ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 169 เพียงมองก็เข้าใจ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 169 เพียงมองก็เข้าใจ

บทที่ 169 เพียงมองก็เข้าใจ

“อา… อาจารย์หลิง ข้าต้องการลงชื่อเรียนวิชาอาหารวิญญาณพิเศษ”

ในบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหมด หลังจากที่หลิงเยว่มอบอมยิ้มฟื้นฟูปราณวิญญาณให้ ในที่สุดก็มีคนรวบรวมความกล้าเข้ามาหานางเสียที

“คิดดีแล้วหรือ? หากเจ้าเข้ามาเรียนในชั้นเรียนพิเศษ จะไม่มีเวลาเหลือไปเรียนการกลั่นโอสถแล้ว เพราะอาหารวิญญาณพิเศษต้องใช้ความรู้มากกว่าการกลั่นโอสถยิ่งนัก”

การกลั่นโอสถใช้เพียงวัสดุต่าง ๆ เช่น สมุนไพรวิญญาณ สัตว์วิญญาณ และพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล แต่สำหรับอาหารวิญญาณพิเศษ นอกจากจะต้องมีความรู้เรื่องสมุนไพรวิญญาณแล้ว ยังต้องมีความรู้เรื่องวิธีการใช้เครื่องปรุงรส และสัมผัสของส่วนผสมอีกด้วย…

เมื่อนำมาเปรียบเทียบดูแล้ว อาหารวิญญาณพิเศษแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถลดขีดจำกัดของผู้บำเพ็ญลง แต่ว่าสิ่งที่ต้องใช้ก็สูงมากเช่นกัน

หญิงสาวที่พูดด้วยความลังเลนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาของนางค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น นางต้องการจะลองดู… นางเรียนการกลั่นโอสถไม่สำเร็จมาสิบปีแล้ว ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า อาจต้องเปลี่ยนทางเดินดูบ้าง เผื่อจะได้อะไรที่คาดไม่ถึง

“ข้าตัดสินใจแล้ว อาจารย์หลิงข้าชื่อเถียนฉู่ฉู่ แก่นปราณอัคคี พฤกษา และวารี อายุยี่สิบแปด… ”

หลิงเยว่จดบันทึกด้วยปากกาขนนกอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ได้ศิษย์คนที่สิบเก้าแล้ว เหลืออีกแค่สามสิบเอ็ดคนก็ครบห้าสิบคนแล้ว คงไม่ไกลเกินเอื้อม

“รีบตัดสินใจกันหน่อยเถิด ยังเหลือที่นั่งอีกเพียงสามสิบเอ็ดที่เท่านั้น ผู้ใดมาก่อนได้ก่อน ไม่รู้ว่าจะเปิดรับอีกทีเมื่อไหร่!”

หลิงเยว่จึงกลายเป็นคนขายที่นั่งเรียน ทำให้บรรดาเหล่าศิษย์ที่เดินผ่านไปมาอดหัวเราะไม่ได้

“ถึงแม้ว่าหากได้เป็นลูกศิษย์ของข้าแล้วจะไม่ได้ตะขาบมรกตสี่ปีกไปครอบครอง แต่ว่าพวกเจ้าสามารถมาพูดคุยกับมันได้ระหว่างเรียน หรือให้อาหารวิญญาณพิเศษ และใช้ความรักเกลี้ยกล่อมมัน ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์อาจจะ… ”

“เจ้าเงียบปากไปเลย!”

หัวหน้าตะขาบมรกตรีบเอามือปิดปากหลิงเยว่เพื่อไม่ให้นางพูดต่อไป กล้าเอาลูกหลานตะขาบมรกตของเขาไปเป็นเครื่องมือเชิญชวนอย่างนั้นหรือ นางอยากตายหรืออย่างไร?

ถึงแม้ว่าจะพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว แต่ความหมายก็ได้สื่อไปถึงเหล่าศิษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศิษษ์เหล่านั้นที่ลังเลอยู่ต่างก็รีบกรูกันเข้ามาลงชื่อเข้าเรียนในชั้นเรียนพิเศษของหลิงเยว่ทันที

หลิงเยว่จึงรับศิษย์ครบห้าสิบคนได้อย่างรวดเร็ว แต่หากจะเพิ่มอีกคน…

ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เด็กน้อยที่นั่งตักนางอยู่ก็ลุกขึ้นมาโอบแขนนางพร้อมกับเขย่าไปมา ดวงตากลมโตสีดำสนิทของเด็กน้อยจ้องมองหลิงเยว่ด้วยความปรารถนา

“พี่สาว ฮวนฮวนเป็นลูกศิษย์ท่านได้หรือไม่เจ้าคะ ฮวนฮวนไม่เอาแมลงก็ได้ ฮวนฮวนอยากทำของอร่อยให้พ่อแม่กับพี่ชายทาน”

“พ่อกับแม่ของเจ้ายินยอมหรือไม่เล่า?”

ไม่ใช่ว่าหลิงเยว่จะไม่ยินยอม หากนึกย้อนไปในอดีต นางก็เรียนทำอาหารกับผู้เป็นพ่อตั้งแต่อายุหกขวบ ฮวนฮวนในวัยเท่านี้ ถือว่าเหมาะสมแล้ว

หลิงเยว่ไม่รอให้เด็กน้อยตอบ แล้วกล่าวต่อไปว่า “พรุ่งนี้พี่ชายกับพี่สาวจะเริ่มเรียนแล้ว หากเจ้าสนใจ ลองให้พี่ชายพามาดูก็ได้”

“ขอบคุณท่านพี่… ไม่ใช่ ขอบคุณอาจารย์หลิง!” ฮวนฮวนหมุนตัวไปมาด้วยความดีใจ

ทำให้เซี่ยซิ่นรุ่ยหัวเราะตามไปด้วย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดูฮวนฮวนอยู่หลายส่วน

ส่วนหัวหน้าตะขาบมรกตที่ถูกเมิน ซึ่งก็คือแมลงที่ฮวนฮวนพูดถึงเมื่อครู่นี้ ได้แต่ทำทำหน้าไม่พอใจ หึ! มนุษย์เด็กน้อยพวกนี้คงยังไม่รู้จักเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกดีนักถึงได้กล้าปฏิเสธ คอยดูเถิด! นางจะต้องเสียใจ!

เช้าวันต่อมา หลิงเยว่ถือวัตถุดิบที่เตรียมไว้มายังห้องเรียน

ห้องเรียนนั้นไม่ว่างเปล่าเช่นเมื่อวานแล้ว บัดนี้มีลูกศิษย์ยืนอยู่หน้าโต๊ะครัวตัวเล็ก ๆ แม้แต่ฮวนฮวนตัวน้อยก็มาที่ห้องเรียนตรงเวลาเช่นกัน เมื่อฮวนฮวนเห็นหลิงเยว่ตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที พลางโบกมือทักทายอาจารย์ของนางอย่างมีความสุข

ตะขาบมรกตห้าสิบตัวนำวัตถุดิบที่ใช้ในการเรียนมาแจกจ่ายทีละอย่าง โอ้! ไม่ใช่สิ ห้าสิบเอ็ดตัว ตัวหนึ่งคือลูกตะขาบมรกตสี่ปีกที่หัวหน้าตะขาบมรกตจงใจปล่อยออกมาโดยเฉพาะ และด้วยความที่มันตัวเล็กมาก ยังบินไม่แข็ง ทำให้หลิงเยว่ไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไรดี…

ช่างเถิด อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำของหล่นกระจายไปทั่ว

“เจ้าช่างน่ารักเสียจริง!” ฮวนฮวนลูบคลำไปที่ลำตัวของมัน เจ้าตะขาบมรกตตัวน้อยก็เอาหัวถูหน้าฮวนฮวน จากนั้นก็เกาะบนหัวนางไม่ยอมไปไหน

ส่วนเซี่ยซิ่นรุ่ยที่เหลือบมองเพียงนิด เจ้าตะขาบมรกตก็โยนวัตถุดิบลงตรงหน้าของเขาแล้วปีกของมันก็ตบเข้าที่หน้าของเซี่ยซิ่นรุ่ยโดยไม่ทันระวัง คำขอโทษก็ไม่มีแม้แต่คำเดียว ทั้งยังมองมาที่เขาดุจตะขาบมรกตสี่ปีกผู้เย่อหยิ่งและแฝงไปด้วยความเหยียดหยามอยู่หลายส่วน

เหล่าศิษย์คนอื่นก็ถูกกลั่นแกล้งมากบ้างน้อยบ้าง บางคนรู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา

หลิงเยว่สังเกตเห็นเช่นกัน แต่… นางไม่สามารถพูดอะไรได้ ใครจะไปควบคุมเจ้าพวกนี้ได้เล่า

“ดี ตอนนี้ข้าจะให้ทุกคนรู้จักกับวัตถุดิบบนโต๊ะที่ดูคล้ายก้อนหินนี้… ”

หลิงเยว่หยิบมันฝรั่งขึ้นมา ใช้มีดปอกเปลือกแล้วนำไปล้างน้ำ จากนั้นนางก็หั่นเป็นชิ้นแล้วนำเข้าปาก

สัมผัสกรุบกรอบ มีความเหนียวเล็กน้อย ทั้งยังมีรสหวานและกลิ่นดินอ่อน ๆ โดยรวมแล้วรสชาติดิบก็ไม่เลว

ลูกศิษย์ด้านล่างไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้อย่างหลิงเยว่ พวกเขาแทบอยากจะอาเจียนออกมา แต่เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของพวกเขากลืนลงไปหมดแล้ว พวกเขาเลยทำได้เพียงกลืนลงไปด้วยความอัดอั้น

“แม้ว่าของดิบจะมีรสชาติไม่อร่อยนัก แต่หลังจากนำไปปรับเปลี่ยนเพียงนิดก็จะกลายเป็นของอร่อยได้เช่นกัน!”

จากนั้นหลิงเยว่จึงเทมันฝรั่งที่ปอกเปลือกแล้วใส่ลงในลังนึ่ง ในขณะที่ปอกเปลือกไปด้วย นางก็ไม่ลืมที่จะแนะนำว่ามันฝรั่งเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบใด ควรพิจารณาหลักการส่งเสริมและขัดแย้งในสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ร่วมกับตำราโอสถอย่างไร?

บทเรียนแรกของพวกเขาในวันนี้คือการใช้มันฝรั่งเป็นวัตถุดิบหลัก ตำราโอสถที่ใช้คือโอสถฟื้นฟูปราณ โดยวัตถุดิบที่ใช้นั้นประกอบด้วยแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล น้ำมัน และไข่ไก่

วันนี้มีตำราอาหารมีเพียงอย่างเดียวคือ มันทอดฟื้นฟูปราณ!

เป็นอาหารวิญญาณพิเศษที่ทำง่ายและอร่อย!

หลิงเยว่ไม่ได้ให้ลูกศิษย์ลงมือทำในทันที แต่ปล่อยให้พวกเขาดูวิธีที่นางทำก่อน แล้วค่อยฝึกฝนด้วยตนเอง

ในระหว่างที่นึ่งมันฝรั่ง หลิงเยว่ก็หยิบสมุนไพรวิญญาณมาแนะนำพร้อมอธิบายวิธีขจัดรสขม รสฝาด และรสชาติแปลก ๆ ของสมุนไพรวิญญาณ โดยต้องรักษาสรรพคุณทางโอสถไว้ด้วยเช่นกัน

ศิษย์ด้านล่างมองดูสมุนไพรวิญญาณที่ถูกนำมาต้ม ล้างด้วยเกลือ และแช่ในน้ำมะนาวแล้วรู้สึกสับสน

ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักกลั่นโอสถที่เฝ้าดูอยู่นั้นก็กรุ่นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คุมการทดสอบจะคัดค้านการมอบชุดคลุมของนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งให้กับหลิงเยว่ นักกลั่นโอสถคนใดที่เห็นสมุนไพรวิญญาณถูกทำลายเช่นนี้ก็คงอดน้อยใจไม่ได้

บริเวณหน้าประตูห้องเรียน ยังมีเหล่าอาจารย์ ผู้อาวุโส และอาจารย์ใหญ่ของสำนัก กำลังยืนซ่อนมือที่กำหมัดไว้ในแขนเสื้อ พวกเขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อหักห้ามใจตนเองไม่ให้เข้าไปรบกวนหลิงเยว่ขณะที่นางกำลังสอนอยู่

“เมื่อขจัดกลิ่นของสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาทุกอย่างมาสับให้ละเอียด แล้วผสมเข้ากับมันฝรั่งที่บดไว้ในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นก็เติมน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม เทแป้งข้าวเหนียวลงไป แล้วนวดให้เข้ากันจนเป็นแป้ง… ”

มันฝรั่งบดสีเหลืองทอง ผสมกับสมุนไพรวิญญาณสีแดงบดละเอียด เมื่อผสมทุกอย่างและนวดเข้าด้วยกันแล้วจะได้สีส้มทอง ดูแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก

ขั้นตอนต่อไปนั้นง่ายมาก เพียงปั้นเป็นก้อนกลม ๆ นำไปชุบไข่ไก่ แล้วคลุกบนเกล็ดขนมปังที่เตรียมไว้ ก่อนจะนำไปทอดในน้ำมันร้อนด้วยไฟอ่อน

ซึ่งนางได้เตรียมเกล็ดขนมปังไว้เรียบร้อยแล้ว

หลิงเยว่ลงมือทำอย่างคล่องแคล่ว ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นางก็ทำมันฝรั่งทอดฟื้นฟูปราณสีเหลืองทองได้เต็มตะกร้าใหญ่ กลิ่นหอมหวานของมันฝรั่งทอดลอยฟุ้งไปทั่วห้อง

“เนื่องจากใช้วัตถุดิบของมนุษย์ ผลการฟื้นฟูปราณจึงไม่ดีเท่ากับที่ทำจากผักสมุนไพรวิญญาณพิเศษมากนัก แต่สิ่งนี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการฝึกฝนของพวกเจ้า”

ศิษย์แต่ละคนได้รับมันฝรั่งทอดฟื้นฟูปราณจากหลิงเยว่คนละสามชิ้น ส่วนที่เหลือนางได้มอบให้กับเหล่าอาจารย์ที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอก

ทุกคนที่ได้รับมันฝรั่งทอดต่างรีบนำเข้าปาก กลิ่นหอมพลันโชยเข้าจมูก สัมผัสแรกคือความกรอบของเกล็ดขนมปัง ตามมาด้วยความนุ่มละมุนและหวานหอมของเนื้อมันฝรั่ง กลิ่นหอมของสมุนไพรและมันฝรั่งผสมผสานกลายเป็นกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วพลังปราณก็ไหลผ่านลำคอไปยังอวัยวะต่าง ๆ และกลับเข้าสู่ตันเถียนที่เป็นจุดศูนย์รวมพลังภายในของร่างกาย

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท