ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 171 พวกเจ้าคิดจะฆ่าอาจารย์หรือ!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 171 พวกเจ้าคิดจะฆ่าอาจารย์หรือ!

บทที่ 171 พวกเจ้าคิดจะฆ่าอาจารย์หรือ!

ห้องเรียนที่เงียบสงัดราวกับถูกหยุดเวลาไว้ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขาทุกคนทุ่มเททำงานกันดึกดื่นมาทั้งคืน เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว?

แม้ทำไม่ได้ก็ต้องฝืนทำ ไม่เช่นนั้นเหล่าอาจารย์ด้านการกลั่นโอสถขั้นสูงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า?

ฉะนั้นแล้ว หลิงเยว่จึงมีชามใส่มันฝรั่งทอดก้อนกลมสิบชามวางอยู่ตรงหน้าหลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบนั้นมีรูปร่างแปลกประหลาด ดูคล้ายว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาเสียมากกว่า นางไม่รู้ว่าต้องใช้สีหน้าหรือความรู้สึกเช่นไรมาใช้ในการลองชิมมันฝรั่งทอดเช่นนั้นที่แบนราบจนไม่น่ากินและก้อนกลมโตที่อาจสามารถทำให้คนสำลักตายได้…

“ลองชิมดูเถิด?” ชายชราร่างเล็กหยิบชิ้นงานที่ตัวเองภูมิใจที่สุดขึ้นมา นั่นคือมันฝรั่งที่ถูกนำไปบดกับแป้งข้าวเหนียว “อย่าเพิ่งดูถูกเพียงเพราะมันแปลก สรรพคุณของมันแรงกว่าของเจ้าเสียอีก และมีรสชาติไม่เหมือนใครด้วย!”

หลิงเยว่ไม่เชื่อ แต่นางยังไม่ได้กินข้าวเช้า หากลองเจ้าสิ่งนี้เป็นข้าวเช้าแทนก็คงไม่ถึงตายกระมัง

หลิงเยว่คีบลูกมันฝรั่งบดแป้งข้าวเหนียวนั้นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ภายใต้สายตาจับจ้องจากทุกคน นางค่อย ๆ ใส่เข้าปาก รสชาติหวานหอมละมุนลิ้น สัมผัสตอนเคี้ยวหนึบหนับ อร่อยเกินคาด! แม้รูปทรงจะดูไม่สวยงามนัก แต่โดยรวมแล้วถือว่าดีทีเดียว

แล้วก็เป็นอย่างที่ชายชรากล่าว สรรพคุณของมันนั้นแรงกว่าที่นางทำเองเสียอีก

“เป็นอย่างไร? ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่หรือไม่?” ชายชราร่างเล็กมองอาจารย์กลั่นโอสถคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างด้วยความภูมิใจ สายตาแฝงไว้ซึ่งการท้าทายอยู่หลายส่วน

อาจารย์กลั่นโอสถท่านหนึ่งถึงกับพ่นลมหายใจอย่างดูถูก “ลองชิมของข้าเถิด สรรพคุณนั้นแรงกว่าของตาแก่ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเผยหน้าจริงอย่างแน่นอน”

ท่านอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกลั่นโอสถที่ปลอมตัวอยู่ “…”

ผู้ใดกันแน่ที่เป็นตาแก่ตัวจริง ไหนลองพูดให้ดังหน่อยซิ!

หลิงเยว่คีบลูกกลมสีทองที่ดูน่ารับประทานขึ้นมา สัมผัสตอนคีบนั้นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะมันแข็งมาก… แต่ด้วยความเคารพต่ออาจารย์ด้านการกลั่นโอสถ นางจึงกลั้นใจกินมันลงไป ราวกับกำลังมุ่งหน้าสู่ความตาย

พอกัดลงไป อืม… กัดไม่ขาด ต้องออกแรงมากขึ้น…

กึก!

ข้างในลูกกลมที่ถูกกัดออกมีของเหลวใสพิเศษไหลตามลิ้นลงไปในลำคอแล้วก็ลงไปในกระเพาะ ปราณที่อยู่ในนั้นเข้มข้นยิ่งนัก ผลของการฟื้นฟูทำให้หลิงเยว่รู้สึกสดชื่นขึ้น

การกินลูกกลมแข็ง ๆ นั้น ทำให้หลิงเยว่รู้สึกเหมือนกำลังกินขนมจีบไส้มันฝรั่งที่ทอดจนเกรียม

อาจารย์ท่านนี้คงทำตามตำราขนมจีบไส้ทอดนั้นอย่างแน่นอน

“อร่อยยิ่งนักท่านอาจารย์ ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะมีความคิดสร้างสรรค์เช่นนี้!”

หลิงเยว่ชูนิ้วโป้งให้อาจารย์กลั่นโอสถท่านนี้ แม้เขาไม่เคยกินขนมทังหยวนทอดกรอบ แต่สามารถปรับเปลี่ยนและทำขนมทอดออกมาได้เช่นนี้ ถือว่ามีพรสวรรค์ยิ่งนัก!

แต่เมื่อความคิดนั้นเพิ่งจะผุดขึ้นมา ในชั่วพริบตาก็ถูกตอกกลับอย่างน่าอับอาย

“ว่าอย่างไรนะ? ไม่ได้คิดเอง แต่อาศัยแรงบันดาลใจจากขนมไส้ถั่วที่ข้านำมาจากเมืองฮั่วหยางเช่นนั้นหรือ”

เถาวั่งที่บ่นพึมพำ โดนอาจารย์กลั่นโอสถคนนั้นเหลือบมองอย่างเย็นชา เขาจึงทำตัวสงบเสงี่ยมไม่กล้าบ่นอีก แต่ก็ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง

“รีบชิมของข้าเถิด!”

หลิงเยว่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยต้องชิมผลงานของเหล่าอาจารย์กลั่นโอสถที่ทุ่มเททั้งคืนทีละอย่าง

บรรดาลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษที่ถูกเบียดให้อยู่ด้านนอกต่างเงยหน้ามองบนอย่างไม่สบอารมณ์ พวกเขาเป็นลูกศิษย์หรืออาจารย์และท่านอาวุโสทั้งหลายจะมาเป็นลูกศิษย์เองกันแน่

ถ้าชื่นชอบถึงเพียงนั้น มาเรียนด้วยกันเสียเลยให้สิ้นเรื่อง!

แน่นอนว่าความไม่พอใจของพวกเขาทำได้เพียงพร่ำบ่นอยู่ในใจเท่านั้น หากกล้าพูดออกมาก็คงไม่พ้นโดนเล่นงานเป็นแน่

เหล่าศิษย์ทั้งหลายในชั้นเรียนพิเศษไม่ได้อยู่กันทั้งคืน ทำให้ศิษย์คนอื่นที่อยากมาสอบถามเรื่องการเป็นพ่อครัวพลันหงุดหงิดไปตาม ๆ กัน พวกเขาจับกลุ่มยืนอยู่หน้าห้องเรียนพิเศษ แต่… เหล่าศิษย์ในห้องเรียนพิเศษได้ใช้ม่านกั้นวิญญาณปิดเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปได้

เพียงแค่ทำอาหาร เหตุใดต้องแอบซ่อนไว้เพียงนี้ กลัวผู้อื่นเห็นหรืออย่างไร?

นี่เป็นความคิดของใครหลาย ๆ คน ที่รู้สึกไม่พึงใจ

พวกเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ถูกไล่ออกจากห้องเรียนพิเศษ แต่เพียงอยากหาโอกาสสอนบทเรียนให้หลิงเยว่ที่กล้าไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น!

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของซีชางก็ยิ่งดูเคร่งขรึม ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาอับอายแล้วลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ แม้แต่ลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษของนาง และรองเจ้าเมืองก็เช่นกัน

“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่ซีชางหรือ? เหตุใดจึงแอบซุ่มอยู่เช่นนี้เล่า”

ผู้ที่กล้าพูดจาเช่นนี้กับซีชาง ย่อมไม่มีผู้อื่น นอกเสียจากคู่ปรับสำคัญของตระกูลซี

เขาเหลือบมองหญิงสาวผู้ไร้กาลเทศะผู้นั้นอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินจากไปพร้อมด้วยสหายของเขา

“ช้าก่อน อย่าเพิ่งไป” หญิงสาวหัวเราะเยาะ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้ถูกอาจารย์น้อยสั่งสอนเพียงเท่านั้น แต่ยัง…”

ถ้อยคำเย้ยหยันของหญิงสาวไม่ทันจะจบสิ้น หมัดเปลวเพลิงก็พุ่งตรงไปยังศีรษะของนางอย่างรุนแรง

ชายหญิงคู่หนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจาใด พลันยกมือขึ้นประลองยุทธ์กันด้านนอกของชั้นเรียนชั้นพิเศษ!

การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้น ทุ่งหญ้าถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม หลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย เสียงดังสนั่นจนเหล่าอาจารย์ผู้กำลังขะมักเขม้นฝึกสอนในชั้นเรียนพิเศษต้องตกใจ

“อาจารย์ออกมาแล้ว!”

แม้จะมีเสียงตะโกนเช่นนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังต่อสู้ก็ไม่ได้หยุดมือแต่อย่างใด

ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของเถาวั่งผู้สำราญใจ สีหน้าของเขาพลันแข็งค้างไปทันที เมื่อหันกลับไปมองก็พบหลุมใหญ่สีดำไหม้เกรียมที่หน้าประตูชั้นเรียนพิเศษ

พวกเจ้าคิดจะฆ่าอาจารย์หรือ!

ชายหนุ่มและหญิงสาวได้พิสูจน์ด้วยการกระทำแล้วว่า พวกเขาไม่เพียงต้องการฆ่าอาจารย์ แต่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้ พวกเขาล้วนต้องการฆ่าเสียให้สิ้น!

โครม!

ปัง!

ในขณะที่ห้องเรียนกำลังจะทลายลง เหล่าอาจารย์จึงรีบลงมือเสียก่อน

ชายหญิงหนึ่งคู่ถูกลงโทษอย่างสาสม หากพ่อแม่ของพวกเขาเห็นเข้า ยังคงยากที่จะจำได้ว่าเป็นใคร

หลิงเยว่ผู้ออกจากห้องเรียนมา พินิจพิเคราะห์อยู่นานกว่าจะจำได้ว่าชายที่นอนอยู่บนพื้นคือซีชาง ส่วนหญิงสาวข้างกาย… หลิงเยว่เพิ่งเคยพบนางเป็นครั้งแรก

สำนักกว้างใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงต้องมาวิวาทกันที่นี่ด้วย

หรือต้องการชำระแค้นที่นางเคยรังแกเขาไว้ก่อนหน้านี้

คงมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่จะทำให้หลิงเยว่รู้สึกเข้าใจขึ้นมาบ้าง

ทว่าเหล่าศิษย์ที่มุงดูเหตุการณ์กลับคุ้นชินกับภาพเช่นนี้เสียแล้ว ต่างแยกทางหลีกเลี่ยงทั้งสองที่นอนราบอยู่โดยไม่ขัดขืน แล้วห้อมล้อมเถาวั่งไว้

“ท่านอาจารย์เถา พวกท่านมาเฝ้าดูตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง ทั้งยังได้ทดลองทำอีกต่างหาก” เถาวั่งพยักหน้า แล้วหยิบตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่ขนมทอด มอบให้แก่เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบข้าง “ลองชิมกันดูเถิด นี่คืออาหารวิญญาณพิเศษที่พวกเจ้าดูแคลน”

ในเมื่อท่านอาจารย์เถารู้ดีอยู่แก่ใจว่าพวกเขาดูแคลนอาหารเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงต้องบังคับให้พวกเขากินด้วยเล่า?

แต่เถาวั่งมีฐานะเป็นรองจากอาจารย์ใหญ่เพียงคนเดียวในสำนัก อย่างไรก็ต้องให้เกียรติเขา

แม้เหล่าศิษย์จะบ่นอยู่ในใจ แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปอย่างลังเล มีคนแรกกล้าหยิบ คนที่สอง และคนที่สามจึงตามมา… จนกระทั่งทั้งตะกร้านั้นว่างเปล่า

เมื่อเหล่าอาจารย์ท่านอื่นเห็นดังนั้น จึงนำขนมทอดที่ตนทำมามอบให้แก่ศิษย์ทั้งหลายด้วยเช่นกัน แต่แน่นอน อาจารย์ที่กล้าเปิดเผยล้วนเป็นอาจารย์ผู้เปี่ยมล้นด้วยความภาคภูมิใจ ส่วนอาจารย์ที่ทำได้ไม่ดีนักต่างก็รีบเผ่นหนีไปเสียแล้ว

“เช่นนั้นแล้ว…”

ศิษย์ที่ได้กินขนมพิเศษนี้ต่างอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะทำจากสมุนไพรและวัตถุดิบอาหาร แล้วนำมาปรุงรวมกัน กลายเป็นอาหารที่มีสรรพคุณทางโอสถ พวกเขาคิดว่านักเรียนที่ได้เข้าชั้นเรียนพิเศษนี้ต่างยอมลดตัวลงมาเป็นพ่อครัวเสียอีก

“ท่านอาจารย์เถา เรียนวิชานี้ยากหรือไม่ มันง่ายกว่าการกลั่นโอสถเช่นนั้นหรือ?”

“น่าจะง่ายไม่ใช่หรือ? แค่เอาวัตถุดิบมาผสมกับสมุนไพรเท่านั้นเอง ข้าว่าเราก็ทำได้ไม่ยากหรอก!” ศิษย์หลายคนที่ไม่สนใจพลันเอ่ยขึ้น

“ไม่ง่ายเลย” อาจารย์เถาส่ายหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้อยู่เมืองฮั่วหยางมาพอสมควร เวลาว่างก็เอาแต่กินของอร่อย จึงนับว่าได้ค้นคว้าอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถทำมันฝรั่งทอดฟื้นปราณออกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่

นักกลั่นโอสถส่วนใหญ่มักจะคลุกคลีอยู่กับโอสถและสมุนไพรวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ คนจำนวนมากจึงไม่รู้จักวัตถุดิบดีนัก หากอยากจะเรียนรู้เรื่องอาหารวิญญาณพิเศษจริง ๆ ก็ต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวกับวัตถุดิบเพิ่มอีกด้วย

นับว่ายากกว่าวิชากลั่นโอสถเสียอีก

มีศิษย์บางคนที่เห็นด้วย เพราะพวกเขาแยกแยะได้แค่ว่าใช้โอสถและสมุนไพรอะไรจากกลิ่นและความหวาน ส่วนที่เหลือ… ก็ไม่รู้สิ่งใดแล้ว

“หึ เรื่องแค่นี้จะยากเพียงใดกันเชียว หากข้ากลับไปแล้วจะลองทำดูเสียหน่อย!”

ศิษย์ที่ไม่เห็นด้วยต่างไม่แยแส แค่ตั้งใจศึกษาให้ดี มันฝรั่งทอดก้อนกลมธรรมดา ๆ เช่นนี้จะไปยากเย็นอะไรกัน

หลังจากหลิงเยว่มาอยู่ที่สำนักกลั่นโอสถ และอาจารย์แต่ละคนเริ่มนำผลงานสุดภูมิใจมาเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน ก็เกิดกระแสการศึกษาและผลิตอาหารวิญญาณพิเศษขึ้น

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท