บทที่ 176 ลองแล้วจะสิ้นชีพอย่างนั้นหรือ?
บทที่ 176 ลองแล้วจะสิ้นชีพอย่างนั้นหรือ?
“อาจารย์ใหญ่ ท่านกินสิ่งใด มันอร่อยจริงหรือ?”
เซี่ยซิ่นรุ่ยมองดูอาจารย์ใหญ่กินองคชาตหมูย่างสองไม้จนหมดด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว อาจารย์หลิงไม่ได้หลอกลวงจริง ๆ” อาจารย์ใหญ่พยักหน้าพลางแย้มสรวล คาดไม่ถึงว่ายิ่งเคี้ยวยิ่งหอม ยิ่งกินยิ่งติดใจ น่าจะดีมากกว่านี้หากได้สุราแสนวิเศษมากินคู่กัน
ราวกับว่าหลิงเยว่ได้ยินเสียงในใจของอาจารย์ใหญ่ นางจึงหยิบขวดสุราวิเศษที่หมักด้วยสมุนไพรวิญญาณออกมา จากนั้นก็จัดการเสียบเนื้อย่างที่เหลือทีละไม้ และเชิญชวนเหล่าอาจารย์และอาจารย์ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นให้มาร่วมกินอาหารด้วยกันอย่างอบอุ่น
วันนี้อากาศดี มีสายลมพัดเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส กลิ่นหอมหวนจากการย่างเนื้ออบอวลไปทั่ว ช่างเหมาะกับการปิ้งย่างเนื้อกลางแจ้งเสียจริง เมื่อทานเสร็จยังมีศิษย์ผู้ช่วยคอยทำหน้าที่ในการย่างอีกตั้งหลายสิบคน!
หลิงเยว่เปิดไหสุรา กลิ่นหอมสดชื่นของสุราหมักอันแสนโอชะแทบกลบกลิ่นหอมของเนื้อย่างในชั่วพริบตา แม้จะคงอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่กลิ่นหอมนั้นช่างติดตรึงใจยากลืมเลือน
สุราสีเขียวอ่อนถูกเทลงในจอกเคลือบสีขาว อาจารย์ใหญ่ยกจอกขึ้นดมก็แยกแยะได้โดยพลันว่าหลิงเยว่ใช้สูตรใด
ช่างคิดช่างทำเสียจริง
อาจารย์ใหญ่ครุ่นคิดในใจ ก่อนจะจิบช้า ๆ ความเผ็ดร้อนแล่นผ่านลำคอขึ้นสู่หน้าผาก แต่ไม่นานความรู้สึกแสบร้อนก็ถูกพลังปราณที่แผ่กระจายออกมาจากสุรากลืนกินจนหมดสิ้น
อาจารย์ใหญ่ดื่มสุราในจอกจนหมด ก่อนจะจ้องมองจอกเปล่าในมือ ในใจอยากลิ้มรสอีกครั้ง สุราวิเศษจากโลกผู้บำเพ็ญเซียนนั้นช่างแตกต่างอะไรเช่นนี้ แม้ผลลัพธ์อาจเทียบเท่าสุราวิเศษชั้นสูงไม่ได้ แต่รสชาติกลับชวนให้ตราตรึงใจยิ่งนัก
“คุณภาพของสุราสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้เทียบเท่ากับโอสถกลั่นลมปราณขั้นกลางแล้ว”
“จริงหรือ?”
หลิงเยว่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำชมเชยเช่นนี้ สุราวิเศษนี้ทำจากสมุนไพรวิญญาณซึ่งเป็นเพียงการทดลอง นางเพียงทำคั่นเวลายามว่างเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเหล่าอาจารย์ต่างก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับสุราสมุนไพรวิญญาณมากกว่าอาหารวิญญาณพิเศษ หลิงเยว่มองดูสุรา ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้!
ราวกับได้ดั่งใจหลิงเยว่ อาจารย์ทั้งชายหญิงต่างก็ไม่รังเกียจสุรา เมื่อได้ยินอาจารย์ใหญ่เอ่ยชม ก็ต่างจิบชิมสุราสีเขียวอ่อนอย่างระมัดระวัง
“เยี่ยมยอด!”
หลังจากที่เถาวั่งดื่มจนหมดจอก เขาร้องออกมาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย! รสชาติเผ็ดร้อนที่แล่นขึ้นมาอย่างฉับพลันถูกพลังปราณกลืนหายไปในชั่วพริบตา มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ!
บรรดาอาจารย์ที่กำลังลิ้มรสสุราหมักจากสมุนไพรวิญญาณและอาหารปิ้งย่างพลางพยักหน้ารัว ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการที่มีชั้นเรียนพิเศษในสำนักนั้นเยี่ยมเสียจริง รู้สึกได้เลยว่าสำนักมีชีวิตชีวามากขึ้น!
พวกเขาผ่อนคลายและเพลิดเพลินกันเต็มที่ แต่เหล่าศิษย์ที่ทำหน้าที่เป็นคนปิ้งย่างกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นพวกเพื่อนร่วมชั้นที่เปรียบเหมือนขอทานรอรับอาหารอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง ก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาเข้าไปใหญ่
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ สิ่งของไร้สาระที่พวกเจ้ากินเข้าไปเมื่อครู่ และสิ่งของสีเหลืองทองที่พันอยู่กับไม้เสียบนั้นคือสิ่งใด?”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นที่ไร้เดียงสาล้วนส่ายหน้า “ในที่สุดเจ้าก็ยอมบอกแล้วหรือ เมื่อครู่ข้าถามพวกเจ้าก็ไม่ยอมบอก!”
“แปลกจริง พวกเจ้าย่างมันขึ้นมา แต่เหตุใดพวกเจ้ากลับไม่กิน?”
ศิษย์ที่ถูกตราหน้าว่าขอทานรอรับของกินเริ่มเข้าใจแล้ว พวกเขารู้สึกว่าไม่รู้ไปเสียเลยจะดีกว่า
“พวกข้าไม่อยากรู้แล้ว ขอเพียงรู้ว่ามันไม่มีพิษภัยและรสชาติเยี่ยมก็พอ…”
“สิ่งนี้คือไส้หมูดำดิน” เซี่ยซิ่นรุ่ยไม่สนใจว่าพวกเขาจะอยากรู้หรือไม่ เขายกไส้ที่ยังไม่ได้นำไปย่างให้สุกชิ้นหนึ่งขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไส้นั้นใช้บรรจุสิ่งใด?”
ศิษย์ที่เพิ่งจะกินไส้หมูย่างเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อครู่ก็ปิดปากไว้ ทันใดนั้นสีหน้าก็เขียวคล้ำ เป็นภาพที่น่าสงสารอย่างแท้จริง
“และสิ่งนี้ ท่านอาจารย์หลิงบอกว่าหมูตัวผู้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น มันพิเศษมาก!”
เหล่าศิษย์ก็ไม่รู้ว่าฮวนฮวนน้อยนั้นสามารถทำหน้าไร้เดียงสาบริสุทธิ์ พร้อมกับถือองคชาตหมูย่างออกมายั่วยวนแล้วพูดคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร
“หมูตัวผู้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น…”
เหล่าศิษย์หญิงต่างมองไปที่ไส้หมูดำดินย่างในมือของฮวนฮวนน้อย แล้วหันไปมองสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนร่วมชั้นชายที่อยู่ข้าง ๆ ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง จากนั้นพวกนางก็อาเจียนออกมา
พวกนางเมื่อครู่กลับคิดว่าของกินที่ทำจากเนื้อหมูนั่นอร่อยมาก ทัดเทียมกับรสชาติของไส้หมู
สกปรกสิ้นดี!
ต่อไปคงไม่กล้ากินของที่ไม่รู้ว่าทำมาจากสิ่งใดแล้ว!
เหล่าศิษย์ที่กินเข้าไปต่างพากันร้องไห้ โวยวายและคลุ้มคลั่ง แต่เหล่าศิษย์ผู้ช่วยที่ทำหน้าย่างอยู่หน้าเตาพากันนั่งหัวเราะ พวกเขารอคอยช่วงเวลานี้จริง ๆ!
“แกล้งพวกเขาเช่นนี้ ต่อไปจะหาคนมาชิมอาหารลำบากนะ”
คำพูดราบเรียบของหลิงเยว่ ทำให้เหล่าศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษรู้สึกสำนึกผิด ความจริงแล้วแม้ศิษย์นอกชั้นเรียนพิเศษ พวกเขาจะอาศัยกินอาหารไปวัน ๆ แต่พวกผู้บำเพ็ญข้างนอกนั้นแม้แต่ของที่ไม่ต้องซื้อยังไม่ยอมให้กินเลย!
ไม่ดีเลย!
เหล่าศิษย์ทั้งห้าสิบรวมตัวกันมุ่งหมายจะจับตัวเพื่อนร่วมชั้นที่ตกใจวิ่งหนีกลับมา เว้นแต่ฮวนฮวนเพียงผู้เดียว
พี่ชายพี่สาวเป็นอะไรกัน
ทั้ง ๆ ที่ไส้หมูและองคชาตหมูย่างอร่อยมาก ฮวนฮวนที่กินแล้วจึงตัดสินใจว่าเลิกเรียนจะนำกลับไปแบ่งให้บิดามารดาได้ลิ้มลองด้วย
เด็กหญิงตัวน้อยหันมองไปรอบ ๆ ซ้ายทีขวาที พลางดูไปและหยิบเนื้อย่างเสียบไม้ที่เตาย่างของตนเองใส่ถุง เมื่อใส่เสร็จแล้วจากนั้นเด็กน้อยยื่นมืออ้วน ๆ ไปที่เตาย่างข้าง ๆ ฉวยโอกาสตอนที่พี่ชายและพี่สาวไม่อยู่ แอบหยิบเนื้อย่างเสียบไม้เพิ่มอีกสักหน่อย เพราะสมาชิกในตระกูลของนางค่อนข้างเยอะ หากจะเอาแค่เนื้อย่างเสียบไม้ที่นางย่างเองคงไม่เพียงพอสำหรับทุกคน!
เมื่อหลิงเยว่เห็นฮวนฮวนคว้าเอาเนื้อย่างเสียบไม้ไปกว่าครึ่งและยังขอ กลับก่อนเวลาเลิกเรียน นางขอให้ตะขาบมรกตสี่ตัวไปส่งฮวนฮวนที่นอกสำนัก ด้านนอกสำนักมีคนของตระกูลเซี่ยคอยอยู่แล้ว ดังนั้นฮวนฮวนคงไม่เป็นอะไร
“ท่านอาจารย์ใหญ่ อาหารมื้อนี้เป็นที่พอใจหรือไม่?”
อาจารย์ใหญ่เห็นแววตาของหลิงเยว่ ก็รู้ว่านางต้องมีเรื่องมาขอร้อง
“มีเรื่องใดก็ขอมาเถิด!”
“ข้าอยากจะเปิดร้านค้าในนามสำนักที่หอเลี่ยนตาน เพื่อขายสุรา สมุนไพรวิญญาณและอาหารปิ้งย่าง พวกท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ไม่ใช่ว่าเป็นการท้าทายหอเลี่ยนตานหรือ?
ช่างกล้าหาญนัก!
เถาวั่งตกใจจนกระดกสุราเข้าไปอึกใหญ่
“หากเจ้าเบื่อชีวิตนัก ลองดูก็ได้”
หลิงเยว่ “…”
ลองแล้วจะสิ้นชีพอย่างนั้นหรือ?
นางเพียงแค่คิดว่าสถานที่นั้นมีผู้คนพลุกพล่าน หอเลี่ยนตานถึงเวลาต้องใช้ประโยชน์จากสุราสมุนไพรวิญญาณทำเงินก้อนโต แต่ไม่คิดว่าแค่เปิดร้านค้าจะถึงแก่ชีวิตกระมัง?
“แล้วที่ใดห่างจากหอเลี่ยนตานที่สุด ข้าไปเปิดที่นั่นก็แล้วกัน”
“ไม่ถึงขนาดนั้น หากเจ้าอยากเปิดจริง ๆ ทางสำนักก็พอจะจัดสรรที่ให้เจ้าได้”
ท่านอาจารย์ใหญ่ถูกหลิงเยว่ขี้ขลาดผู้นี้เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้ ดูเหมือนนางไม่ได้คิดจะท้าทายอำนาจของหอเลี่ยนตานจริง ๆ เขาคงคิดมากไป
“ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่!”
หลิงเยว่มีสีหน้ายินดี การหมักสุราสมุนไพรวิญญาณไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนพนักงานในร้านนางก็มีตัวเลือกแล้ว ศิษย์ทั้งห้าสิบคนของนางอย่างไรเล่า!
การที่สามารถเรียนไปด้วยหาเงินไปด้วย ใครเล่าจะปฏิเสธ?
ช่างเถิด นางก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว จริงอยู่ว่าช่วงแรกธุรกิจอาจจะซบเซาสุด ๆ แต่ทุกอย่างเริ่มต้นก็ยากลำบากเสมอ
เมื่อจบงานเลี้ยงปิ้งย่าง หลิงเยว่ก็อดใจไม่ไหวรีบพาหัวหน้าตะขาบมรกตไปดูหน้าร้านที่ตอนนี้เป็นของนางชั่วคราว
หลังจากนั้นหลิงเยว่มองไปที่ร้านค้าทรุดโทรมคับแคบ ยืนยันข้อมูลตำแหน่งที่อยู่บนกระดาษซ้ำแล้ว ที่นี่ไม่ผิดแน่ แต่ว่า… มันทั้งทรุดโทรมทั้งคับแคบเกินไปแล้ว!
ถ้ามีลมพัดมา ร้านนี้คงปลิวหายไปตามลมแน่
“พี่ชาย ที่นี่คือบ้านเลขที่เจ็ดเจ็ดสี่ ถนนชิงเฟิงใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงเยว่ยังอยากจะยืนยันอีกสักครั้ง หวังว่าตัวเองจะมาผิดที่
“เป็นบ้านเลขที่เจ็ดเจ็ดสี่ที่โด่งดังในฐานะบ้านผีสิงจริง เจ้าจะเช่าร้านนี้หรือ?” ทีนี้กลายเป็นคนที่หลิงเยว่ฉุดแขนไว้ที่ตกใจแทน
“บ้าน… ผีสิงหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่รู้ดีว่าในโลกผู้บำเพ็ญเซียนมีของเช่นนี้จริง ๆ นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว
“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว แต่ในอดีตเจ้าของร้านนี้ส่วนมากล้วนล้มเหลว ไม่ว่าจะกี่พันปีก็เป็นแบบนี้ตลอด จึงได้ชื่อว่าเป็นบ้านผีสิง”
ขณะที่คนเดินถนนรู้สึกเห็นใจหลิงเยว่ก็พูดด้วยเสียงเบาหวิว “ได้ยินมาว่าร้านแห่งนี้ถูกสาปให้รั่วทรัพย์ ผู้ที่เคยเปิดร้านแห่งนี้ล้วนแต่… เฮ้อ!”
“พี่ชาย แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรในตอนท้ายหรือ?”
หลิงเยว่รู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก หรือว่าจะตายกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ในตอนท้ายพวกเขา… กลายเป็นขอทานเลื่องชื่อในเมืองฝู่ซาง!”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังสามครั้งแล้วจากไป ทิ้งให้หลิงเยว่ยืนงงอยู่เพียงลำพัง