ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1269 ลวี่เทายอมรับ + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1269 ลวี่เทายอมรับ

บทที่ 1269 ลวี่เทายอมรับ

เซี่ยเทียนหมิงตบที่เท้าแขนของเก้าอี้ เขาชี้ไปที่ลวี่เทาด้วยใบหน้าโกรธขึ้งและสาปแช่ง “ลวี่เทา ข้าประเมินท่านต่ำไป เป็นเวลาหลายปีที่ตำแหน่งทางการของท่านไม่ได้ขยับให้สูงส่งขึ้นเลย ปรากฏว่าเพราะท่านมัวแต่ไปเล่นสนุกกับผู้หญิงคนนี้ ลวี่เทา อย่าลืมว่าตอนที่ท่านเข้าสู่ตระกูลกัว ตอนเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษของตระกูลกัวและคุณหนู ท่านสาบานว่าอย่างไร?”

ท่าทางของเซี่ยเทียนหมิงราวกับกำลังดุหลานชาย เขาชี้ไปที่ลวี่เทาและตำหนิติเตียน

ลวี่เทาไม่กล้าตอบกลับและเงยหน้าขึ้น “พ่อบ้านเซี่ย เป็นเพราะข้าสับสน นางผู้นี้เข้ามายั่วยวนข้าก่อน พ่อบ้านเซี่ย นี่เป็นความผิดพลาดครั้งแรกของข้า ได้โปรดสงสารข้าเถิด ท่านอย่าบอกฮูหยินและท่านพ่อได้หรือไม่”

ลวี่เทาดึงขากางเกงของเซี่ยเทียนหมิงพลางร้องห่มร้องไห้

เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ว่านซื่อ

เดิมทีว่านซื่อเองก็โกรธหลิวชิงซานมากอยู่แล้ว ในขณะนี้นางก็ถูกใส่เครื่องจองจำขื่อคา ครั้นได้ยินลวี่เทาบอกว่าเขาถูกนางยั่วยวน ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคนแซ่ลวี่ เจ้ามันไร้ยางอาย เจ้านั่นแหละที่มาอ้อนวอนข้า เจ้าลืมไปแล้วหรือ เมื่อเรื่องถูกเปิดเผย แต่กลับมาบอกว่าข้าเป็นคนยั่วยวนเจ้า เจ้ามันจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า”

ว่านซื่อถูกตรึงไว้ด้วยขื่อคา นางจึงไม่สามารถทำอะไรลวี่เทาได้ ถ้านางยังเป็นอิสระ เกรงว่านางคงกระหน่ำแทงลวี่เทาไปแล้ว

กู้เสี่ยวหวานมองว่านซื่อกับลวี่เทาที่กำลังเชือดเฉือนกันด้วยคำพูด ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ทว่าในพริบตา พวกเขาก็กลายเป็นศัตรูกัน

คำพูดของลวี่เทาและว่านซื่อต่างตำหนิกันและกันว่าอีกฝ่ายเป็นคนยั่วยวนก่อน

เหอฮวาที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ทันใดนั้นนางก็รุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขวางหน้าว่านซื่อไว้และชี้หน้าด่าลวี่เทา “คนแซ่ลวี่ ท่านมาหานางเอง แต่กลับมาตำหนินางว่ายั่วยวนท่าน ข้าคิดเสมอว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษ ข้ามองผิดไปจริง ๆ นายหญิงอย่าสนใจคนอกตัญญูแบบนี้เลย ผู้ชายแบบนี้พวกเราไม่ต้องการ”

ความโมโหของเหอฮวานี้ทำให้กู้เสี่ยวหวานประหลาดใจ

เมื่อครู่เหอฮวานี้ยังคงกล่าวหาว่าว่านซื่อเป็นนางจิ้งจอก แต่ทำไมตอนนี้นางถึงเข้าข้างว่านซื่อได้ล่ะ

แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ชั่วร้ายของลวี่เทา หลังจากถูกเปิดเผยความจริง เกรงว่าไม่ว่าผู้หญิงคนใดเห็นมันก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผิดไป

เหอฮวาคิดเหมือนที่กู้เสี่ยวหวานคิดจริง ๆ

ปรากฏว่าเป็นเพราะในตอนเด็ก นางมีฐานะยากจน นางจึงอิจฉาและต้องการแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวยเพื่อที่ตนเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แม้จะต้องเป็นเพียงนางบำเรอก็ตาม

เป็นผลให้เมื่อนางได้พบกับลวี่เทาและเห็นลวี่เทาดูแลว่านซื่อด้วยความรัก นางจึงยึดติดกับเขาอย่างลึกซึ้งและคิดว่าเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก

นอกจากนี้ เขายังเป็นขุนนางที่มีอำนาจ มีความอ่อนโยนและปฏิบัติต่อว่านซื่อด้วยความจริงใจ เมื่อเหอฮวาเห็นเมื่อใด นางก็รู้สึกอิจฉาทุกครั้ง

ดังนั้นจึงคิดว่าหากตัวเองสามารถเข้าใกล้ลวี่เทาและเป็นนางบำเรอของลวี่เทาได้ก็คงดี

ว่านซื่อเองก็เคยสัญญากับนางด้วยเช่นกัน แต่เป็นเวลาหลายปีที่เหอฮวายังคงเป็นผู้หญิงที่มีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสถานะของนางก็ไม่ขยับเลยสักครั้ง

ท่าทางของว่านซื่อเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาขณะอยู่กับลวี่เทา เมื่อเหอฮวาเห็นจึงรู้สึกอิจฉา

คนก็เป็นแบบนี้ เมื่อชอบอะไรบางอย่างก็จะยึดติดกับสิ่งนั้น เมื่อมีคนมาบอกว่าจะให้สิ่งนั้นกับตัวเอง จึงดีใจเกินกว่าหาสิ่งใดเปรียบ

แต่เมื่อรอแล้วรอเล่า รอมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว คนที่พูดว่าจะให้ก็ดูเหมือนจะลืมสัญญานี้ไปแล้ว

เหอฮวาจึงมีความคิดอคติต่อลวี่เทาและเกลียดว่านซื่อโดยธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ความเกลียดชังนี้ถูกถ่ายโอนไปที่ลวี่เทา เมื่อลวี่เทาปฏิเสธว่าเขาถูกยั่วยวนโดยว่านซื่อ เหอฮวาก็รู้สึกตื่นเต้น

เมื่อลวี่เทาพูดอย่างแดกดันกับว่านซื่อ เหอฮวาก็ได้สติขึ้นมา

เมื่อมองไปที่ความโหดเหี้ยมของลวี่เทา ความอ่อนโยนที่เขาเคยมีต่อว่านซื่อ บัดนี้มันไม่มีอีกแล้ว

พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน แต่พวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์

เหอฮวารู้สึกงงงวย สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้รู้ทันทีว่าสติของนางถูกดึงกลับมาแล้ว

เมื่อก่อนมีความอิจฉาต่อว่านซื่อมากแค่ไหน ความเกลียดชังต่อลวี่เทาในตอนนี้ก็มีมากเท่านั้น

ลวี่เทาคนนี้ทำเกินไปจริง ๆ

เหอฮวารีบก้าวไปหาลวี่เทาโดยไม่คิดอะไร ชี้ไปที่ลวี่เทาและพูดอย่างแดกดัน “ใต้เท้าลวี่ ท่านเพิ่งบอกว่านายหญิงยั่วยวนท่าน แต่ในความคิดของข้า ข้าคิดว่านางเป็นภรรยาของท่าน หลายปีที่ผ่านมา นายหญิงติดตามท่านโดยไม่มีสถานะแน่ชัด ท่านอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่มา อยากไปก็ไป เป็นเวลาหลายปีที่นายหญิงรอท่านอยู่ที่บ้าน แต่ท่านกลับมาล้อเล่นกับความจริงใจของนายหญิง ท่านช่างโหดร้ายจริง ๆ”

“เจ้าเป็นใคร เจ้ากล้าชี้หน้าด่าข้าได้อย่างไร นางแค่รักเงินของข้าและอำนาจที่นางจะได้มา นี่เป็นพรที่นางได้รับไป นางควรจะสำนึกบุญคุณข้าด้วยซ้ำ” ลวี่เทามองเหอฮวาที่กำลังด่าทอตัวเองและพูดอย่างดุดัน

เมื่อพูดจบประโยคนี้ ลวี่เทาก็หันไปมองเซี่ยเทียนหมิง ใบหน้าของเขาดูน่ากลัว

“พ่อบ้านเซี่ย ข้า…”

“หึ หน้าไม่อาย” เซี่ยเทียนหมิงพูดพลางยืนขึ้นโดยไม่ชายตามองไปที่ลวี่เทา เขาตรงไปหาใต้เท้าจ้าว ประสานมือและพูดว่า “ใต้เท้าจ้าว ขอบคุณท่านมากที่ทำให้ตระกูลกัวเห็นธาตุแท้ของคนผู้นี้ นี่คือจดหมายจากนายท่านของข้า รบกวนท่านอ่านมันสักหน่อย”

ใต้เท้าจ้าวเหลือบมองจดหมายสิบบรรทัดอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านจบก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลวี่เทาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาส่งจดหมายคืนให้เซี่ยเทียนหมิง จากนั้นจึงพูดอย่างอึดอัดใจ “พ่อบ้านเซี่ย เดิมทีนี่เป็นเรื่องของตระกูลกัว ท่านมาให้ข้าที่เป็นคนนอกอ่านคงจะไม่ดี”

เซี่ยเทียนหมิงมองจดหมายของตัวเองและพูดด้วยความเคารพ “ใต้เท้าจ้าว ท่านเป็นเจ้านายของลวี่เทา การให้ท่านอ่านนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้าเป็นเพียงพ่อบ้าน จึงไม่เหมาะสมนัก”

เครื่องจองจำขื่อคา

 


 

บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า

บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า

เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนหมิงกล่าวแบบนั้น ใต้เท้าจ้าวจึงไม่สามารถปฏิเสธได้และเขาก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลกัวเสียหน้าได้ ดังนั้นจึงเปิดจดหมายอีกครั้ง

ก่อนที่จะอ่านก็เหลือบมองไปทางลวี่เทาอีกครั้ง

ลวี่เทายืนอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นว่าใต้เท้าจ้าวมองมาที่ตัวเองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ลวี่เทาก็ตกตะลึง จากนั้นก็ได้ยินใต้เท้าจ้าวเริ่มอ่านจดหมาย

แน่นอนว่าในจดหมาย ตระกูลกัวเขียนว่าลวี่เทาโดนขอหย่า

หลังจากอ่านจดหมายจบ ใต้เท้าจ้าวก็พับจดหมายและส่งคืนให้กับเซี่ยเทียนหมิงอีกครั้ง หากแต่ก็ยังอยากรู้ “พ่อบ้านเซี่ย ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจ นายท่านกัวรู้ได้อย่างไรว่าลูกเขยสามของเขามีนางบำเรอ?”

ใช่แล้ว ตระกูลกัวอยู่ในเมืองหลวงและไม่เคยมาที่นี่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าลวี่เทามีนางบำเรอ นอกจากนี้จดหมายฉบับนี้ยังมาทันเวลา

จากเมืองหลวงถึงเมืองหลิวเจียมีระยะทางที่ห่างไกลกันมาก เกรงว่าพ่อบ้านคงมาถึงที่นี่หลายวันแล้ว

พ่อบ้านเซี่ยหยิบจดหมายใส่ไว้ในแขนเสื้อและพูดว่า “แม้ว่านายท่านของข้าจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ท้ายที่สุดแล้วคนผู้นั้นก็ยังเป็นลูกเขย ดังนั้นเขาจึงต้องใส่ใจเป็นธรรมดา”

ใส่ใจอะไรกันล่ะ

ว่านซื่อและลวี่เทาอยู่ด้วยกันมาหกหรือเจ็ดปีแล้ว แต่เขาเพิ่งค้นพบหรือ?

ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่อในคำพูดของเซี่ยเทียนหมิง

หากต้องตัดหางลวี่เทาปล่อยวัดจริง ๆ ก็ควรมาที่นี่นานแล้ว แต่พวกเขากลับรอเวลามานานขนาดนี้เลยหรือ

ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถามต่อไป

ลวี่เทาทรุดลงกับพื้น

เซี่ยเทียนหมิงมองลวี่เทาอย่างภาคภูมิใจราวกับกำลังมองดูเศษขยะ “นี่เป็นจดหมายขอหย่า จากนี้ไป ลวี่เทา ท่านไม่ได้เป็นลูกเขยของตระกูลกัวอีกต่อไป ทุกอย่างที่เป็นของตระกูลกัว ตระกูลกัวขอรับกลับไป ลวี่เทา ท่านดูแลตัวเองให้ดีล่ะ?”

หลังจากพูดเรื่องนี้แล้ว เซี่ยเทียนหมิงหันไปรอบ ๆ และโค้งคำนับใต้เท้าจ้าว “ใต้เท้าจ้าว นายท่านกำลังรอให้ข้ากลับไป ข้าขอตัวก่อน”

“พ่อบ้านเซี่ยจะกลับไปที่เมืองหลวงแล้วหรือ” ใต้เท้าจ้าวถามด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

เซี่ยเทียนหมิงเพิ่งจะมาถึงไม่ใช่หรือ หรือเขามาที่นี่ก็เพื่อแค่ส่งจดหมายหย่า?

ใบหน้าของใต้เท้าจ้าวและกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความสงสัย

เซี่ยเทียนหมิงจึงกล่าวว่า “นายท่านของข้าบอกว่า ถ้าลวี่เทาไม่ซื่อสัตย์กับตระกูลกัวก็ให้ส่งจดหมายหย่า และไม่ต้องพูดสิ่งใดให้มากความ”

มันเหมือนกับการทิ้งขยะ เมื่อโยนทิ้งไปแล้วก็จบ

กู้เสี่ยวหวานมองท่าทางผิดหวังของลวี่เทาที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงบนพื้น

ปากของเขาบ่นพึมพำ “จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

เขารู้ว่าตัวเองทำผิด แต่กลับโทษคนอื่น ลวี่เทาคนนี้ขาดคุณธรรม กรรมนั้นย่อมตามสนอง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รู้สึกสงสารลวี่เทาคนนี้เลย

หลังจากลวี่เทาหายสับสน เขาก็เริ่มร้องไห้อย่างขมขื่นและบอกว่าต้องการไปหานายท่านกัวและภรรยาของเขาเพื่ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจ แต่เซี่ยเทียนหมิงไม่สนใจและยกเท้าเตะเขาไปด้านข้าง

จากนั้นก็พูดกับใต้เท้าจ้าว “ใต้เท้าจ้าว นายท่านของข้ายังมีเรื่องที่ฝากข้ามาบอกท่าน ลวี่เทาไม่ได้เป็นลูกเขยของตระกูลกัวอีกต่อไป สิ่งที่เขากระทำจะได้รับการลงโทษอย่างไร ใต้เท้าได้โปรดพิจารณาตามสมควร และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลกัว”

ทันทีที่เซี่ยเทียนหมิงกล่าวจบ ใต้เท้าจ้าวส่งเสียงตอบรับและส่งเซี่ยเทียนหมิงกลับไปอย่างรวดเร็ว

ลวี่เทาร้องไห้อยู่ที่ด้านหลังและกำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ถูกเจ้าหน้าที่ดึงตัวไว้และกดลงบนพื้นอย่างแรง

ลวี่เทาไม่สามารถขยับตัวได้ ทำให้เขาไม่สามารถไล่ตามเซี่ยเทียนหมิงได้ เขาเห็นสถานะลูกเขยตระกูลกัวของตัวเองหายไปต่อหน้าต่อตา และไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจจะมีบทลงโทษรอเขาอยู่

ลวี่เทาคิดถึงสถานการณ์ในอนาคตก็รู้สึกหวาดกลัว

ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้ามากขึ้น และในที่สุดเขาก็ตะโกนว่า “นางผู้หญิงตัวเหม็น เจ้าทำให้ข้าไม่เหลืออะไรเลย นางผู้หญิงตัวเหม็น นังจิ้งจอก”

ลวี่เทาไม่รู้จะระบายความโกรธแค้นใส่ใครจึงเลือกระบายอารมณ์ใส่ว่านซื่อ

มีเพียงการตีโพยตีพายของลวี่เทาที่ด่าว่าว่านซื่อนั้นไร้ประโยชน์ และในขณะเดียวกัน นางก็เริ่มโต้ตอบลวี่เทา

พวกเขาสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร เอาแต่ด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคายและไม่น่าฟังเป็นที่สุด

แม้แต่หลิวชิงซาน เมื่อเขาได้ยินเสียงด่ากันของลวี่เทาและว่านซื่อ เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่กี่วันที่ผ่านมาทั้งสองยังคงนอนกอดรักใคร่กันดี ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงกลายเป็นศัตรูกันได้

ใต้เท้าจ้าวได้สติกลับมา เนื่องจากอาชญากรรมของลวี่เทา ลวี่เทาจึงถูกลงโทษสถานหนัก เขาขอให้เจ้าหน้าที่นำตัวลวี่เทาไปขังไว้ในห้องขัง

ลวี่เทารู้ว่าสถานการณ์ของตัวเองกำลังเลวร้ายลง จึงพูดเรื่องที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับการกระทำที่อุกอาจของเหลยต้าเซิ่ง

เหลยต้าเซิ่งก็ไม่ใช่คนดี เขามีแหวนของหลี่ซื่อ และในบ้านของเหลยต้าเซิ่งก็มีผงชีซิงที่ยังไม่ได้รับการทำความสะอาด ในท้องของหลี่ซื่อก็พบผงชีซิง เมื่อเผชิญกับหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ เหลยต้าเซิ่งจึงต้องยอมรับว่าตัวเองฆ่าหลี่ซื่อ

ปรากฏว่าหลี่ซื่อรู้เรื่องการตายของจูเหล่าเอ้อร์ และได้ใช้สิ่งนี้ข่มขู่เพื่อขอเงินจากเหลยต้าเซิ่ง

เหลยต้าเซิ่งไม่สามารถถูกรบกวนไปได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าหลี่ซื่อไม่มีพ่อแม่และไม่มีญาติ เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากห้องขัง น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ และแม้ว่าเขาจะตายก็คงไม่มีใครรู้

มันเป็นเพียงการหายตัวไปของคนอันธพาล จะมีใครสนใจได้อย่างไร

ดังนั้นเขาจึงรินชาหนึ่งถ้วยที่มีผงชีซิงอยู่ในนั้น หลังจากหลี่ซื่อดื่มเข้าไป และเพื่อทำลายหลักฐาน จึงลากศพของหลี่ซื่อไปยังแม่น้ำและผูกหินไว้กับศพก่อนจะโยนให้จมลงไปในที่ด้านล่าง

เช่นนี้ศพของเขาก็จะไม่ลอยขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น ร่างกายของหลี่ซื่อก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำ เมื่อเหลือเพียงกระดูก ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้คือหลี่ซื่อ?

เหลยต้าเซิ่งคิดแผนการมาอย่างดี และทำทุกอย่างอย่างแนบเนียน แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความคิด คนที่ไปว่ายน้ำนำศพของหลี่ซื่อขึ้นมา

เมื่อได้ยินว่าร่างของหลี่ซื่อถูกค้นพบ เหลยต้าเซิ่งก็รู้สึกตื่นตระหนก มือของเขาฆ่าคนไปสองคนติดต่อกัน ดังนั้นเหลยต้าเซิ่งจึงไม่กล้าพูดอะไร รีบเก็บกระเป๋าและเตรียมที่จะหนี

แม้เขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นเร็วกว่า

เมื่อมีหลักฐานมัดตัว เหลยต้าเซิ่งจึงได้แต่ยอมรับว่าเขาให้ผงชีซิงแทนยาระบายกับกู้ฉวนลู่ จุดประสงค์คือเพื่อให้กู้เสี่ยวหวานต้องทนทุกข์ทรมาน

เหลยต้าเซิ่งฆ่าคนถึงสองคน เพียงรอการดำเนินการเอกสารทั้งหมดและหลังจากรายงานผู้บังคับบัญชาแล้ว เขาจะถูกประหารชีวิต

แม้ว่ากู้ฉวนลู่และหลิวชิงซานจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นถูกแทนที่ด้วยยาพิษของเหลยต้าเซิ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะความคิดที่ไม่ดีของกู้ฉวนลู่

กู้ฉวนลู่ไม่สามารถหลบหนีการลงโทษได้ ใต้เท้าจ้าวตัดสินให้เขาถูกขังครึ่งปี ส่วนหลิวชิงซาน แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาก็เป็นคนวางยา ถึงจะไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง ทว่าก็ต้องถูกขังเป็นเวลาห้าเดือน

หลังจากประสบเหตุการณ์นี้ ว่านซื่อก็รู้สึกเศร้ามากขึ้น นางต้องการฆ่าตัวตาย แต่ถูกเจ้าหน้าที่หยุดไว้

ว่านซื่อรู้สึกสิ้นหวัง แต่เดิมนางคิดว่าตัวเองได้พบชายคนหนึ่งที่สามารถพึ่งพาได้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นคนขี้ขลาดและหนีไปเมื่อเผชิญกับหายนะ

ตอนดีก็ดี

เมื่อไม่ดีก็ลากอีกฝ่ายออกไปตายแทนตัวเอง

ว่านซื่อร้องไห้ฟูมฟาย แต่เหอฮวาเอาแต่ด่าทอว่านซื่อ นางพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับลวี่เทาและต้องการให้ว่านซื่อออกมาจากเงาของลวี่เทาโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงประเภทนี้ที่เคยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้ชาย ในอดีตนางพึ่งพาเหมียวเอ้อร์ และต่อมาก็คือลวี่เทา นางไม่เคยได้รับความทุกข์ยากของชีวิต ตอนนี้ชีวิตอันสุขสบายของนางจบสิ้นลงแล้ว นางจะทำอย่างไรต่อไป

ในอนาคต ถ้าลูกสองคนของนางรู้ว่า แม่ของตนติดตามคนอื่นหลังจากที่พ่อของตัวเองตาย เกรงว่าพวกเขาจะเกลียดว่านซื่อเข้ากระดูก

เหอฮวาและว่านซื่อไม่ได้มีความผิดในเรื่องนี้ หลังจากพวกนางเดินออกไป กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะยังคงได้ยินเสียงร้องของว่านซื่อ

หากปราศจากลวี่เทา สวรรค์จะให้นางมีชีวิตอยู่อย่างไรในอนาคต

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อว่านซื่อแม้แต่เล็กน้อย นางรู้ว่าฉินเย่จือยังคงอยู่ในห้องขัง นางจึงไปที่ห้องขังอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาตัวฉินเย่จือ

ฉินเย่จือยังคงอยู่ในห้องคุมขัง เมื่อกู้เสี่ยวหวานเข้ามาและเห็นว่าฉินเย่จือกำลังหลับตาพักผ่อน มือของเขาห้อยอยู่บนโซ่เหล็กโดยที่นิ้วเท้าลอยขึ้นจากพื้น

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ฉินเย่จือก็ซูบผอมลง ดูเหมือนว่าเขาคงจะได้รับความทรมานไม่น้อย

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน ฉินเย่จือก็ลืมตาขึ้นและเห็นกู้เสี่ยวหวานรีบวิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข ฉินเย่จือคลี่ยิ้ม มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเสน่หาและพูดเบา ๆ ว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”

ดวงตาของฉินเย่จือสว่างสดใส ในห้องสอบสวนที่มืดสลัวนี้ ดูเหมือนจะมีแสงสว่างส่องแสงไปที่ร่างกายของกู้เสี่ยวหวาน มันมีทั้งความอบอุ่นและความปวดใจ “พี่เย่จือ”

เขาไม่ได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวหวานเป็นเวลาหลายวันแล้ว และน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลนั้นทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดที่ฉินเย่จือรู้สึกในห้องขังพลันหายไปทันที

………………………………………………….

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท