บทที่ 374 เชิญคุณมาเป็นประธาน
หวังชิ่งหยวนอยู่ในกลุ่มผู้ที่กลับมาจากต่างประเทศ เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางกลับมายังประเทศจีนในช่วงที่ชาติกำลังส่งคนออกไปเรียนรู้วิทยาการ ตอนนั้นการพัฒนาด้านการแพทย์ในประเทศเป็นหลุมเป็นบ่อมาก ส่วนการแพทย์แผนจีนก็ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังถูกแทรกแซงโดยกองกำลังจากประเทศต่างๆ ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้า
ตอนนั้นเหล่าหวังได้อุทิศตนไปกับการพัฒนาการแพทย์ เขาทั้งเข้าร่วมและกำหนดแผนการฝึกอบรมบุคลากรรุ่นเยาว์ที่จะมีอิทธิพลต่อประเทศ และฝึกอบรมบุคลากรทั่วไปราวหนึ่งหมื่นคนเพื่อชาติ
เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก อย่าว่าแต่เขตชนบทเลย แม้แต่ในเมืองหลวงก็ยังคงขาดมาตรการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ โครงการอบรมของเขาจึงกล่าวได้ว่าเป็นโครงการที่ช่วยชีวิตคนในเวลานั้น
ดังนั้นเหล่าหวังจึงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักวิชากรรุ่นแรกๆ ของโครงการสองสถาบันแห่งประเทศจีน และยังถูกเรียกว่าเป็นผู้นำโครงการทางการแพทย์ระดับชาติ
หลายปีต่อมา เหล่าหวังก็ได้อุทิศตนครั้งยิ่งใหญ่ให้กับการแพทย์ ช่วงวิกฤตการณ์น้ำท่วมในปี 1990 เหล่าหวังได้เสนอองค์ความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินและก่อตั้งทีมพัฒนาขึ้น เขาได้จัดตั้งแผนวิจัย 875 ขึ้นและเริ่มทำวิจัยวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง
ดังนั้นจึงกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าชายผู้นี้คือผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การพัฒนาการแพทย์แผนจีน ไป๋เยี่ยจึงให้ความเคารพเหล่าหวังมาก
การมาเยี่ยมเป็นการส่วนตัวของหวังชิ่งหยวนทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกยินดีมาก
เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าหวังแล้ว ความสำเร็จของไป๋เยี่ยยังเทียบชั้นเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นเรียกได้ว่าต่อหน้าเหล่าหวังแล้ว ไป๋เยี่ยก็เป็นเพียงคนรุ่นหลังที่พอมีความสำเร็จเท่านั้นเอง
คำพูดเพียงประโยคเดียวของเหล่าหวังผู้เป็นถึงแนวหน้าของสาขาวิชา อาจจะเป็นทิศทางและนโยบายพัฒนาการแพทย์ของประเทศในอนาคตได้
คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย ว่ากันว่าเหล่าหวังเป็นผู้นำในการการปฏิรูประบบประกันสุขภาพด้วย ไป๋เยี่ยจึงพลอยรู้สึกกังวลกับการปรากฏตัวของเหล่าหวังไปด้วย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ไป๋เยี่ยประทับใจก็คือภาพลักษณ์ของเหล่าหวังที่ดูเหมือนชายชราทั่วไป เขาไม่มีท่าทีวางมาด ยามที่เขาพูดคุยก็ให้ความรู้สึกเหมือนการสนทนาระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง
ไป๋เยี่ยประทับใจในความใจดีมีเมตตาของเขามาก
เหล่าหวังเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ผมได้ยินมาว่าในวงการแพทย์มีคนรุ่นหลังที่ทำผลงานได้ไม่เลวคนหนึ่งมาสักระยะแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน จะว่าไป ผมก็รู้สึกละอายใจที่มีลูกศิษย์แบบนั้น”
ไป๋เยี่ยยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายใจ “อาจารย์คือผู้ชี้ทาง ศิษย์ต่างหากที่ต้องพึ่งตนเอง คุณหวังอย่าโทษตัวเองเลยครับ”
หวังชิ่งหยวนยิ้ม “คุณไม่โกรธที่สวีเสี่ยวเฉียนนำความรู้ของคุณออกไปเผยแพร่ทั้งที่มันเป็นทรัพย์สินของคุณเหรอ”
ไป๋เยี่ยผงะก่อนจะมองไปทางเหล่าหวัง “ความรู้ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งครับ การแพทย์ก็เช่นกัน ถ้ามันช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น ใครเป็นคนเผยแพร่ก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอครับ บางทีถ้าเขาไม่นำมันไปเผยแพร่ ผมก็อาจจะเป็นคนเผยแพร่มันเอง”
เหล่าหวังหรี่ตาพร้อมพยักหน้า “คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
ไป๋เยี่ยขานรับเบาๆ เขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะว่าความรู้นั้นจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อมันได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ขอบเขตของความรู้นั้นว่างเปล่า หากต้องการพัฒนาก็ต้องนำพาคนมาเข้าร่วมด้วย
สิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงคือความรู้ที่มาพร้อมกับการพัฒนา
นั่นหมายความว่าอย่างไร
ตัวอย่างเช่น แนวทางปฏิบัติด้านการวิจัยโรคเบาหวานฉบับล่าสุดของต่างประเทศถูกเผยแพร่ออกมาสู่นานาชาติมาโดยตลอด เพราะว่ามันเป็นศาสตร์ที่กำลังพัฒนาและจะพัฒนาต่อไปได้เมื่อคนทั้งโลกพิสูจน์มัน
นอกจากนี้ ตัวยาและอุปกรณ์ที่ถูกระบุไว้ในคู่มือก็ยังเป็นหัวใจหลักของสิทธิบัตรด้วย
ความรู้เปรียบดั่งคู่มือการใช้งานขั้นสูง แต่ผลิตภัณฑ์คือแกนหลัก
ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน ทว่าอาคามอสก็กำลังค้นคว้ามันอยู่ เมื่อองค์ความรู้ถูกพัฒนาและได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลก ก็จะถึงเวลาที่มันจะได้แสดงพลังแห่งคุณค่าที่ซ่อนอยู่
ถึงตอนนั้นแล้ว เมื่อผู้คนพูดถึงแหล่งพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในโลก ทุกคนก็อาจจะมองมายังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินของไป๋เยี่ยก็เป็นได้
เช่นเดียวกับตอนที่มีการเสนอทฤษฎี ‘จุลชีพภายในลำไส้‘ ครั้งแรก ไป๋เยี่ยก็ได้ตีพิมพ์ทฤษฎีนี้ลงในวารสารและนิตยสารสำคัญๆ ทั่วโลก
ทฤษฎีนี้สมควรได้รับชื่อเสียง!
และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีก็คือประโยชน์ทั้งนั้น!
เรื่องราวของสวีเสี่ยวเฉียนทำให้สื่อส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับไป๋เยี่ยมากขึ้น
ไป๋เยี่ยกลับกลายเป็นคนมีชื่อเสียงด้วยวิธีนี้
เหล่าหวังหัวเราะเบาๆ พลางเหลือบมองไป๋เยี่ย ราวกับว่าเขาอ่านใจของไป๋เยี่ยได้
ไป๋เยี่ยกล้าสบตากับเหล่าหวังอย่างไม่เกรงกลัว แต่เป็นเพราะความเคารพ
เพราะว่าเขาใจกว้างมากจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกประหม่า
เหล่าหวังเอ่ย “เด็กดี วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อมาถามความเห็นจากคุณ การจัดตั้งหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินในสมาคมการแพทย์แห่งชาติตามคำแนะนำของสวีเสี่ยวเฉียนใกล้เข้ามาแล้ว แต่กุญแจสำคัญในการก่อตั้งคือความรู้ของคุณ”
“คุณยินดีที่จะนำคนจากสถาบันของคุณมาร่วมงานกันไหม เราจะรวมสถาบันเข้าด้วยกัน ประเทศจีนไม่ได้ขาดแคลนบุคลากร แต่ขาดแคลนบุคลากรระดับสูง กล่าวอีกนัยคือ เรายังขาดผู้นำที่จะขับเคลื่อนงานชิ้นใหญ่ให้พัฒนาต่อไปได้อยู่”
“ถ้าคุณยินดีก็มาเป็นประธานเถอะนะ!”
ไป๋เยี่ยถึงกับชะงักไป
มาเป็นประธานเถอะ!
คำพูดนี้มีน้ำหนักมากกว่าที่คิด
นั่นคือสมาคมการแพทย์แห่งชาติ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินก็ตาม เขาจะกลายเป็นประธานคนแรก…
ประเทศจีนเป็นสังคมที่ยึดถือความอาวุโส ความสามารถเป็นเพียงเงื่อนไขที่นำมาพิจารณาเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เรื่องการขึ้นเป็นประธานหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไป๋เยี่ยยังไม่มีแม้แต่ใบประกอบวิชาชีพเลยด้วยซ้ำ!
มีเพียงบุคลากรที่มีใบประกอบวิชาชีพเท่านั้นที่จะเข้าร่วมสมาคมการแพทย์แห่งชาติได้ ไป๋เยี่ยจึงค่อนข้างงุนงง ทว่าสิ่งที่ทำให้ไป๋เยี่ยสงสัยมากกว่าคือสิ่งนี้ถือว่าเป็นฉายากิตติมศักดิ์หรือไม่
ไป๋เยี่ยจึงปรึกษากับระบบอย่างรอบคอบ
[ติ๊ง! สมาคมการแพทย์แห่งชาติเป็นสมาคมระดับต้นๆ ของชาติ ประธานหน่วยงานจึงนับเป็นฉายากิตติมศักดิ์และจะได้รับสิทธิพิเศษ]
ไป๋เยี่ยรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก ทำไมเราต้องปฏิเสธเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วย
ทว่าไป๋เยี่ยกลับตอบรับอย่างตะกุกตะกัก “คุณหวัง ผม…ผมเหมาะสมเหรอครับ ผมยังไม่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมไม่เหมาะกับการเป็นประธานหรอกครับ คุณสมบัติของผมก็ไม่มากพอ คุณ…คุณยกตำแหน่งนี้ให้คนอื่นเถอะครับ”
หวังชิ่งหยวนหัวเราะ “ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องเล็กๆ ผมเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมการแพทย์แห่งชาติ คุณจะเป็นกรณีพิเศษ บุคลากรพิเศษก็ต้องมีเงื่อนไขพิเศษ ส่วนผมน่ะเหรอ ผมก็จะเป็นคนช่วยหนุนหลังคุณเอง”
ไป๋เยี่ยได้ฟังก็พยักหน้ารับ เขาตอบตกลง ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
นี่คือฉายากิตติมศักดิ์ระดับชาติที่เขาได้รับมาอย่างไม่น่าเชื่อ มีเรื่องดีๆ แบบนี้เข้ามา จะดีใจตอนนี้ก็คงไม่สายไปหรอกว่าไหม