บทที่ 1220 ทำไมข้าต้องช่วยเหลือเจ้า
บทที่ 1220 ทำไมข้าต้องช่วยเหลือเจ้า
กู้ฉวนลู่ไม่มีทางเลือก เขาได้เพียงแต่ถอยไปด้านข้างแล้วนั่งยอง ๆ อยู่ในมุมหนึ่งเพื่อรอให้กู้เสี่ยวหวานออกมา
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้างในห้องก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านนอก
เพียงแต่ตอนนี้นางถูกฉินเย่จือแต๊ะอั๋งอยู่ในอ้อมแขนจึงไม่ว่าง
นางไม่อยากเจอและก็ไม่ยินดีที่จะเจอด้วย
กู้ฉวนลู่นั่งรออยู่ตรงประตูเป็นเวลานานแล้ว นั่งจนเท้าเริ่มชาแล้วก็เพิ่งเห็นประตูห้องของกู้เสี่ยวหวานเปิดออก กู้ฉวนลู่ดีใจนึกว่าเป็นกู้เสี่ยวหวาน รอยยิ้มจึงผุดขึ้นบนใบหน้า เขารีบเดินเข้าไปหมายจะทักทายนาง แต่กลับเห็นว่าคนที่ออกมาจากข้างในนั้นเป็นฉินเย่จือ
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสบาย ๆ ของเขา กู้ฉวนลู่ก็มองด้วยความแค้นเคือง
บุรุษและสตรีอยู่ในห้องเดียวกัน ผู้ใดจะรู้ว่าจะทำเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรบ้าง ช่างเสื่อมเสียต่อศีลธรรมเสียจริง ทำให้ตระกูลกู้ขายหน้า เหอะ!
กู้ฉวนลู่จ้องมองฉินเย่จืออย่างดุดันด้วยสีหน้าที่แสดงความรังเกียจ
ฉินเย่จือหันศีรษะก็เห็นกู้ฉวนลู่ซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ ตรงใต้หลังคา มุมปากก็ยกยิ้มจาง
กู้ฉวนลู่เห็นเขายิ้มแล้วดูช่างงดงามดั่งบุปผายามใบไม้ผลิ จันทรายามใบไม่ร่วง กู้ฉวนลู่ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
คนผู้นี้มีสิ่งใดที่น่าสนใจกัน อาศัยแค่หน้าตาดีก็นึกว่าประจบประแจงกู้เสี่ยวหวานแล้วจะมีชีวิตที่ดีหรือ
กู้ฉวนลู่ดูถูกเหยียดหยามบุรุษกับสตรีประเภทที่อาศัยขายรูปลักษณ์ของตัวเองมาก เมื่อเห็นฉินเย่จือหน้าตาดีอย่างยิ่ง ทั้งตอนนี้กู้เสี่ยวหวานก็ร่ำรวย ย่อมต้องคิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไปในทางนั้น
ฉินเย่จือไม่รู้ความคิดของกู้ฉวนลู่ ถึงแม้จะรู้ก็คงจะหัวเราะ สามารถทำให้คนที่ตัวเองชอบมาเลี้ยงดูตัวเองได้ เช่นนั้นก็นับว่าโชคดีแล้ว
อาโม่เองก็ไม่รู้ความคิดของกู้ฉวนลู่ แต่ถ้าหากรู้เข้าแล้วก็กลัวว่าจะถือดาบมาผ่าหัวของกู้ฉวนลู่ทันที
กล้าที่จะใส่ร้ายเจ้านายของเขาเช่นนี้ ช่างกินหัวใจหมีดีเสือดาวแล้วจริง ๆ
เมื่อเห็นฉินเย่จือจากไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานยังอยู่ข้างในห้องและยังไม่ออกมา กู้ฉวนลู่ก็รู้สึกว่าขาที่ยืนนั้นชาหมดแล้ว
อายุมากแล้ว อีกทั้งสองปีนี้ก็เหนื่อยมากเกินไป เพียงแต่ว่าถ้าทำให้กู้จือเหวินมีอนาคตที่ดีเป็นขุนนางได้ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากกายสักเพียงใด เขาก็เต็มใจที่จะทำ
เวลาผ่านไปทีละนิด จากที่มีคนพลุกพล่านในร้านจิ่นฝู แขกเหรื่อก็ค่อย ๆ ทยอยกันจากไป
กู้ฉวนลู่สั่นขา ในขณะที่เขากำลังทำเช่นนี้ ประตูห้องของกู้เสี่ยวหวานก็เปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าด พอกู้ฉวนลู่ได้ยินก็รีบออกมาทันที เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานออกมาจากข้างในห้องแล้ว อาโม่ก็ปิดประตูให้ กู้ฉวนลู่ก็กระโจนเข้าไปหาเจ้านายและคนรับใช้ทั้งสอง
ในที่สุดก็จับกู้เสี่ยวหวานได้แล้ว ในใจกู้ฉวนลู่อย่าพูดว่าตื่นเต้นเลย สีหน้าที่ดีอกดีใจขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย เหล้าที่เพิ่งดื่มเมื่อครู่ ตอนนี้ก็ทำให้มึนเมาและรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
กู้ฉวนลู่ดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว ถ้าคิดจะพูดออกมา แน่นอนว่าต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เสี่ยวหวาน ข้าคอยเจ้ามานานแล้ว” กู้ฉวนลู่มีสีหน้าท่าทางที่ทุกข์ใจ
“ครอบครัวข้ามีลูกชายคนเดียว การเรียนก็คือชีวิตของเขา เจ้าก็ช่วยเมตตาพูดกับอาจารย์ฝางสักคำ ให้จือเหวินตามหนิงอันไปเรียนด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ ถ้าหากไปเรียนด้วยไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้จือเหวินคอยรับใช้หนิงอันตอนอ่านหนังสือ เจ้าลองคิดดูสักหน่อยสิ เช่นนี้ได้หรือไม่”
เพื่อที่จะสามารถเข้าประตูเรือนอาจารย์ฝางได้ กู้ฉวนลู่ก็คิดเช่นนี้ออกมาจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานประสานมือไว้ด้านหน้า แผ่นหลังตั้งตรง ลำคอยาวระหงยิ่งดูโดดเด่น ทั้งตัวสวมกระโปรงยาวผ้าไหมสีขาวราวหิมะคู่กับเสื้อคลุมสีเขียวมรกตราวกับน้ำทะเล สาบรอบเอวห้อยด้วยหยกเขียว การแต่งตัวเช่นนี้ดูโดดเด่นงดงามราวกับเทพเซียนลงมาบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
กู้เสี่ยวหวานที่เติบโตขึ้นในตอนนี้นั้นไม่เลวเลยจริง ๆ
กู้ฉวนลู่ก็ยังต้องยอมรับ เด็ก ๆ ในครอบครัวของเจ้ารองโตขึ้นแล้วก็ดูดีกว่าเด็ก ๆ ครอบครัวของตัวเอง แม้ว่าซินเถาจะงดงามมากแล้ว แต่ความงามเช่นนี้กลับเป็นความงามที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความรู้สึกที่งดงามโดดเด่น เพียงแค่ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นครั้งแรกนั้นรู้สึกตะลึงงัน ส่วนที่เหลือนั้นก็จืดชืดแล้ว
เหมือนอย่างกู้เสี่ยวหวานเสียที่ไหนกัน กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นทำให้ผู้คนไม่อาจละลายตาได้เลยจริง ๆ
ทันใดนั้น กู้ฉวนลู่ก็นึกคำพูดที่เถ้าแก่ติงได้พูดไว้
มันจะดีสักเพียงใดถ้าหากนี่เป็นบุตรสาวของตัวเอง
กู้ฉวนลู่คอยจ้องมองกู้เสี่ยวหวาน ในใจก็แสดงความรู้สึกหดหู่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เจ้ารองไม่มีวาสนาอายุยืนยาว แต่กลับให้กำเนิดลูกสาวที่เก่งและมีความสามารถเช่นนี้ออกมา ก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วได้จุดธูปสักการะไหว้สูงเกินไปหรือไม่ พระโพธิสัตว์ถึงได้คุ้มครองและประทานบุตรสาวที่ดีมากเช่นนี้ให้แก่เขา
เมื่อนึกถึงคนที่อยู่ในครอบครัวตัวเอง แววตาของกู้ฉวนลู่ก็มืดครึ้ม
ไม่ใช่ว่าดูแคลนบุตรสาวในครอบครัวตัวเอง แต่เมื่อเทียบกับกู้เสี่ยวหวานขึ้นมาจริง ๆ แล้ว คนหนึ่งก็เป็นเมฆขาวลอยบนท้องฟ้า คนหนึ่งนั้นเป็นโคลนตมบนพื้นดินเสียจริง
ไม่ได้อยากจะเปรียบเทียบเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก
กู้ฉวนลู่ครุ่นคิดในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง บางครั้งก็มองกู้เสี่ยวหวานด้วยความตกตะลึง และบางครั้งก็แสดงสีหน้าเศร้าเสียใจ การแสดงออกบนสีหน้านั้นราวกับกระบอกสามมิติที่หลากหลายสีสัน
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจเขา เดินตรงลงไปชั้นล่าง
กู้ฉวนลู่ตามด้านหลังไปติด ๆ ปากก็ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “เสี่ยวหวาน ตอนนี้เจ้ามีชีวิตที่ดีแล้ว เจ้าก็ช่วยข้าช่วยป้าของเจ้าหาลู่ทางที่ดีด้วยเถอะ พวกเราเป็นญาติของเจ้า ในร่างกายก็มีสายเลือดเดียวกัน”
ด้วยท่าทางที่น่าสงสารของกู้ฉวนลู่ เขายังคงพูดต่อไป “เจ้าเองก็รู้ จือเหวินเป็นเหมือนชีวิตของข้า ข้าสอบซิ่วไฉแล้วก็สอบไม่ได้ การเรียนนี้เป็นความฝันของข้ามาโดยตลอด แต่ตัวข้าเองกลับทำให้เป็นจริงไม่ได้ ย่อมต้องพึ่งพาจือเหวินเท่านั้นแล้ว แต่ถ้าหากจือเหวินเองก็ไม่มีความสามารถพอ ชีวิตนี้ของลุงนั้นแม้แต่ความฝันก็ยังทำไม่ได้แล้ว”
กู้ฉวนลู่พูดจบ หางตาก็มีน้ำตาไหลหยดลงมาราวกับว่าโศกเศร้าเสียใจมาก
เนื่องจากถึงช่วงบ่ายแล้ว ร้านจิ่นฝูจึงปิดร้าน นอกจากพี่ชายที่ทำความสะอาดแล้ว ในร้านก็ไม่มีใครคนอื่นอีก
กู้เสี่ยวหวานเห็นเขาแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ราวกับเป็นพ่อที่แสนดี ถ้าหากไม่รู้ความจริงของคนผู้นี้ กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าจะต้องถูกท่าทางพ่อที่แสนดีของเขานั้นหลอกเข้าให้จริง ๆ แล้ว
แต่หากพูดตามตรงแล้ว ถ้าปีนั้นกู้ฉวนลู่มีความเห็นอกเห็นใจสักเล็กน้อย ไม่แน่ว่านางอาจจะช่วยก็ได้ แต่ว่าคนประเภทนี้นอกจากจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจแล้ว ตรงกันข้ามกลับยังสาดน้ำเกลือใส่บนแผลของพวกเขาแทน