ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 153 เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกับตะขาบตัวนี้อีก?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 153 เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกับตะขาบตัวนี้อีก?

บทที่ 153 เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกับตะขาบตัวนี้อีก?

“ฮ่า ๆ ๆ…”

หลิงเยว่กลั้นขำแทบไม่อยู่ เมื่อติงหลิวหลิ่วที่ออกมาดูความวุ่นวายก็ชี้หน้าว่านอวี้เฟิงพร้อมกับหัวเราะเสียงดังจนตัวโยน

ไร้ซึ่งน้ำใจต่อเพื่อนร่วมสำนักเสียจริง!

“ข้าบาดเจ็บนะ…”

ว่านอวี้เฟิงดึงแขนเสื้อหลิงเยว่และนอนลงบนพื้นอีกครั้ง สูญเสียภาพลักษณ์จนหมดสิ้น หากเขาไม่รีบตีเหล็กตอนร้อน คงไม่อาจปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำนี้ได้แล้ว

หลิงเยว่รู้สึกว่าภาพนี้คุ้นตานัก

ฉวยโอกาสอย่างนั้นหรือ?

“ศิษย์พี่รอง ปล่อยเถิด ข้าต้องไปกลั่นโอสถต่อนะเจ้าคะ” หลิงเยว่แกะนิ้วว่านอวี้เฟิงออก แต่ว่านอวี้เฟิงก็กำแขนเสื้อนางไว้แน่น เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะเรียกร้องความยุติธรรมจนกว่าศิษย์น้องจะยอมลดจำนวนหินวิญญาณลง

แล้วว่านอวี้เฟิงก็นอนนิ่ง

หึ! ศิษย์พี่รองคิดฉวยโอกาสหลอกลวงข้าให้ลดหย่อนหนี้สินหรือ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านสมหวังเป็นอันขาด

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่รองกำลังขัดขวางการถือกำเนิดของสุดยอดนักกลั่นโอสถ ท่านต้องตักเตือนเขานะเจ้าคะ”

สุดยอดนักกลั่นโอสถหรือ?

ศิษย์น้อยผู้นี้กล้าเอ่ยเช่นนั้นได้อย่างไร?

แม้ผู้เริ่มฝึกหัดกลั่นโอสถจะทำเตากลั่นระเบิดอยู่เสมอ แต่หลิงเยว่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มนั้น เนื่องจากนางเชี่ยวชาญในการปรุงอาหารวิญญาณพิเศษเป็นอย่างดี

ชิงยวนถอยหลังไปอย่างเงียบ ๆ แสดงให้เห็นว่านางไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลิงเยว่ที่หมดหนทางขอความช่วยเหลือทำได้เพียงหันมามองว่านอวี้เฟิงอีกครั้ง เมื่อครู่นางอดกลั้นไม่หัวเราะศิษย์พี่รอง แต่หากนางรู้ว่าเขาจะมาเกาะแกะนางเช่นนี้ นางคงหัวเราะให้ดังเสียยิ่งกว่าติงหลิวหลิ่วแล้ว!

ว่าแต่ศิษย์พี่สามหายไปอยู่ที่ใดกัน?

นางหัวเราะแล้วก็จากไปเช่นนั้นหรือ?

ติงหลิวหลิ่วไม่ได้อยากออกไป เพียงแต่นางถูกสายตาของชิงยวนบังคับให้ถอยกลับไปยังห้องกลั่นโอสถต่างหาก!

“ศิษย์พี่รองจับแน่นเช่นนี้ หรือว่าท่านอยากกินเกี๊ยวสมุนไพรวิญญาณ?”

ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าศิษย์พี่ของนางปรารถนาสิ่งใด แต่หลิงเยว่ไม่ต้องการให้ว่านอวี้เฟิงสมหวังอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เกี๊ยว’ ใบหน้าของว่านอวี้เฟิงพลันกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

“ศิษย์น้องห้า หินวิญญาณสองแสนล้านก้อน… พอจะ…”

“ย่อมได้” หลิงเยว่ตอบ แต่ในขณะที่ว่านอวี้เฟิงกำลังยิ้มกว้างอยู่นั้น นางก็เอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่ทำให้รอยยิ้มของผู้เป็นศิษย์พี่หายไปในพริบตา “ข้าจะลดให้ท่านหนึ่งแสนหินวิญญาณแล้วกัน”

เดิมทีหลิงเยว่ต้องการกล่าวเพียงหนึ่งหมื่นหินวิญญาณเท่านั้น แต่พอเห็นสภาพของว่านอวี้เฟิงที่ได้รับอุบัติเหตุครั้งใหญ่เช่นนี้ นางก็ใจอ่อนยอมลดให้เขาไป

ว่านอวี้เฟิง “?”

เตากลั่นของเขาที่นางทำระเบิดไปนั้น มีค่ามากกว่าหนึ่งแสนหินวิญญาณเสียอีก!

“หินวิญญาณสองแสนล้านก้อนคือสิ่งใดกัน?” ชิงยวนมองหลิงเยว่ “เจ้าขายสิ่งใดที่มีราคาถึงสองแสนล้านหินวิญญาณให้กับศิษย์พี่รองของเจ้า?”

ว่านอวี้เฟิงกำลังจะอ้าปากเล่าเรื่องโอสถแปลงร่าง แต่หลิงเยว่ก็พูดแทรกขึ้นก่อน

“ข้าขายเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ให้ศิษย์พี่รองเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สองก็ถูกขายให้แก่ศิษย์พี่สี่ และศิษย์พี่สามในราคาสองแสนล้านหินวิญญาณเช่นกัน ส่วนเจ้าตะขาบมรกตตัวที่หกข้าขายให้กับศิษย์พี่ใหญ่ในราคาหนึ่งแสนล้านหินวิญญาณ”

“แสดงว่าเจ้ายังมีตะขาบมรกตตัวที่เจ็ดและตัวที่แปดอีกอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อเทียบกับความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเหล่าศิษย์แล้ว ชิงยวนกลับสนใจคำถามที่เพิ่งถามไปเสียมากกว่า

ตามบันทึกโบราณกล่าวว่า เผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม หากมีการปรากฏของตะขาบมรกตตัวที่หก นั่นหมายความว่ายังมีตัวที่เจ็ดและตัวที่แปดอยู่อีก…

อย่างไรก็ตาม เจ้าตะขาบมรกตสี่ปีกที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้น ช่างแตกต่างจากบันทึกโบราณยิ่งนัก หรือพวกมันกลายพันธุ์ไปแล้ว?

“มีเจ้าค่ะ… ท่านอาจารย์ก็อยากได้สักตัวหรือเจ้าคะ?”

“อืม”

“!!!”

แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางก็ยังต้องการตะขาบมรกตสี่ปีกหรือ หลิงเยว่คาดไม่ถึงเสียจริง

“ตะขาบมรกตสี่ปีกมีผลกับนักกลั่นโอสถระดับปรมาจารย์ด้วยเช่นกัน”

ตะขาบมรกตสี่ปีกเป็นสัตว์วิเศษที่เหล่านักกลั่นโอสถต่างใฝ่ฝันอยากครอบครองทั้งสิ้น หากนางปรารถนาเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือ?

หากไม่ต้องลงมือแย่งกับบรรดาลูกศิษย์ของตนเอง ชิงยวนคงลงมือไปนานแล้ว

“เช่นนั้น ข้าจะไปนำมาให้ ขอท่านอาจารย์โปรดรอครู่หนึ่งนะเจ้าคะ” หลิงเยว่กล่าวพลางวิ่งไปหาหัวหน้าตะขาบมรกต

“ท่านรอก่อนนะเจ้าคะ”

เมื่อหลิงเยว่หันกลับไป นางก็รับแหวนเก็บของที่โยนมาจากอาจารย์ได้โดยสัญชาตญาณ แม้ไม่ต้องเปิดดูนางก็รู้ว่าภายในมีสิ่งใด ย่อมเป็นหินวิญญาณจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน!

ร่างของหลิงเยว่ที่เดินจากไปนั้นพลันดูร่าเริงขึ้นมาทันที

เจ้าชอบหินวิญญาณมากนักหรือ?

ชิงยวนหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า หากนางต้องการหินวิญญาณจริง เพียงแค่ทุ่มเทจิตใจไปกับการกลั่นโอสถ หินวิญญาณนับไม่ถ้วนก็จะมากองอยู่หน้าประตูแล้ว เจ้าศิษย์ห้านี่ไม่เข้าใจหรืออย่างไร?

ว่านอวี้เฟิงถูกมองข้ามราวกับอากาศ เขาลุกขึ้นจากพื้นด้วยความน้อยใจ แล้วมองเงาหลังของหลิงเยว่ที่หายลับไปด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

เหตุใดศิษย์น้องห้าจึงไม่ให้พูดเรื่องโอสถแปลงร่างเล่า?

เกรงว่าอาจารย์จะถามที่มาของโอสถหรือ?

ย่อมเป็นไปได้… หากเป็นเช่นนั้น เขาคงต้องไปบอกคนอื่น ๆ ถึงเรื่องนี้ด้วย

แล้วว่านอวี้เฟิงก็เดินกะโผลกกะเผลกออกไปทันที

ขณะที่หลิงเยว่ออกไปตามหาเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกต นางต่างเดินสอบถามไปตลอดทาง ทั้งยังแวะเวียนไปกว่าสิบร้าน ก่อนจะพบหัวหน้าตะขาบมรกตกำลังนั่งกินหม้อไฟภายในร้านหม้อไฟแห่งหนึ่ง

โต๊ะอาหารของเขารายล้อมไปด้วยนักกลั่นโอสถตั้งแต่ขั้นกลางไปจนถึงขั้นสูง… เป็นระดับปรมาจารย์เช่นนั้นหรือ?

หลิงเยว่ “!!!”

หัวหน้าตะขาบมรกตเนื้อหอมถึงเพียงนี้เชียว?

“เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก?”

หัวหน้าตะขาบมรกตเหลือบตามองหลิงเยว่ พลางคีบเนื้อชิ้นโตจากหม้อไฟร้อนฉ่าด้วยตะเกียบ แล้วแตะน้ำจิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยัดใส่ปากทันที

เจ้ามนุษย์เปราะบางต้องหาเรื่องมาให้ข้าอีกแล้วเป็นแน่

“ข้าหิว เลยออกมากินข้าวกับเจ้าอย่างไรเล่า”

หลิงเยว่พลันนั่งลงทันที นานแล้วที่นางไม่ได้กินหม้อไฟ ช่างคิดถึงรสชาติหม้อไฟเสียเหลือเกิน

หัวหน้าตะขาบมรกตทำเสียงฮึดฮัด เขาสามารถเชื่อนางได้อย่างนั้นหรือ!

เมื่อกล่าวว่ามาขอกินข้าวด้วย หลิงเยว่ก็นั่งกินอย่างมีความสุข ทั้งยังไม่พูดพร่ำทำเพลงกับหัวหน้าตะขาบมรกตแม้แต่น้อย จนเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตอยู่เฉยไม่ได้ พลันถามขึ้นว่า

“ข้าว่าเจ้าอยากให้ข้าไปที่เมืองทะเลทรายร้างกับเจ้า ในอีกไม่กี่วันนี้ใช่หรือไม่?”

“เจ้า… ฉลาดยิ่งนัก” หลิงเยว่กล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ข้าฉลาดอยู่แล้ว!”

“ข้าไม่ไป!”

เมืองฮั่วหยางมีของกินอร่อยเยอะแยะถึงเพียงนี้ หัวหน้าตะขาบมรกตยังกินไม่ครบเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเขากำลังรอให้เหล่าน้องชายได้แปลงร่าง แล้วนางจะมาหลอกใช้ให้เขาไปเป็นพวกอันธพาลได้อย่างไร ฝันไปเถิด!

หากเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตไม่พูดถึงเรื่องนี้ หลิงเยว่เองแทบจะลืมไปแล้วว่านอกจากจะมาขอเจ้าตะขาบมรกตอีกสักตัวแล้ว นางยังจะมาจ้างเขาให้เป็นผู้คุ้มกันอีกด้วย

ทหารชุดแดงนั้นไว้ใจไม่ได้เลย พวกเขาเอาแต่ฆ่า ไม่สนใจความเป็นความตายของนาง พวกที่ทำพันธสัญญากันก็นอนหลับไม่รู้เรื่อง จะหวังพึ่งพาได้อย่างไร นอกจากหัวหน้าตะขาบมรกตแล้วคงไม่มีใครอื่น

“อย่าเพิ่งพูดเช่นนั้น” หลิงเยว่หัวเราะคิกคัก “ของกินที่เจ้ากินสองวันนี้ มีสิ่งใดที่อร่อยกว่าอาหารวิญญาณพิเศษของข้าบ้างหรือไม่?”

หัวหน้าตะขาบมรกตชะงักไปทันที อันที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดอร่อยเท่าของที่มนุษย์ตัวน้อยผู้นี้ทำเลย แต่จะใช้ของกินมาล่อให้เขาตกหลุมพรางหรือ ไม่มีทางเสียหรอก หึ!

“ไปกันเถิด ข้าจะทำอาหารมื้อใหญ่ให้เจ้ากิน รับรองว่าอร่อยแบบที่คนอื่นทำให้เจ้ากินไม่ได้อย่างแน่นอน!”

หลิงเยว่ไม่สนใจการต่อต้านของหัวหน้าตะขาบมรกตแม้แต่น้อย นางลากเขาออกไปทันที

หากไม่ใช่เพราะประโยคหลังที่หลิงเยว่พูด หัวหน้าตะขาบมรกตคงดิ้นหลุดไปอย่างง่ายดายแล้ว

ถ้าอย่างนั้น ข้าจะลองไปชิมดูสักหน่อย หากไม่อร่อย ข้าจะไม่ยอมรับแน่นอน!

“เอ่อ ท่าน…”

เมื่อเห็นว่าเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตกำลังจะเดินจากไป เหล่านักกลั่นโอสถที่นั่งอยู่เต็มร้านพลันลุกขึ้นพร้อมกัน

ร้านหม้อไฟที่แออัด กลับว่างเปล่าในพริบตา

เจ้าของร้าน “?”

ต่อไปนี้ข้าจะต้องแขวนป้ายหน้าร้านไว้ว่า ท่านรองเจ้าเมืองน้อยห้ามเข้า!

หากนางอยากกิน ก็แค่… จัดใส่ห่อ แล้วส่งไปที่จวนเจ้าเมืองก็พอ

“ท่านรองเจ้าเมืองหลิง ท่านพอจะมีเวลาให้ข้าพูดคุยด้วยสักครู่หรือไม่?”

ชายหนุ่มที่ขวางทางหลิงเยว่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรโอสถอบอวลอยู่รอบกาย บุคลิกสง่างาม ย่อมเป็นผู้ที่ทำให้คนชื่นชอบได้ตั้งแต่แรกเห็น

เขาไม่ได้สวมชุดคลุมประจำตำแหน่งนักกลั่นโอสถ แต่เมื่อเขาเปล่งเสียง เหล่านักกลั่นโอสถคนอื่นที่ต้องการจะพูดต่างพากันปิดปากเงียบด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ย่อมมีสถานะสูงส่งในกลุ่มนักกลั่นโอสถเป็นแน่ และฝีมือในการกลั่นโอสถก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน

“มีสิ่งใดให้พูดอีก? ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าจะไม่ทำพันธสัญญากับมนุษย์คนใดอีก ฟังไม่เข้าใจหรือ?”

หัวหน้าตะขาบมรกตหงุดหงิดยิ่งนัก หากเขาไม่อยากสร้างบาปกรรมมากมาย ก็คงสังหารพวกมนุษย์น่ารำคาญกลุ่มนี้ไปแล้ว!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท