บทที่ 1340 กบฏต่อตระกูลจ้าว
บทที่ 1340 กบฏต่อตระกูลจ้าว
“ฮูหยิน ฮูหยิน…” ฮูหยินจ้าวถอยกลับด้วยความโกรธ เหล่าสาวใช้รีบปรี่เข้าไปประคองฮูหยินของตนเอง เมื่อจ้าวสวิ่นหันกลับมาก็เห็นฮูหยินจ้าวล้มอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ ใบหน้าของนางขาวซีด สายตาของนางจ้องเขม็งตรงไปที่จ้าวจื่อเจี๋ย
ทว่าจ้าวจื่อเจี๋ยไม่หวาดกลัวนางเลยแม้แต่น้อย
“ขอโทษท่านแม่ของเจ้าเสีย!” จ้าวสวิ่นคำรามอย่างน่ากลัว
“ไม่! นางไม่ใช่แม่ของข้า แม่ของข้าคือหงซื่อ ไม่ใช่แม่เสือตัวนี้” จ้าวจื่อเจี๋ยตอบจ้าวสวิ่นด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง
“เจ้าลูกอกตัญญู ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของจ้าวสวิ่นก็แดงก่ำด้วยความโกรธ เขาคว้าสิ่งของใกล้มืออย่างอย่างไม่ตั้งใจ และเตรียมจะฟาดไปที่จ้าวจื่อเจี๋ย
จ้าวจื่อเจี๋ยไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด ถ้วยชาใบนั้นจึงกระแทกเข้าที่หน้าผากของเขาอย่างจังจนเลือดไหลซึมลงมา
“ท่านพี่!”
จ้าวจื่อเจี๋ยหมดสติไป จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พาเขากลับเข้าไปในบ้านและเชิญท่านหมอมาดูอาการของเขา
จ้าวสวิ่นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าลมหายใจสุดท้ายของเขาถูกดูดหายไป
“พวกคนอกตัญญู ทำไมข้าถึงให้กำเนิดลูกอกตัญญูเช่นนี้ ช่างเป็นครอบครัวที่โชคร้าย โชคร้ายจริง ๆ” จ้าวสวิ่นร้องไห้อย่างขมขื่นขณะที่เขามองไปที่ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษมากมาย
ฮูหยินจ้าวไม่เคยเห็นจ้าวสวิ่นที่เจ็บปวดเช่นนี้ มันทำให้นางรู้สึกว่าครั้งนี้มีบางอย่างผิดปกติ
“นายท่าน นายท่าน ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย ได้โปรดอย่าทำให้ข้ากลัว” ฮูหยินจ้าวรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับมือของจ้าวสวิ่นไว้ และเอ่ยปลอบประโลม “ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี”
จ้าวสวิ่นดูเหมือนไม่สนใจโลก “ฮูหยิน ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะฟังเจ้าตั้งแต่แรก ข้าไม่ควรพาคนอกตัญญูสองคนนี้เข้ามาในตระกูลจ้าว! ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง ฮือ ฮือ ฮือ…”
จ้าวสวิ่นจับมือของฮูหยินจ้าวไว้แน่นและร้องไห้ราวกับเด็กน้อย
เมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ยถูกจ้าวสวิ่นพามาที่บ้านตระกูลจ้าว เขาขอให้ฮูหยินจ้าวช่วยดูแลเด็กทั้งสองให้อยู่ภายใต้นามของนาง
ฮูหยินจ้าวรู้มานานแล้วว่านิสัยใจคอของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ยนั้นไม่จริงใจและไม่ใช่เด็กดี ดังนั้นนางจึงลังเลใจมาก
ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีน้องชายที่อายุไล่เลี่ยกับลูกชายตัวเองด้วย นี่ถือว่ากำลังหาคู่แข่งให้ลูกชายตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือ?
กิจการของตระกูลจ้าว ในอนาคตจากที่ต้องมอบให้กับชงเอ๋อร์เพียงผู้เดียว หากมีจ้าวจื่อเจี๋ยเข้ามาอีก ทรัพย์สินของตระกูลจ้าวก็จะต้องถูกแบ่งเป็นสองส่วน
ฮูหยินจ้าวปฏิเสธ นางไม่เห็นด้วย แต่จ้าวสวิ่นได้พูดหว่านล้อมด้วยด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมาย เมื่อเห็นว่าฮูหยินจ้าวยังคงไม่เห็นด้วย เขาจึงเสนอว่ากิจการของครอบครัวตระกูลจ้าวจะเป็นของจ้าวจื่อชง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทรัพย์สินของตระกูลจ้าวก็จะเป็นของจ้าวจื่อชงแต่เพียงผู้เดียว
เขายังเขียนหนังสือสัญญาด้วยมือของเขาเอง เมื่อเห็นว่าจ้าวสวิ่นได้ทำสัญญาดังกล่าวและเป้าหมายของตนเองสำเร็จแล้ว นางจึงยอมปล่อยมือและพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนหน้านั้นนางได้ส่งสัญญาณเตือนให้จ้าวสวิ่น “นายท่าน เด็กสองคนนี้โตมากับหงซื่อ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ยินดีกับข้าแน่นอน และถ้าท่านปฏิบัติต่อแม่ของพวกเขาเช่นนั้น ข้าเกรงว่าในอนาคตเด็กสองคนนี้จะต้องเกลียดท่าน”
ในเวลานั้น จ้าวสวิ่นเพียงต้องการที่จะพาเด็กทั้งสองกลับไปหาบรรพบุรุษให้เร็วที่สุด และไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อมาถึงตอนนี้ เขาก็นึกย้อนกลับไปถึงการคัดค้านหัวชนฝาของฮูหยินจ้าวในตอนนั้น จ้าวสวิ่นรู้สึกเสียใจ “ข้าน่าจะฟังคำของฮูหยินในตอนนั้น ตอนนี้ศักดิ์ศรีของตระกูลจ้าวไม่เหลือแล้วจริง ๆ”
“นายท่าน นี่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ” ฮูหยินจ้าวยังคงมีความหวังริบหรี่
“อวิ๋นเอ๋อร์ยอมรับทันทีว่านางกับเจี๋ยเอ๋อร์ตั้งใจทำลายชื่อเสียงของเสี้ยนจู่ เพื่อบังคับให้เสี้ยนจู่แต่งงานกับเขา”
“หงซื่อผู้นี้ยังคงไม่ยอมแพ้จริง ๆ” ฮูหยินจ้าวยังกัดฟันด้วยความโกรธ “เสี้ยนจู่ไม่ได้ตามาเอาความ บางทีนางอาจจะปล่อยเรื่องนี้ไป”
“นางไม่ได้ตามมาเอาเรื่องหรอกหรือ” จ้าวสวิ่นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงนางจะตามมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนรอบตัวนางจะไม่ทำ เจ้ารู้จักฉินเย่จือคนที่อยู่ข้างกายนางหรือไม่”
ฮูหยินจ้าวพยักหน้า เป็นชายรูปงามที่ดูเหมือนเทพเซียนคนนั้น
“ศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่ง และเขารักเสี้ยนจู่มาก วันนี้เขาไม่อยู่ แต่ถ้าหากเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา…” จ้าวสวิ่นไม่อยากจะติดเรื่องนี้ต่อ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ทักษะศิลปะการต่อสู้ของฉินเย่จือแข็งแกร่งมากจนทำให้เขาหวาดกลัว
ตระกูลจ้าวจะยังสามารถอยู่ดีหรือไม่? หรือตอนนี้ตระกูลจ้าวกำลังคลุ้มคลั่งกันไปหมดแล้ว
กู้เสี่ยวหวานเองก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป นางยังคงกินและดื่มตามปกติด้วยรอยยิ้ม พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานกับท่านป้าและท่านอาของนาง
คนแรกที่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานก็คือกู้หนิงผิง
กู้หนิงผิงมีเพื่อนสองสามคนในเมือง และเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ในขณะอยู่กับสหาย หลังจากได้ยินดังนั้น หัวใจของกู้หนิงผิงก็แทบระเบิด ยังไม่ทันที่จะกินข้าวเสร็จ เขาก็ตรงกลับบ้านทันที เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปลอดภัยดี เขารู้สึกโล่งใจ “ท่านพี่ ตระกูลจ้าวหลอกลวงผู้คนมากเกินไป ทำเกินไปจริง ๆ”
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว และกู้เสี่ยวหวานเพิ่งจะตื่นขึ้นเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน
แต่จู่ ๆ ก็เห็นกู้หนิงผิงรีบร้อนเข้ามา
ทันทีที่เขาเข้าประตูมา เขาก็พูดเรื่องนี้โดยตรงอย่างไม่อาจเก็บมันไว้ได้
กู้เสี่ยวหวานเย้ยหยันและพูดว่า “มารอดูการแสดงที่ดีกันเถอะ”
ดวงตาของกู้หนิงผิงเป็นประกาย “ท่านพี่ ท่านมีแผนการดี ๆ หรือไม่ ต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือเปล่า?”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและส่ายหัว “ไม่ ๆ ไม่มีใครต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น เจ้าเพียงรอดูเรื่องสนุกก็พอ”
เรื่องสนุกนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงเอะอะโวยวายภายในสวนกู้
สวีเซียนหลินและฮูหยินสวีก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานด้วยเช่นกัน พวกเขากังวลเกี่ยวเรื่องความปลอดภัยของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่สวนกู้ด้วยรถม้าเพื่อมาเยี่ยมหญิงสาว
หลายคนเองก็รับรู้เรื่องนี้แล้ว และกู้เสี่ยวหวานก็รู้ด้วยว่าอีกไม่นานตนเองคงไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้กับคนในครอบครัวได้ หากแต่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่อย่างใด เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเสี่ยวหวานเกือบจะถูกจ้าวจื่อเจี๋ยรังแก ทุกคนในครอบครัวก็โกรธจัดจนอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ
“จ้าวจื่อเจี๋ยคนนี้ชั่วช้า ข้าจะไปเอาความพวกเขาแทนเสี่ยวหวาน” ฉือโถวที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
ป้าจางและกู้ฟางสี่รีบไปหากู้เสี่ยวหวานและถามนางด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังกังวลว่าม้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หรือมันหนีเตลิดไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานขอให้กู้หนิงผิงห้ามฉือโถวไว้ และอธิบายด้วยรอยยิ้มว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทุกคนก็พลันโล่งใจทันที
ฮูหยินสวีดูกังวล “เสี่ยวหวาน ทำไมตระกูลจ้าวถึงยังไม่ยอมแพ้อีกเล่า?”
บทที่ 1341 การแต่งงานที่ดี
บทที่ 1341 การแต่งงานที่ดี
ลูกชายสองคนของตระกูลจ้าวต่างต้องการแต่งงานกับกู้เสี่ยวหวาน ทั้งคู่ต่างส่งแม่สื่อมาเพื่อสู่ขอกู้เสี่ยวหวาน และฮูหยินสวีเองก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน
แต่ทว่าหลังจากบุตรชายคนโตของตระกูลจ้าวเผชิญกับความยากลำบาก เขาก็ไม่มีความคิดนี้อีกต่อไป แต่ลูกชายคนที่สองของตระกูลจ้าวซึ่งเป็นบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยามีจิตใจที่ชั่วร้าย และยังคงทำสิ่งที่น่ารังเกียจอยู่ในขณะนี้
“นั่นเป็นเหตุผลที่หงซื่อต้องการให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ของนาง” กู้เสี่ยวหวานเย้ยหยัน ดวงตาเย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง
“มาถึงรุ่นนี้แล้ว สถานะและการเงินของตระกูลจ้าวนั้นห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาเคยเป็น” สวีเซียนหลินเอ่ยขึ้น “ถ้าข้าเดาถูกต้อง หงซื่อเป็นอนุภรรยาของจ้าวสวิ่นมาโดยตลอด นางไม่พอใจที่ลูกของนางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าตระกูลจ้าว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หงซื่อต้องการให้ลูกชายของนางแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่ดีเพื่อให้ตระกูลจ้าวรุ่งเรืองขึ้น”
การเดาของสวีเซียนหลินไม่ผิดเลย
หงซื่อมีแผนการดังกล่าวจริง ๆ
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่นางก็ไม่เคยละทิ้งความฝันนี้
เนื่องจากฮูหยินจ้าวไม่ยอมให้นางเหยียบย่ำเข้าตระกูลจ้าว ตนเองจึงถือว่าไม่ใช่ฮูหยินรองของตระกูล ทำให้ลูกทั้งสองของนางไม่มีตำแหน่งในตระกูลเจ้า ดังนั้นนางจึงต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเพื่อให้เขาประทับใจ
“แต่ว่าต่อมาจ้าวสวิ่นก็กลับไปที่ตระกูลจ้าวพร้อมลูกทั้งสองคนไม่ใช่หรือ” ฮูหยินสวียังพอรู้เรื่องของตระกูลจ้าวอยู่บ้าง
“ลูก ๆ ของนางได้ก้าวเข้าสู่ตระกูลจ้าวและกลายเป็นนายน้อยและคุณหนู แค่นี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
ดวงตาที่สวยงามของฮูหยินสวีเต็มไปด้วยความกังวล ครั้นนางได้ยินว่ามีเหตุการณ์ที่น่าระทึกเกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานบนถนน นางก็ไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ นางรีบลากสวีเซียนหลินมาที่สวนกู้เพื่อมาดูให้แน่ชัดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจ
ในประเด็นนี้ กู้เสี่ยวหวานคิดได้ชัดเจนกว่าฮูหยินสวี
ไม่ว่าจะอยู่ในรั้วบ้านเล็กหรือเข้าไปอยู่ในบ้านใหญ่ตระกูลจ้าว นางต้องลิ้มรสความขมขื่นเป็นอันแน่
หลังจากส่งสวีเซียนหลินและฮูหยินสวีกลับไปแล้ว ป้าจางและกู้ฟางสี่ก็ปฏิเสธที่จะทิ้งให้กู้เสี่ยวหวานอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง
“ท่านอา ท่านป้า ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ” เมื่อพวกนางเข้ามาในห้องนอนของกู้เสี่ยวหวาน ป้าจางและกู้ฟางสี่ก็ลงกลอนประตู และกำลังจะปลดเสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวานออกเพื่อดูว่ามีรอยฟกช้ำหรือได้รับบาดเจ็บบนร่างกายหรือไม่
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตะลึงกับการกระทำของสองคนนี้
“ไม่ได้ เราต้องเห็นให้ได้ ไอ้พวกคนชั่วจิตใจหยาบช้าเช่นนั้น ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าการที่เจ้าต้องอยู่ในรถม้าเพียงลำพังจะต้องรู้สึกหวาดกลัวแค่ไหน” กู้ฟางสี่พูดทั้งน้ำตา “ถ้าตอนนั้นพวกข้าอยู่ด้วย เรื่องร้าย ๆ เช่นนี้คงไม่…”
กู้ฟางสี่ไม่สามารถพูดต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงปิดหน้าและเริ่มร้องไห้ กู้เสี่ยวหวานเห็นผู้เป็นอากำลังโศกเศร้า นางเองก็รู้สึกเศร้าไปด้วยเช่นกัน
นางกอดกู้ฟางสี่ไว้อ้อมแขนและปลอบโยน “ท่านอา ดูสิ ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ข้าสบายดี”
นางถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกด้วยตัวเอง เผยให้เห็นแขนยาวที่เรียบเนียน แผ่นหลังขาวนวลไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นดังนั้น กู้ฟางสี่และป้าจางก็รู้สึกโล่งใจ “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว ค่อยยังชั่วที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่เรื่องสำคัญก็คือตระกูลจ้าวยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาทำให้ม้าของเจ้าตกใจอย่างในวันนี้ ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไรอีก! สิ่งต่าง ๆ กำลังจะตามมา”
ใช่แล้ว ถึงหลายครั้งนางจะสามารถป้องกันตัวเองได้ หากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปได้ทุกครั้ง
ตอนนี้หงซื่อและลูกชายของนางเป็นเหมือนปีศาจร้าย วิธีการนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากพวกเขาไม่ได้รับการจัดการจริง ๆ ทุกคนก็ไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้ฟางสี่ก็มองไปรอบ ๆ และถามด้วยความไม่พอใจ “อาจั่วไปไหน นางต้องอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไม่ใช่หรือ”
“ท่านอา ตอนนี้เราอยู่ที่บ้าน หงซื่อไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก” ท่านอาต้องการให้อาจั่วอยู่เคียงข้างกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนอยู่ที่บ้าน กู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ข้ามอบหมายให้นางไปทำธุระให้บางอย่าง เดี๋ยวนางจะกลับมาในไม่ช้า”
แน่นอนว่าทันทีที่พูดจบก็มีเสียงเคาะประตูและเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “คุณหนู ข้ากลับมาแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดคุยกับอาจั่วต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสอง หลังจากส่งพวกนางออกไปแล้ว จากนั้นกู้เสี่ยวหวานพูดถึงเรื่องที่ตนเองสั่งให้อาจั่วทำทันที
อาจั่วพยักหน้า “ข้าส่งมันออกไปเรียบร้อย เมื่อคนผู้นั้นได้เห็นของที่ส่งไป ดวงตาของนางก็เป็นประกาย”
“แล้วได้พูดอะไรอีกหรือไม่” กู้เสี่ยวหวานจิบชาอย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางที่สง่างาม
“นางบอกว่าขอบคุณคุณหนูที่ทำให้นางได้มีการแต่งงานที่ดี”
การแต่งงานที่ดี
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้และค่อย ๆ วางถ้วยชาลง เงาของนางที่สะท้อนอยู่ในถ้วยคือดวงตาของที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
จะดีหรือไม่ดีก็ยังไม่รู้
แต่สำหรับตระกูลจ้าว สิ่งที่แน่นอนก็คือ มันเป็นการแต่งงานที่เลวร้ายและไม่สามารถทำลายได้
หงซื่อถูกกักบริเวณและถูกขังไว้ในที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ จ้าวสวิ่นลดค่าอาหารและเสื้อผ้าทั้งหมดลง ส่วนลูกทั้งสองคงไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย
หงซื่อถูกจ้าวสวิ่นทุบตีอย่างหนักจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ นางนอนอยู่ในห้องอย่างโศกเศร้า และพักฟื้นเป็นเวลาหลายวันถึงจะมีอาการดีขึ้น
แต่ทว่าลูกทั้งสองของนางไม่ได้เป็นสายเลือดของตระกูลจ้าวอีกต่อไป ใบหน้าของหงซื่อก็อาบไปด้วยน้ำตาทุกวัน ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
ตอนนี้ในบ้านเหลือคนที่คอยรับใช้เพียงสามคน คนหนึ่งคือพี่เลี้ยง อีกคนเป็นเด็กรับใช้ และอีกคนคือคนเฝ้าประตู
แต่ก่อนตระกูลนี้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร แต่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นครอบครัวที่อ่อนแอ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เหมือนตระกูลดั้งเดิมนั้นสูงเสียดฟ้า อีกตระกูลนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน วันเวลาดี ๆ ของหงซื่อได้สิ้นสุดลงแล้ว
คนรับใช้ทั้งสามนี้ถูกเลือกโดยจ้าวสวิ่น เป็นคนที่ไม่เคยรับใช้หงซื่อมาก่อน ดังนั้นหงซื่อจึงไม่ค่อยวางใจในตัวพวกเขา และทั้งสามก็รู้ว่าตอนนี้นายท่านไม่ได้ชอบนางแล้ว และไม่ได้สนใจหงซื่อมากนัก ก็แค่ทำให้มันผ่านไปวัน ๆ เพราะคงต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป
วันนี้หงซื่อเพิ่งตื่นขึ้น นางกระหายน้ำมาก อยากดื่มน้ำ แต่มองซ้ายทีขวาทีก็ไม่มีใครเอาชาและน้ำมาให้
นางเรียกอยู่หลายครั้ง หากแต่ก็ไม่มีใครเข้ามา นางได้ยินแต่เสียงหัวเราะเป็นครั้งคราวดังมาจากทางประตู ทำให้หงซื่อรู้ว่าบุคคลเหล่านี้อยู่ที่ประตู