บทที่ 790 การมาถึง (2)
ตามลักษณะนิสัยของฝ่าบาทองค์เง็กเซียนแล้ว หากฝ่าบาทองค์เง็กเซียนทรงตื่นขึ้นจริงๆ คราวนี้เขาจะต้องรีบไปช่วยเหลือพวกเผ่าเวท
และบางที สงครามทำลายล้างที่มีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างพวกเผ่าปีศาจชั้นยอดก็อาจต้องบานปลายขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดสูงสุด
ศาลสวรรค์ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสงครามเต็มรูปแบบ
เหตุใดเขาต้องเร่งรีบปล่อยให้บรรดาทหารแห่งศาลสวรรค์ต้องหลั่งเลือดไปอย่างเปล่าประโยชน์ ในเมื่อสามารถบดขยี้ศัตรูได้ในหกสิบหรือเจ็ดสิบปีให้หลัง?
คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วจะใช้ร่างหลักของเขาเองในการต่อสู้
เขาจะพยายามใช้ประโยชน์จากสมบัติของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอย่างเต็มที่เพื่อเพื่อชดเชยการขาดเหล่าปรมาจารย์ของเขา
แต่เขาก็ยังสามารถได้รับบุญเล็กน้อยจากปีศาจแห่งกรรมอีกด้วย!
นอกจากนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็ยังคงนั่งอยู่ในศาลสวรรค์ และพร้อมที่จะปรับตัว รับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ในขณะนั้น เขาได้กวาดสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาและแผ่กระจายออกไปตามส่วนต่างๆ ทั่วศาลสวรรค์
และพบเห็นเหล่าเทพเซียนแห่งศาลสวรรค์ที่กระตือรือร้นจะต่อสู้ไปทั่วทุกที่
มีเหล่าขุนนางจำนวนมากมายหลายคนรวมตัวกันในหอลงทัณฑ์สายฟ้า และด้วยแรงผลักดัน พวกเขาจะโจมตีร่วมกันเพื่อปราบเหล่าปีศาจในภายหลังอย่างแน่นอน!
ทันทีที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์บินไปยังตำหนักที่พำนักเทพวารี ดาวดวงใหญ่ในท้องฟ้าทางตะวันออกก็ดึงดูดความสนใจของหลี่ฉางโซ่ว
มันคือดาวไท่ไป๋[1] วันนี้ออกมาเร็วอยู่สักหน่อย
ในชีวิตชาติก่อนของเขา มีคำกล่าวว่า ดาวไท่ไป๋เป็นเจ้าแห่งการสังหาร มีหน้าที่เข่นฆ่าและทำสงคราม…
เขาไม่รู้ว่า เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่
หลี่ฉางโซ่วเม้มปากเล็กน้อย และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เซียนชราก็กลับมาที่ตำหนักที่พำนักเทพวารีแล้วนั่งลง
เมื่อหลี่ฉางโซ่วเบนจิตสนใจไปที่อื่น เขาก็ไม่ลืมที่จะดูสถานการณ์ของหลิงจูจื่อที่อยู่ข้างๆ ถัดไป
ในขณะนั้น ศิษย์หลานของเขาเพ่งจิตจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ และดูเหมือนว่าจะได้รับการรู้แจ้งบางอย่าง
หลี่ฉางโซ่วหวังจริงๆ ว่าเขาจะเรียกแม่ทัพน้อยนาจาได้ล่วงหน้าเพื่อใช้เขาในการต่อสู้วันนี้ได้
ในขณะนี้ ในศาลสวรรค์ มันเป็นเรื่องยากที่จะให้เหล่าแม่ทัพต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ระดับกลางๆ ทั่วไปเช่นนี้
ความจริงแล้ว พวกเขาต้องการให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งศาลสวรรค์ลงมือจัดการด้วยตัวเอง!
เฮ้อ โลกบรรพกาลนั้นยากลำบากนัก และเต๋าเทพ[2]ก็ไม่เจริญรุ่งเรือง
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกกังวลเล็กน้อย และมองไปที่สถานการณ์ทางฝั่งของแม่ทัพตงมู่
ทหารสวรรค์จำนวนมากจากศาลสวรรค์เริ่มหลั่งไหลออกมาจากประตูสวรรค์อุดร และค่ายกลใหญ่ ‘เจี้ยงหลิน[3]’ ทั้งสองนั้นก็ถูกตรึงอยู่ในสนามรบที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
ต่อไป พวกเผ่าปีศาจก็สามารถปล่อยศักยภาพได้เต็มที่สูงสุด ตราบใดที่พวกมันไม่ล่าถอยกลับไปในทันที
หรือบางที จู่ๆ เต๋าสวรรค์ก็อาจปล่อยสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงที่ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ลงมาบนเผ่าเวท และสลายพลังการต่อสู้อันทรงฤทธิ์ของเผ่าเวทออกไป…
ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม
เขาเบนจิตสนใจไปทางตอนเหนือของดินแดนเทวะอุดร
ในถ้ำใต้ดินอันมืดมิดบางแห่ง ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวหนึ่งที่ดูเหมือนนักพรตเต๋าวัยกลางคนได้ลืมตาขึ้น
แสงศักดิ์สิทธิ์ในดวงตาของเขารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และเขาก็กวาดกระจายสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปทั่วทุกที่ในทันที
“ใต้เท้า! ท่านตื่นแล้ว!”
ในท่ามกลางเสียงตะโกนอันหยาบกร้านนั้น ก็มีร่างมากกว่าสิบร่างเข้ามาล้อมรอบเขาทันที
พวกเขาสวมชุดเกราะหนังสัตว์ ถืออาวุธต่างๆ หลากหลายทุกประเภท และร่างกายของพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง
แน่นอนว่า พวกเขาคือ พวกเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดร
หลี่ฉางโซ่วถามทันทีว่า “จอมเวทใหญ่บางคนกลับมาแล้วหรือไม่?”
“พวกเขาทั้งหมดล้วนกลับมาที่ภูเขาทมิฬแล้วขอรับ!”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ทุกคน ไปเตือนเหล่าจอมเวทใหญ่ว่า กองทัพปีศาจใกล้จะมาถึงแล้ว ให้เริ่มเปิดใช้งานค่ายกลทุกที่ทันที!
จงอย่าตระหนี่กับศิลาวิญญาณที่ศาลสวรรค์มอบให้ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นในการฝึกบำเพ็ญของพวกท่าน ชาวเผ่าเวท”
“ขอรับ!” เหล่าเผ่าเวทสงครามทุกคนล้วนรับคำ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอีกครั้งว่า “ข้าจะออกลาดตระเวนตรวจตราไปทั่วทุกที่ แล้วค่อยพบกับจอมเวทใหญ่หลังจากนี้”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และร่างของเขาก็ออกลาดตระเวนต่อไปภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้
เผ่าเวทสงครามหลายสิบคนต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบหันหลังกลับแล้วรีบวิ่งออกไปข้างหน้าพลางร้องตะโกนเสียงดัง
พวกเขาเอาแต่ร้องตะโกนว่า “พวกปีศาจกำลังโจมตี! เตรียมพร้อมรบ!”
“พวกปีศาจจะมาที่นี่เร็วๆ นี้แล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วพูดไม่ออกเล็กน้อย…
เห็นได้ชัดว่า เผ่าเวทมีกองกำลังศัตรูเพียงไม่ถึงสองในสิบส่วนเท่านั้น แล้วเหตุใดพวกคนเหล่านี้ถึงร้องตะโกนด้วยความลิงโลดใจยิ่ง
ดูจากสถานการณ์ในยามนี้ พวกเผ่าเวทไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีครั้งใหญ่ของพวกเผ่าปีศาจในวันนี้
พวกเผ่าเวทใช้ชีวิต อาศัยอยู่ในดินแดนเทวะอุดรมาเป็นเวลาหลายปี แม้พวกเขาจะถูกพวกเผ่าปีศาจวางแผนร้ายในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา
ทว่าโชคของเผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ เหือดแห้งลง และเผ่าเวททั้งหมดก็สูญเสียเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของพวกเขาไป
แต่เมื่อพวกเขาย้ายไปที่ดินแดนเทวะอุดรในช่วงปีแรกๆ พวกเขาก็สร้างที่หลบภัยมากมายหลายแห่งเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเผ่าปีศาจเริ่มทำสงคราม
และภูเขาทมิฬนั้น ก็เป็นป้อมปราการฐานที่มั่นของพวกเผ่าเวท
นี่เป็นสถานที่สุดท้ายที่พวกเผ่าเวทสามารถล่าถอยได้เมื่อเกิดภัยพิบัติจากการทำลายล้าง มันอยู่ห่างจากทะเลอุดรไปเพียงไม่ถึงสามร้อยลี้
มีเพียงเฉพาะทางด้านฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่ราบเรียบในขณะที่ภูมิประเทศอื่นอีกสามด้านนั้นค่อนข้างอันตราย
………………………………………………………………..
[1] ดาวศุกร์
[2] 神道 เสิ่นเต๋าหรือเต๋าเทพหรือวิถีแห่งเทพ (ซึ่งเป็นคำเดียวกับลัทธิหรือศาสนาชินโตในญี่ปุ่น) มีความเชื่อในเทพเจ้า วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ วิถีธรรมชาติป่า ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร สายลม ส่งเสริมให้ผู้คนอยู่ร่วมกับเทพหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างกลมกลืนและสามารถขอความช่วยเหลือจากวิญญาณเหล่านี้ได้
[3] หมายถึง การมาถึง
…………………………………………………………