บทที่ 1317 แตกหัก
บทที่ 1317 แตกหัก
“วันที่ร้านจิ่นฝูกลับมาเปิดอีกครั้ง เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หน้าร้าน นายท่านรู้หรือไม่?” หงซื่อเอ่ยถามชวนสงสัยพร้อมใบหน้าลุ้นระทึก
จ้าวสวิ่นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องที่ร้านจิ่นฝู เขาจึงไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด อีกอย่างคือ เขาไม่อยากยุ่งเรื่องของชาวบ้าน แต่พอเห็นว่าหงซื่อดูสนอกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ จ้าวสวิ่นจึงแสร้งทำเป็นสงสัย และเอ่ยถามนาง “เกิดเรื่องอันใดหรือ?”
หงซื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเล่าเรื่องราวที่ตนได้ประสบพบเจอที่ร้านจิ่นฝูไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นจริง ๆ
จ้าวสวิ่นฟังจบแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ เรื่องทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องในครอบครัวของผู้อื่น และเขาก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้สักนิด จึงได้แต่ส่งเสียงพึมพำตอบส่ง ๆ ไป
หงซื่อใจเต้นรัวทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับจากจ้าวสวิ่น “นายท่าน ภรรยาและลูกสาวของกู้ฉวนลู่ถูกกู้เสี่ยวหวานรังแกอย่างน่าสงสาร เสียดายที่ท่านไม่ได้เห็นสองแม่ลูกในยามนั้น จะได้รู้ว่าพวกนางช่างน่าสงสารมากเพียงใด”
จ้าวสวิ่นชื่นชมกู้เสี่ยวหวานมาก และกู้เสี่ยวหวานคือหนึ่งในตัวเลือกที่เขาอยากได้มาเป็นสะใภ้เป็นนายหญิงตระกูลจ้าว แต่น่าเสียดายที่กู้เสี่ยวหวานมีฉินเย่จืออยู่ข้างกายแล้ว อีกทั้งนางก็ไม่ได้ชอบพอกับชงเอ๋อร์ของเขาสักนิด ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ จ้าวสวิ่นก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย
แต่ก็ยังดีที่ชงเอ๋อร์เป็นเด็กมีความพยายามไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ความสัมพันธ์กับกู้เสี่ยวหวานก็นับว่าไม่เลว
แค่นี้จ้าวสวิ่นก็พอใจมากแล้ว
อย่างน้อยเสี้ยนจู่ก็ไม่ได้รังเกียจชงเอ๋อร์ของเขา นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี
ด้วยเหตุนี้ จ้าวสวิ่นที่ได้ยินหงซื่อพูดว่าการกระทำของกู้เสี่ยวหวานนั้นโหดร้าย ย่อมต้องไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนางอยู่แล้ว แถมยังพูดอย่างไม่พอใจว่า “งานเปิดร้านใหม่ของร้านจิ่นฝูเป็นงานมงคล เป็นพวกนางเองที่วิ่งแจ้นไปสร้างความวุ่นวายให้คนอื่น สิ่งที่พวกนางโดน มันก็สมควรแล้ว”
เดิมทีหงซื่อคิดว่าจ้าวสวิ่นคงอยากจะกำจัดร้านจิ่นฝูและกู้เสี่ยวหวานเช่นเดียวกับตน แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เขาเอ่ยปาก สิ่งที่พรั่งพรูออกมานอกจากจะไม่ใช่ถ้อยคำเห็นอกเห็นใจสองแม่ลูกแล้ว กลับยังพูดเข้าข้างกู้เสี่ยวหวาน
มันทำให้หงซื่อถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าก็เริ่มถอดสี “นายท่านพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก สองแม่ลูกนั่นน่ารังเกียจจริง ๆ เพียงแต่ข้าคิดว่าที่พวกนางต้องทำเช่นนั้นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ยามนี้เสาหลักของครอบครัวถูกขังอยู่ในคุก ในเมื่อบ้านไม่มีเสาหลัก สองแม่ลูกถึงได้ร้อนอกร้อนใจเช่นนี้”
“ร้อนอกร้อนใจอันใด ฮึ่ม… ทำตัวเองทั้งนั้น ใครใช้ให้กู้ฉวนลู่ทำเรื่องอุจอาจเช่นนั้นเล่า!” จ้าวสวิ่นถึงกับพ่นคำพูดรุนแรงออกมาอย่างอดไม่ได้
หงซื่อได้ยินเช่นนั้นพลันคิดในใจว่ามันจบสิ้นแล้ว ดูท่าความรู้สึกที่นายท่านมีต่อครอบครัวกู้ฉวนลู่จะไม่ดีเอามาก ๆ ทว่า…
เรื่องที่นางได้ตกปากรับคำกับซุนซื่อไปแล้วนั้นเป็นเหมือนคำสาป แม้จะรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ต้นหลิวเขียวขจีจนดูมืดครึ้ม ดอกไม้ที่บานสะพรั่งแลดูสว่างไสว ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ*[1] นางจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว แม้หงซื่อจะรู้ว่าสิ่งที่นางขออาจจะถูกจ้าวสวิ่นปฏิเสธ แต่นางก็ยังอยากจะพูดมันออกมาอยู่ดี หากวันนี้นางไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ นางอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้
“นายท่าน ข้ารู้ว่าสิ่งที่กู้ฉวนลู่ทำมันชั่วร้ายเหลือทน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำเพื่อลูก ๆ เพื่อครอบครัว ทุกวันนี้เขาถูกขังอยู่ในคุก และข้าก็ได้ยินว่าเขาสำนึกผิดแล้ว หากเขายังถูกขังอย่างนี้ต่อไป ครอบครัวของเขาก็ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด สองแม่ลูกไร้ที่พึ่งพิง ต้องเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกให้ผู้คนรังแก หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเราสองแม่ลูก ท่านจะไม่ทุกข์ใจบ้างหรือ?” ภายใต้แสงเทียนสลัว ๆ พูดไปน้ำตาของหงซื่อก็ไหลไป เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
น่าเสียดายที่หงซื่อไม่เข้าใจว่าจ้าวสวิ่นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ยิ่งนางแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ในใจจ้าวสวิ่นก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
มือของจ้าวสวิ่นที่กำลังลูบผมของหงซื่อหยุดชะงัก ก่อนจะผละออกจากนางทันที และพูดเสียงห้วนว่า “เจ้าอยากพูดอย่างไรก็พูดไปเถอะ”
หงซื่อนิ่งชะงักทันทีที่ได้ยินคำพูดเย็นชาจากจ้าวสวิ่น ก่อนจะเอ่ยคร่ำครวญน้ำตาคลอเบ้า “นายท่าน…”
ทั้งยังแสดงท่าทางหวาดหวั่นสุดใจ
ท่าทางเช่นนั้นยิ่งชวนให้จ้าวสวิ่นรู้สึกขยะแหยงมากขึ้นไปอีก เขารีบลุกขึ้น และก้าวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว เร่งรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่บนร่างกายโดยที่หงซื่อไม่ทันตั้งตัว
หงซื่อเห็นเขากำลังสวมเสื้อผ้าก็รีบเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย “นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านจะออกไปที่ใด”
จ้าวสวิ่นไม่ตอบคำถามของหงซื่อ เขาตั้งหน้าตั้งตาสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูเดินออกไปอย่างไม่คิดกล่าวคำลาใด ๆ ทิ้งให้หงซื่อนั่งเปลือยกายอยู่บนเตียงอย่างสิ้นหวัง
หลังจากที่นายท่านจากไปได้พักหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะจากไป สีหน้าเขาดำมืดราวกับถ่าน มันช่างน่าเกลียดน่ากลัว
หรือว่านี่จะเป็นเรื่องต้องห้ามของนายท่าน และไม่ควรเอ่ยถึงมันอย่างนั้นน่ะหรือ?
สายลมด้านนอกพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง หยาดเหงื่อชโลมกายค่อย ๆ เหือดแห้งหายไป สายลมเย็นเยือกพัดมาอีกหน พาให้สั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
แสงสลัวจากโคมไฟสีแดงสองสามดวงที่แขวนอยู่ข้างนอก มันไม่มากพอที่จะขจัดความมืดมนยามค่ำคืน
หัวใจของหงซื่อเย็นเยือกเหมือนติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทว่าจากนั้นไม่นาน ความโกรธที่ถูกเก็บกดเอาไว้ก็พรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำ พร้อมมองไปตามทางที่จ้าวสวิ่นเพิ่งเดินจากไปด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่สีหน้ากลับดูเศร้าหมอง
ณ สวนกู้ หลังจากเรื่องวุ่นวายผ่านพ้นไป วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ฉือโถวแต่งภรรยาเสียแล้ว
วันนี้เป็นวันที่มีแดดจ้า แต่ก็มีสายลมเย็นพัดมาเอื่อย ๆ พาให้เนื้อกายเย็นสบาย แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่กลับไม่ร้อนรุ่ม ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ
ช่วงเช้าตรู่ ผู้คนลุกขึ้นเตรียมจัดข้าวของ พอถึงฤกษ์งามยามดี เกี้ยวเจ้าสาวก็เริ่มออกเดินทางไปที่บ้านตระกูลฟ่าน
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นพิธีแต่งงานเช่นนี้มาก่อน นางจึงอยากติดตามไปดูสักหน่อย ทว่าตามธรรมเนียมแล้ว ญาติฝ่ายชายต้องรอสะใภ้อยู่ที่บ้าน หลิวต้าจ้วงเป็นพ่อสื่อไปรับเจ้าสาวที่บ้านตระกูลฟ่านพร้อมกับฉือโถว เสียงร้องรำทำเพลงจากขบวนเกี้ยวดังตลอดทาง ชาวบ้านต่างก็พากันวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุด ฉือโถวก็มาถึงบ้านตระกูลฟ่าน ทว่าทันทีที่เขาเข้าไปรับตัวฟ่านหลิงก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นฟ่านหลิงพร้อมสินเดิมมากมาย เกี้ยวสามสิบหกคนหาบนี้จะใหญ่พอพาฟ่านหลิงกลับสวนกู้หรือไม่!?
ฉือโถวที่กำลังตกตะลึงรีบดึงสติกลับมา เมื่อฟ่านต้าฉวีในชุดสีแดงน่าเกรงขาม ซึ่งหาดูได้ยาก จับมือเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเสียที “ฉือโถว นี่คือลูกสาวคนเดียวของข้า ตอนนี้ข้ายกนางให้เจ้าแล้ว เจ้าจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดีไปตลอดชีวิต!”
*[1] เมื่อผ่านอุปสรรคนานาไปแล้ว ก็จะพบเจอกับความสมหวัง
………………………………………………….