงส่งสายตาให้โค่วเอ๋อร์เดินไปยังลานด้านหลัง

“สถานการณ์ทางคุณชายใหญ่สวี่เป็นอย่างไรบ้าง“

โค่วเอ๋อร์ส่ายหน้ารัวพลางถอนหายใจแรง “คุณชายใหญ่สวี่ไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ เห็นได้ชัดว่าคนที่เล่นพนันเป็นเพื่อนเขาบ่อยๆ พวกนั้นร่วมมือกันเล่นงานเขา แต่เขาดันมองไม่ออก ชนะนิดๆ หน่อยๆ อย่างราบรื่นสองสามครั้งก็วิ่งรอกไปบ่อนทองพันชั่งทุกวัน เป็นถึงคุณชายตระกูลโหวท่านหนึ่ง ความสามารถในการมองคนแค่นี้ยังไม่มี ไม่ไหวเลยจริงๆ เจ้าค่ะ…“

“แพ้ไปไม่น้อยแล้วหรือ”

โค่วเอ๋อร์ใช้มือทำสัญลักษณ์หนึ่ง “แพ้ไปแปดร้อยตำลึงแล้วเจ้าค่ะ!”

กลัวอย่างเดียวคือลั่วเซิงจะไม่เข้าใจว่าแปดร้อยตำลึงนั้นหมายถึงอะไร สาวใช้จึงรีบอธิบาย “คุณหนู ท่านอย่านึกว่าแปดร้อยตำลึงน้อยนะเจ้าคะ แปดร้อยตำลึงไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย ท่านรู้จักคุณชายญาติผู้พี่สินะเจ้าคะ เขาได้เงินเดือนหนึ่งแค่ห้าตำลึง แปดร้อยตำลึงนี้ให้เขา สิบสามปีก็ยังให้ไม่หมดเลยเจ้าค่ะ”

คุณชายสามเซิ่งซึ่งยกอาหารมายังครัวหลังร้านพอดี ได้ยินคำพูดนั้นแว่วๆ ก็ขมวดคิ้ว

ทำไมเขาถึงได้ยินโค่วเอ๋อร์เอ่ยถึง ‘คุณชายญาติผู้พี่’ กันนะ

นี่กลับไม่สำคัญ ให้อะไร ถึงต้องให้ถึงสิบสามปีกัน ตอนนั้นเขาก็อายุสามสิบแล้ว!

เมื่อเห็นคุณชายสามเซิ่งปรากฏตัว โค่วเอ๋อร์ก็ยิ้มสดใส พลางถามว่า “คุณชายญาติผู้พี่ ท่านบอกคุณหนูของพวกเราทีว่า แปดร้อยตำลึงนั้นมากหรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อคุณชายสามเซิ่งได้ยินว่าแปดร้อยตำลึง ในสมองก็ผุดรายได้ในตอนที่ตนเองอยู่บ้านขึ้นมาทันที ‘ห้าตำลึงต่อเดือน’

“น้องลั่ว โค่วเอ๋อร์พูดได้ถูกต้องแล้ว แปดร้อยตำลึงนั้นมากยิ่ง“

”ข้าเข้าใจแล้ว“ ลั่วเซิงยิ้มบางๆ

เมื่อเห็นญาติผู้น้องเข้าใจ คุณชายสามเซิ่งก็หัวเราะเหอๆ เข้าไปในห้องครัว จนกระทั่งยกหม้อไฟเนื้อแพะก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เท้าก็พลันชะงัก

ตอนนี้คิดได้แล้วว่า ให้อะไร ถึงต้องให้ถึงสิบสามปี!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท