“ภูเขาสี่ทะเล….” หวงเสี่ยวหลงก็หยิบเอาแผนที่ดินแดนแห่งความวุ่นวายออกมาค้นหาสถานที่ที่พูดถึง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องขมวดคิ้ว จากสิ่งที่เขามองเห็นบนแผนที่ในหมู่ภูเขาและหุบเขารอบเมืองหมื่นเทวะนั้นไม่มีสถานที่ที่เรียกว่าภูเขาสี่ทะเลอยู่เลย จากนั้นเขาจึงเรียกฉินหยาง หลี่เฟย เจี่ยตง และฟานเอ๋อเฉิงมาถามเรื่องหุบเขาสี่ทะเล
“ภูเขาสี่ทะเล?” ฉินหยางก็ส่ายหัว “ท่นจักรพรรดิ รอบๆเมืองหมื่นเทวะนั้นมีหุบเขาร้อยพิษ ภูเขาใบทอง และภูเขาอีกหลายลูกแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่เคยได้ยินชื่อภูเขาสี่ทะเลมาก่อน”
หลี่เฟย เจี่ยตง และฟานเอ๋อเฉิงก็ส่ายหัวพร้อมกัน นั่นเพราะทั้งสามคนนั้นไม่เคยได้ยินชื่อนี้ มาก่อน
หวงเสี่ยวหลงก็ขมวดคิ้ว ภูเขาสี่ทะเลไม่ได้อยู่แถวบริเวณเมืองหมื่นเทวะงั้นหรือ? บางทีอาจจะเพราะเมื่อเวลาผ่านไป ทําให้ชื่อภูเขาสี่ทะเลถูกเปลี่ยนไป หรือบางที่ภูเขาสี่ทะเลอาจจะไม่มีอยู่ อีกแล้วก็ได้
หลายหมื่นปีผ่านไป เมืองโบราณนับไม่ถ้วนต่างก็จมน้ำไปตามกาลเวลา ซึ่งก็รวมไปถึงภูเขาสี่ทะเล!
นี่มันเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ! แต่ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็ยังคงเปล่งประกายอยู่ดี เนื่องจากเขาก็ยังต้องเดินทางไปเมืองหมื่นเทวะอยู่ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะตามหาภูเขาสีทะเลและตามหาสถานที่ตั้งบนแผนที่ให้เจอให้ได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทําให้เขาสามารถบรรลุระดับเทวะก่อนเริ่มการคัดเลือกศิษย์ของนิกายนักรบแห่งพระเจ้า
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง แสงอาทิตย์ก็สาดส่องทะลุหมอกสีเลือดลงบนดินแดนรกร้างอํามหิตซึ่งทําให้หมอกเหล่านั้นค่อยๆบางลงและหายไป
หวงเสี่ยวหลงก็มองดินแดนรกร้างอันกว้างใหญ่แล้วยืนขึ้นพร้อมกับบอกคนทั้งสี่ “ไปกันเถอะ”
“ได้ขอรับ นายน้อย!” ทั้งสี่คนก็ตอบออกมาพร้อมกัน
ดังนั้นทั้ง 5 คนจึงได้เดินทางไปเมืองหมื่นเทวะต่อ
ในระหว่างทาง หวงเสี่ยวหลงได้ให้โอสถฟื้นฟูกับฉินหยางและขับพิษหนาวเย็นที่เกิดจากกรงเล็บเทพอสูรออกจากร่างของเขา จากนั้นหวงเสี่ยวหลงจุงได้ถามคําถามฉินหยางไม่ว่าจะเป็นนิกาย ภูติหรือเมืองแม้น้ำสีเลือดซึ่งฉินหยางก็ได้ตอบคําถามอย่างตรงไปตรงมา
สําหรับประมุขนิกายเงาภูตินั้น สิ่งที่เขารู้นั้นมีมากกว่าหลี่เฟยเสียอีกซึ่งรวมไปถึงความลับภายในนิกายเบญจพิษ
2 วันต่อมา ทั้งกลุ่มก็ได้ออกมาจากดินรกร้างอํามหิตและเดินทางมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเมื่องหลวงแห่งดาบ
เมืองหลวงแห่งดาบนี้เป็นหนึ่งใน 10 เมืองขนาดใหญ่ของดินแห่งความโกลาหล แม้ว่ามันจะอันดับท้าย ลําดับที่ แต่ตามข่าวลือที่คนพูดกันในเมืองแห่งนี้มีคนที่มีความเข้าใจและความสามารถในการใช้ดาบได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งแม้กระทั่งเทพและปีศาจยังต้องหลีกทางให้
หวงเสี่ยวหลงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเมืองหลวงแห่งดาบในขณะที่มองดูดาบหินขนาดใหญ่ที่ ห้อยอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าซึ่งมันได้ปลดปล่อยกลิ่นอายคมดาบที่ราวกับถูกทิ่มแทงวิญญาณ เขารู้สึกประหลาดใจที่ดาบหินยักษ์สามารถปลดปล่อยแรงกดดันที่มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้คน
“นายน้อย มีคนกกล่าวกันว่าดาบหินยักษ์นี้เคยเป็นอาวุธคู่กายของจักรพรรดิแห่งดาบก่อนที่เขาจะบรรลุระดับเทวะ” ฉินหยางก็เดินเข้ามาอธิบายหวงเสี่ยวหลงอย่างเคารพและ ในขณะที่เขามองดาบหินยักษ์นี้ ในสายตาของฉินหยางนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงและความเคารพ “หลังจากจักรพรรดิดาบบรรลุระดับเทวะ เขาก็ได้สร้างดาบมารขึ้นหลังจากนั้น หลังจากนั้น เมื่อเขาสร้างเมืองหลวงแห่งดาบขึ้น เขาก็ได้ประทับตาบไว้ข้างบนกําแพงเมือง”
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า
จักรพรรดิแห่งดาบนั้นเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญอันดับสูงที่มีชื่อเสียงในดินแดนแห่งความโกลาหลเพราะฝีมือการใช้ดาบ เนื่องจากตาบนี้เคยเป็นอาวุธคู่กายของเขาก่อนจะบรรลุระดับเทวะ ทําให้มันได้ดูดซับปราณดาบของจักรพรรดิดาบเป็นจำนวนมาก
ข้าสงสัยว่าใครกันจะแข็งแกร่งกว่ากัน หากเทียบระหว่างเจ้าชูและจางฟูกับจักรพรรดิดาบคนนี้ หวงเสี่ยวหลงก็ครุ่นคิด
นิกายประตูเทพอสูรนั้นเป็นนิกายยักษ์ใหญ่ของทวีปเมมดารา สําหรับผู้พิทักนิกายประตูเทพอสูรฝ่ายขายและฝ่ายขวานั้น ไม่เพียงกล่าวขาว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของนิกาย แต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงแห่งทวีปเมมดาราด้วยเหมือนกัน
“เข้าไปกันเถอะ” หวงเสี่ยวหลงก็ถอนสายตาจากดาบหินยักษ์บนประตูแล้วหันมาพูดกับฉินหยางและคนที่เหลือ จากนั้นทั้ง 5 คนก็รีบเข้าเมืองหลวงแห่งดาบไป
ในตอนที่เขาเดินผ่านประตู ท้องฟ้าก็ได้มีตลงแล้ว ดังนั้นหวงเสี่ยวหลงจึงตัดสินใจหาที่พักก่อนที่จะเดินทางต่อ ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกเขาทั้งห้า ทําให้พวกเขาสามารถเดินทางไปถึงเมืองหมื่นเทวะก่อนที่งานประมูลจะเริ่ม
ทั้ง 5 คนก็ได้เข้าพักในโรงเตี้ยมที่เรียกกลิ่นอันอบอุ่น
โรงเตี้ยมแห่งนี้มีร้านอาหารอยู่ที่ชั้นแรกซึ่งมันมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนถึงขนาดที่พวกเขาแทบจะไม่สามารถหาที่ว่างได้เลย เมื่อพวกเขาเดินเข้าไป กลิ่นไวน์อันหอมหวนก็ฟุ้งกระจายไปทั่วร้านแล้วซึ่งในช่วงที่หวงเสี่ยวหลงก้าวเข้าไป เขาก็ได้กลิ่นไวน์ขึ้นมา
หวงเสี่ยวหลงเจอที่นั่งที่ว่างอยู่ตรงมุมร้านจากนั้นเขาเขาก็นั่งลงแต่ทว่าฉินหยาง หลี่เฟย เจี่ยตงและฟานเอ๋อเฉงนั้นกลับยืนด้านหลังเขาเนื่องจากพวกเขาลังเลที่จะนั่ง
“พวกเขาทุกคนก็นั่งด้วยกันสิ” หวงเสี่ยวหลงก็ชี้ไปที่เก้าที่ว่างอยู่ ทั้งสี่คนก็ตอบรับออกมาอย่างเคารพแล้วนั่งลงเมื่อได้รับอนุญาตจากหวงเสี่ยวหลง
หลังจากนั่งลง หลี่เฟยก็เรียกบริกรจากนั้นเธอก็ถามความคิดเห็นของหวงเสี่ยวหลงแล้วสั่งอาหารและไวน์สองเหยือก
หลังจากผ่านไปไม่นานบริกรก็กลับมาพร้อมกับอาหารที่หลี่เฟยสั่งไป
ดังนั้น ทั้งโต๊ะของกลุ่มหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ได้เต็มไปด้วยอาหารที่น่ากินซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี และรสชาติต่างก็กระตุ้นความอยากหารของหวงเสี่ยวหลง แม้ว่าด้วยการบ่มเพาะระดับเซียนเทียนของหวงเสี่ยวหลงนั้นเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้มากกว่าครึ่งเดือนโดยไม่ต้องกินอะไร แต่เขาก็ยังคงติดนิสัยการกินอยู่ดี
หลี่เฟยที่อยู่ข้างเขาก็เปิดเหยือกไวน์ออกมาแล้วเทใส่แก้วของหวงเสี่ยวหลงซึ่งเขาก็ได้ยกดื่มหมดแก้วในรวดเดียว พอไวน์ใหลลงคอ เขาก็สัมผัสได้ถึงรสชาติเผ็ดร้อนและขมเล็กน้อยบริเวณปลายลิ้น
“ไวน์ดี” หวงเสี่ยวหลกกก็ชื่นชม แม้ว่ามันจะเทียบกับไวน์น่าคมคายหรือไวน์เสน่ห์เย้ายวนแทบจะไม่ได้ แต่มันก็มีรสชาติในแบบของมันเอง จากนั้นเขาก็บอกให้ฉินหยางและคนที่เหลือ เทไวน์ใส่แก้วตัวเองแล้วจิ้มรสไปพร้อมๆกัน
ในขณะที่ทั้ง 5 คนกําลังยกไวน์ดื่มอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นภายนอกโรงเตี้ยม จากนั้นก็มีคน 5 คนเดินเข้ามาซึ่งในกลุ่มนั้นมีผู้หญิงอยู่ 2 คน
เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น เขาก็ตกใจขึ้นมา
ฉุยหลี!
ตั้งแต่การประลองเมืองจักรพรรดิจบลง เขาก็แทบไม่เจอฉุยหลี่เลย และครั้งสุดท้ายที่เขาพบเธอก็คือเมื่อสามปีก่อน ซึ่งก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากจักรวรรดิตวนเริ่นเพื่อมาที่ดินแดนแห่งความโกลาหลแห่งนี้ เชี่ยพูถีก็ได้พูดถึงฉุยหลี่ตอนที่เขาคุยกัน
เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะมาเจอฉุยหลในดินแดนแห่งความโกลาหลนี้! ฉุยหลี่มาทำอะไรที่นี่กัน? ผู้หญิงคนนั้นก็คือน้าสาวของฉุยหลี่ซึ่งหวงเสี่ยวหลงเคยพบเธอครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่พระราชวังของจักรวรรดิตวนเงินตอนพิธีรับรางวัล ส่วนคนอีก 3 คนนั้น จากการแต่งตัวของพวกเขาแล้ว พวกเขานั้นอาจจะเป็นคนตระกูลฉุย
ในช่วงที่เธอเข้ามาในโรงเตี้ยม ฉุยหลเงยหน้ามองราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาของเธอก็ไปบรรจบกับสายตาของหวงเสี่ยวหลง พอมองเห็นหวงเสี่ยวหลง ดวงตาของฉุยหลี่ก็ปรากฏควาตกตะลึงออกมาและตามมาคิ้วยความโศกเศร้า
น้าสาวของฉุยหลี่ก็สังเกตเห็นหวงเสี่ยวหลง ทําให้เธอรู้สึกประหลาดใจขึ้น
“หลี่หลี่ เจ้ารู้จักเด็กคนนั้นหรอ?”ในตอนนั้นเองชายหนุ่มข้างฉุยหลีก็ได้ถามออกมาในขณะที่เขามองหวงเสี่ยวหลงพร้อมดวงตาที่ไม่เป็นมิตร
ฉุยหลีก็สงบใจแต่เธอนั้นไม่ได้ตอบคําถามชายหนุ่มและทําเพียงส่ายหัว จากนั้นทั้งกลุ่มก็ไปนั่งตรงบนโต๊ะว่างอีกฟากของโรงเตี้ยม
พอสั่งอาหารแล้ว ทั้งห้าคนก็เริ่มกินอย่างเงียบเมื่อบริกรมาเสิร์ฟอาหาร แต่ละคนนั้นต่างที่คิด เรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะฉุยหลี่ หวงเสี่ยวหลงมองเห็นเธอขมวดคิ้วอย่างชัดเจน
ครู่ต่อมา ทั้งห้าคนก็จ่ายเงินแล้วออกไป
แม้ว่าเขาอยากรู้เรื่องที่ฉุยหลี่มาอยู่ในดินแดนแห่งความโกลาหล แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่
เมืองหลวงแห่งดาบก็ตกอยู่ในค่ำคืนอันเงียบสงบฃ
ในขณะนี้หวงเสี่ยวหลงกําลังนั่งขัดสมาธิในห้องของเขาและเมื่อกําลังจะเริ่มบ่มเพาะ เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก จึงเงี่ยหูฟัง
“นายน้อยได้กล่าวว่า ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คืนนี้ จะต้องนําตัวผู้หญิงแห่งตระกูลฉุยสองคนนั้น ไปส่งบนเตียงเขาให้ได้”