บทที่ 375 คุณไม่มีเงินแล้ว!
พิธีเปิดตัวหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินของสมาคมการแพทย์แห่งชาติถูกจัดตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเมื่อก่อนคือการที่หวังชิ่งหยวนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วยตนเอง
เหล่าหวังคือผู้นำทิศทางการปฏิรูปนโยบายและการแพทย์!
เหตุการณ์เรื่องการทุจริตทางวิชาการที่กำลังเป็นประเด็นร้อนยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องเพราะว่าเหล่าหวังดันเป็นอาจารย์ของบุคคลต้นเรื่องอย่างสวีเสี่ยวเฉียน
ในระหว่างพิธีก็มีนักข่าวจำนวนมากที่ถามถึงเรื่องนี้
เหล่าหวังจึงได้แต่กล่าวอย่างเป็นกลางว่า “การทุจริตทางวิชาการไม่สมควรได้รับการให้อภัย แต่เราให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาดได้”
ประโยคนี้แทบจะทำให้สวีเสี่ยวเฉียนที่คิดจะจบชีวิตตนเองลงถึงกับน้ำตาไหล
การทุจริตทางวิชาการไม่ใช่เรื่องที่จะให้อภัยกันได้ แต่คนผิดก็ควรได้รับโอกาสเช่นกัน ประโยคนี้ถือว่ามีน้ำหนักมาก
นั่นหมายความว่าสื่อไม่ควรเพ่งความสนใจไปที่สวีเสี่ยวเฉียน แต่ควรเพ่งความสนใจไปที่การก่อตั้งหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน
สื่อระดับชาติตั้งคำถาม “คุณหวัง การจัดตั้งหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นตามกำหนดการไหมครับ ถ้าไม่มีคุณสวีเสี่ยวเฉียนแล้ว คุณจะรับตำแหน่งประธานไหมครับ แล้วอะไรคือความสำคัญของการก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น”
หวังชิ่งหยวนค่อยๆ ตอบทุกคำถาม “การจัดตั้งหน่วยงานแพทย์ฉุกเฉินเป็นสิ่งที่เราต้องทำ ผู้นำจะไม่ใช่ผม แต่เป็นไป๋เยี่ย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในครั้งนี้ ผมได้อ่านหนังสือที่เขาเขียนแล้ว หนังสือเล่มนี้จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาองค์ความรู้อย่างแน่นอน และนี่ก็คือจุดประสงค์ของการก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น นั่นคือเพื่อส่งเสริมการพัฒนาความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินและช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น”
ชื่อของไป๋เยี่ยถูกหยิบยกขึ้นมาต่อหน้าสื่อมวลชนโดยเหล่าหวัง
ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน แต่เขาแค่ยุ่งจนไม่มีเวลา
ตอนนี้เขามีเรื่องที่ต้องทำเยอะไปหมด
ไป๋เยี่ยไม่ติดใจกับเรื่องที่สวีเสี่ยวเฉียนผู้ทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดถูกถอดชื่อออกจากทีมฝึกเลย เพราะว่าหัวหน้าทีมที่มาใหม่ปล่อยให้ไป๋เยี่ยมีอิสระมาก ขอแค่มาอบรมก็พอแล้ว ส่วนอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี นั่นทำให้ไป๋เยี่ยอยากจะหยุดพักสักนิด พลันมีแวบหนึ่งที่นึกถึงสวีเสี่ยวเฉียนขึ้นมา
อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็ได้พักผ่อนบ้าง…
ไหนจะมีงานวิจัยเรื่องปัจจัยของการสร้างกระดูกอีก เพราะว่าประเด็นเรื่องปัจจัยการเจริญเติบโตเพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมา ความคืบหน้าในการวิจัยจึงไปได้เร็วมากยิ่งขึ้น ทุกคนต่างยุ่งเสียจนต้องใช้ชีวิตในสถาบันวิจัย
เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าได้พยายามมากกว่านี้ บางทีพวกเขาอาจจะค้นคว้าเรื่องปัจจัยการเจริญเติบโตที่มีผลต่อการสร้างกระดูกได้
หากสิ่งนี้ถูกค้นพบจริงๆ คงจะน่าทึ่งมาก แม้แต่รางวัลโนเบลก็คงไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
มันเทียบเท่ากับการค้นพบสารใหม่ในร่างกายมนุษย์ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกระดูกและข้อของมวลมนุษยชาติ!
ดังนั้นทุกคนจึงพยายามศึกษามันให้ดีที่สุด เพราะพวกเขาอาจจะพบกับอนาคตอันสดใสก็เป็นได้!
และยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน ไป๋เยี่ยไม่อยากทรยศความตั้งใจของเหล่าหวัง และเขาก็ไม่อยากได้รับตำแหน่งโดยที่ไม่ได้ลงมือทำงานแต่อย่างใด เขายังคงหวังว่าตนจะส่งเสริมการแพทย์ของประเทศจีนได้ด้วย
เหล่าหวังปล่อยให้ลูกมือเป็นคนจัดการเรื่องก่อตั้งหน่วยงาน หน้าที่ของไป๋เยี่ยจึงมีเพียงแค่จัดการและเผยแพร่ข้อมูลออกไป
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากการฝึกทหารมากนัก ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอาจจะเป็นขอบเขตที่กว้างกว่า
ไป๋เยี่ยยุ่งมาก แต่คนที่ปวดหัวมากกว่าไป๋เยี่ยก็คือโมนิกา!
ในฐานะที่เธอเป็นผู้จัดการของสถาบัน เธอจึงมีเรื่องต้องคิดมากมาย!
รายงานต่างๆ ตลอดทั้งสามเดือนทำให้เธอต้องคอยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับไป๋เยี่ยเสมอ
เพราะว่ามีการลงทุนจำนวนมากในการวิจัยและการปรับปรุงองค์ความรู้ด้านการแพทย์ สถาบันจึงทำเงินได้ไม่มากนัก อีกทั้งตอนนี้สถาบันยังมีหนี้สินราวๆ พันล้านหยวน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะไม่มีทางชดใช้หนี้ได้
ดังนั้นโมนิกาจึงมาคุยเรื่องนี้กับไป๋เยี่ย
ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะยุ่งมาก แต่โมนิกาก็ยังรู้สึกว่าเธอจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ให้เขาฟัง
เมื่อโมนิกาเจอกับไป๋เยี่ย เธอก็ตรงเข้าประเด็นทันที “ตอนนี้สถาบันมีปัญหาใหญ่”
ไป๋เยี่ยผงะไปครู่หนึ่ง “คุณโมนิกา? นั่งลงก่อนสิครับ เรามีปัญหาอะไรเหรอ”
โมนิกายื่นรายงานที่เธอได้รวบรวมไว้ให้ไป๋เยี่ยพลางเอ่ย “นับตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน พวกเราได้ลงทุนไปเกือบสองพันสามร้อยห้าสิบล้านหยวน มีเงินกู้จำนวนหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวน แล้วยังมีค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกห้าร้อยล้านหยวน ซึ่งต่อไปการซ่อมแซมอาคารทั้งสามหลังก็จะต้องลงทุนอีกไม่น้อยเลย
ตอนนี้สถาบันของเรามีเงินเหลือไม่ถึงห้าร้อยล้านหยวนแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราจะใช้เงินหมดภายในสามเดือนนะคะ แต่ตอนนี้กำหนดการชำระหนี้คืออีกหนึ่งปี บอกตามตรง ฉันกังวลมากว่าอีกหนึ่งปีข้างหน้า สถาบันของเราจะชำระหนี้ไม่หมด ไหนจะยังมีดอกเบี้ยอีก”
ไป๋เยี่ยถึงกับช็อก!
นี่เราไม่มีเงินแล้วเหรอ
เราควรจะมีเงินไม่ใช่เหรอ
ไป๋เยี่ยรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาคิดมาตลอดว่าตนยังมีเงินเหลือเยอะ! เพราะว่าตอนนั้นเขามีเงินจำนวนหนึ่งและเงินกู้จากธนาคารอีกหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็ค่อนข้างต่ำ
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเงินจะหมดเร็วขนาดนี้
ไป๋เยี่ยถึงกับอดใจพูดออกมาไม่ได้ “เงินนี้…เงินตั้งเยอะแยะ…เหลือไม่ถึงห้าร้อยล้านหยวนเหรอ”
โมนิกายิ้มขมขื่น “ถ้าพูดให้ถูกคือน้อยกว่าห้าร้อยล้านด้วยซ้ำ! เพราะถ้าเราซ่อมอาคารพร้อมกันทั้งสามหลังโดยหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกแล้ว สถาบันก็จะมีเงินเหลืออยู่เพียงสามร้อยล้านเท่านั้น แต่ว่า…แค่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของสถาบันก็ปาไปสามสิบล้านหยวนแล้ว ฉันเลยคิดว่าฉันควรจะมาแจ้งคุณสักหน่อย”
ไป๋เยี่ยกลืนน้ำลายพลางพึมพำกับตนเอง เงินไหลออกเป็นน้ำเลย บ้าเอ๊ย
ตอนแรกเราก็คิดว่าตัวเองรวยมาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเราคือคนจนคนหนึ่ง…
ไม่ใช่สิ!
เรายังติดหนี้ธนาคารอยู่หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวนด้วยนี่นา ไป๋เยี่ยคิดถึงเรื่องนี้ก็อดตัวสั่นไม่ได้
อันที่จริงนี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ก็เพราะแท้จริงแล้วโรงพยาบาลควรจะพึ่งพาตนเอง แต่ไป๋เยี่ยกลับใช้โรงพยาบาลเป็นฐานทดลองทางการแพทย์ ซึ่งปกติแล้วผู้ป่วยก็จะเสียค่ารักษาไม่มากนัก ทำให้โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากแทน
ไป๋เยี่ยคิดว่าถ้าเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ เขาอาจจะถูกลักพาตัวไปถ้ายังชำระหนี้ธนาคารไม่หมดแน่ๆ
ถึงตอนนั้นก็คงสายเกินกว่าจะร้องไห้แล้ว!
หากระบบคำนวณทรัพย์สินของไป๋เยี่ยได้ เขาก็คงเหลือเงินเพียง -1000000000 หยวน!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็รีบหันไปพูดกับโมนิกาด้วยท่าทีร้อนรน “ขอบคุณที่เตือนนะครับ ผมคิดว่าตัวเองรวยมาโดยตลอดเลย!”
ไป๋เยี่ยค่อยๆ เผยรอยยิ้มแห้งๆ ออกมา
ส่วนโมนิกาก็ได้แต่กลอกตาไปมา…