บทที่ 196 จะเป็นไปได้อย่างไรที่ยังมีคนไม่มีเงินซื้อกิน?!
บทที่ 196 จะเป็นไปได้อย่างไรที่ยังมีคนไม่มีเงินซื้อกิน?!
เมื่อแผ่นปลาดิบหลากสีสันปรากฏขึ้น เหล่านักชิมต่างถูกดึงดูดให้เข้ามามุงดูอย่างห้ามไม่ได้
“เป็นสีของเนื้อปลา หรือว่าเจ้าหมักด้วยน้ำจากสมุนไพร?” ถึงแม้เถาวั่งจะถามเช่นนี้ แต่ในใจของเขานั้นมีคำตอบอยู่แล้ว คงเป็นทั้งสีของตัวปลาเองและก็เป็นผลจากการแปรรูปครั้งที่สองของหลิงเยว่
เขาได้กลิ่นหอมของสมุนไพรอันเป็นเอกลักษณ์เจืออยู่ในเนื้อปลา แต่ละสีสันบ่งบอกถึงสรรพคุณของโอสถที่ต่างกัน แม้แต่ถ้วยเครื่องปรุงที่วางอยู่ข้าง ๆ ก็ยังมีกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณด้วยเช่นกัน
ท่านอาจารย์ใหญ่คีบแผ่นปลาสีส้มขึ้นมา แล้วหันไปถามหลิงเยว่ว่า “กินเปล่า ๆ อย่างนี้เลยหรือ?”
หลิงเยว่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “หรือจะจิ้มเครื่องปรุงแล้วทานคู่กับผักสมุนไพรหั่นฝอย รสชาติจะยิ่งอร่อยขึ้นเจ้าค่ะ”
เหล่าอาจารย์ที่อยู่ข้าง ๆ รอแทบไม่ไหวแล้ว พวกเขาต่างคีบแผ่นปลาสีชมพูอ่อนขึ้นมาใส่ปาก เนื้อปลานั้นนุ่มจนแทบละลายในปากทันที จากนั้นรสชาติอันแสนอร่อยของเนื้อปลา ก็วนเวียนอยู่บนปลายลิ้น กลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณพลันแปรเปลี่ยนเป็นปราณไหลเข้าสู่ร่างกาย
อาจารย์ใหญ่เลือกที่จะไม่จิ้มเครื่องปรุงใดเลย เนื้อปลานุ่มละมุนแสนอร่อย ไร้กลิ่นคาวกลับเต็มไปด้วยกลิ่นหอม ช่างวิเศษยิ่งนัก!
เถาวั่งคีบแผ่นปลาหลากสีใส่ชามใบหนึ่ง จากนั้นก็ใส่ผักสมุนไพรหั่นฝอยตามลงไป เหยาะน้ำจิ้มเพียงเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักเข้าปากจนหมด
ในทันใดนั้น ทั้งกลิ่นหอม สัมผัสกรุบกรอบ รสชาติกลมกล่อมล้วนมารวมตัวกันอยู่ในปากของเขา แทบอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเพราะความอร่อยแล้ว! ไม่เพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางโอสถที่อยู่ในขั้นกลางด้วย!
ในฐานะที่ซีชางเป็นผู้อุดหนุนอันดับหนึ่ง เมื่อถูกเหล่าอาจารย์เบียดออกไป ก็หยิบกุ้งมังกรตัวใหญ่บนโต๊ะออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่กินหรือ? ข้าเต็มใจช่วยกินให้เจ้าเอง!” หัวหน้าตะขาบมรกตใช้มือซ้ายจิ้มเครื่องปรุงรส ส่วนมือขวาก็ถือปลาดิบที่ถูกกินไปแล้วครึ่งตัว ดูจากสีสันน่าจะเป็นปลาชนิดเดียวกับแผ่นปลาที่ทุกคนกำลังแย่งชิงกันอยู่ ถึงแม้ว่าปากกำลังกินปลา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากกินกุ้งมังกรในมือของซีชางด้วยเช่นกัน
“ข้าจะกิน” ซีชางหันหลังกลับแล้วเดินจากไป หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะเยาะอย่างดูหมิ่น แล้วกินปลาต่ออย่างไม่พอใจ สำหรับหัวหน้าตะขาบแล้ว การกินทีละชิ้นสองชิ้นมันไม่จุใจ ต้องกินทั้งตัวถึงจะสะใจ!
มนุษย์ช่างประดิดประดอยเสียจริง! กินปลาทีละชิ้นสองชิ้น!
เซี่ยซิ่นรุ่ยยังรู้สึกว่าวิธีการกินของหัวหน้าตะขาบมรกตป่าเถื่อนเกินไปเสียด้วยซ้ำ มนุษย์ปกติผู้ใดกันเล่าจะยกปลาทั้งตัวที่ยังดิบไว้ข้างหนึ่ง แล้วจิ้มกับเครื่องปรุงไปด้วยอย่างนี้
เขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้ สหายร่วมชั้นเรียนที่เดินผ่านมาก็กล่าวฟาดใบหน้าของเขาอย่างจัง
“กินแบบนี้มันสะใจยิ่งนัก! หัวหน้าตะขาบมรกตสมกับที่อยู่กับอาจารย์หลิงมานาน ช่างรู้จักกินเสียจริง!”
เซี่ยซิ่นรุ่ยก้มมองปลาที่ถูกแล่เป็นชิ้นบาง ๆ อยู่ในชาม เอาเถิด… หรือว่าจะลองกินแบบทั้งตัวดูเสียหน่อย
หลิงเยว่ที่เพิ่งเบียดเสียดฝ่าฝูงชนออกมาได้ เมื่อเห็นวิธีการกินปลาแบบป่าเถื่อนของลูกศิษย์ นางถึงกับหน้าถอดสี คาดเดาด้วยนิ้วเท้าข้างซ้ายยังรู้เลยว่าต้องเป็นหัวหน้าตะขาบมรกตอย่างแน่นอนที่เป็นผู้สอนการกินเช่นนี้!
“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย ทำกุ้งมังกรให้ข้ากินสักตัวเถิด!”
หลังจากกินปลาไปหลายสิบตัว กินเนื้อย่างเสียบไม้ไปหลายร้อยไม้ ทั้งยังมีซาลาเปา ไส้ย่าง ปลาเผาและอาหารทะเลอีกหลายสิบจานแล้ว แต่หัวหน้าตะขาบมรกตก็ยังอยากกินกุ้งมังกรตัวโตที่อยู่ในมือของซีชางอยู่ดี
“เจ้ากินเข้าไปเท่าไหร่แล้ว! รอข้ามีเวลาว่างก่อน!”
หัวหน้าตะขาบมรกตส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ แล้วเริ่มวิ่งพล่านไปทั่วชั้นอีกครั้งเพื่อหาอะไรกินไปเรื่อย
เวลานี้กุ้งมังกรถูกซีชางกินหมดเกลี้ยงแล้ว เหลือไว้เพียงกองเปลือกกุ้งเท่านั้น และดูเหมือนว่ายังกินไม่จุใจ ซีชางจึงไปนั่งแกะกุ้งผัดกระเทียมกิน
ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับอาหารวิญญาณพิเศษแล้ว หลิงเยว่รู้สึกโล่งอก แต่แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะว่าท่านอาจารย์ใหญ่พูดปกป้องลูกศิษย์ที่เคยถูกไล่ออกจากชั้นเรียนพิเศษอยู่เสมอ นางคงไม่แม้แต่จะเหลียวแลพวกเขาอย่างแน่นอน
หากหลังจากกินอาหารมื้อนี้ พวกเขาต้องการจะกลับเข้ามาเรียนในชั้นเรียนพิเศษอีกครั้ง และสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน นางอาจจะยอมให้พวกเขากลับมาเรียน เพราะเห็นแก่ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ได้
ส่วนเรื่องที่ลูกศิษย์ดื้อรั้นกลุ่มนี้จะสามารถเรียนรู้วิธีการทำอาหารวิญญาณพิเศษได้สำเร็จหรือไม่นั้น หลิงเยว่ไม่กล้ารับรอง เพราะพวกเขาอาจจะกลายเป็นนักฆ่าในครัวแทนเสียเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่สอบไม่ผ่านการทดสอบนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งมาเกือบจะสิบปีแล้ว และอีกคนคือซีชางที่ใช้เวลาถึงแปดปี น่าจะยากลำบากอยู่มากนัก!
ในร้านต้องคำสาปอันทรุดโทรมแห่งนี้ทั้งด้านในและด้านหน้าดูครึกครื้น แต่ลูกค้าที่มานั้นล้วนมาจากสำนักกลั่นโอสถทั้งสิ้น ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาสักคน ซึ่งนั่นทำให้หลิงเยว่รู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก
ทั้งที่มีผู้คนมากมายมายืนมุงดูอยู่ด้านนอก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้ามา
หลิงเยว่จัดแจงปิ่นปักผมของตนเอง หยิบรายการอาหารขึ้นมาแล้วเดินออกมายังถนนพร้อมกับรอยยิ้มอันบริสุทธิ์
ทันทีที่นางปรากฏตัว ผู้บำเพ็ญที่ยืนมุงดูอยู่รอบนอกถนนต่างถอยห่างออกไปในทันที
“พวกท่านอย่าเพิ่งหวาดกลัวกันไปเลย หากมีคำสาปแช่งใด ๆ มันก็คงจะส่งผลกับตัวข้าผู้เป็นเจ้าของร้านผู้นี้อยู่แล้ว ถ้าหากท่านใดไม่สบายใจ สามารถมายืนสั่งอาหารที่นี่ได้ ข้าจะให้ศิษย์นำไปส่ง และพวกท่านก็สามารถมานั่งกินอาหารที่ริมถนนได้เช่นกัน วิธีการนี้ย่อมทำได้อยู่ไม่ใช่หรือ?”
จากนั้นหลิงเยว่เรียกลูกศิษย์สองสามคนออกมาตั้งโต๊ะที่ริมถนน
บรรดาผู้บำเพ็ญที่เฝ้าดูอยู่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกว่าหลิงเยว่พูดมีเหตุผลอยู่บ้าง ประกอบกับพวกเขายังได้กลิ่นหอมโชยออกมาอยู่ตลอด ทำให้อดใจไม่ไหว จึงมีผู้กล้ารายแรกปรากฏตัวขึ้น
ในขณะที่ผู้กล้าหาญผู้นั้นนั่งลงบนเก้าอี้ หัวใจของเขาสั่นระรัว แต่ยังฝืนใจให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลง ทว่าหัวใจที่เพิ่งสงบลงได้เมื่อครู่ กลับต้องสั่นไหวอีกครั้งเมื่อได้เห็นราคาของอาหารแต่ละจานในรายการอาหาร!
“เจ้าคิดจะมาปล้นกันอย่างนั้นหรือ!”
คำพูดนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญที่มุงดูอยู่ต่างพากันชะโงกหน้าเข้ามาดูรายการอาหาร
“กุ้งเผาสมุนไพรวิญญาณกลั่นลมปราณระดับต่ำ จานละสามพันหินวิญญาณระดับต่ำ”
“หม้อไฟเนื้อปูฟื้นปราณระดับต่ำ จานละห้าพันหินวิญญาณระดับต่ำ”
“เนื้อปลาดอกไม้หั่นบางฟื้นฟูระดับต่ำ ทั้งถอนพิษ ห้ามเลือด และบำรุงเนตร จานละสามหมื่นหินวิญญาณระดับต่ำ”
เหล่าผู้บำเพ็ญที่ยืนมุงดูอยู่นั้นต่างพากันอ่านไปพลางรู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก นี่มันไม่ใช่การปล้นในที่ลับ แต่เป็นการปล้นในที่แจ้งชัด ๆ!
ทั้งโต๊ะรวมแล้วแปดแสนแปดหมื่นหินวิญญาณระดับต่ำ!
อาหารที่ราคาถูกที่สุดคือพวกผักย่างเสียบไม้ ซึ่งไม่มีสรรพคุณทางโอสถ ชุดละสามไม้ ราคาห้าหินวิญญาณระดับต่ำ ส่วนพวกผักย่างเสียบไม้ที่มีสรรพคุณทางโอสถ ไม้ละยี่สิบหินวิญญาณระดับต่ำ
เจ้าของร้านอาหารอันทรุดโทรมแห่งนี้ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ตรงหน้าพวกเขา นางไม่เพียงแต่เสียสติแล้วเท่านั้น นางยังคิดว่าพวกเขาจะเสียสติตามไปอีกด้วย!
“ข้าไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าได้แค่ยืนดมกลิ่นอยู่ริมถนน ไม่ใช่เพราะพวกเจ้ากลัวคำสาป แต่เพราะพวกเจ้าซื้อไม่ไหวต่างหาก!” ฝูงตะขาบมรกตนั้นได้สร้างความเกลียดชังไว้มากมาย ทันใดนั้นก็ได้รับสายตาพิฆาตจากผู้คนที่มุงดู มีผู้ที่อารมณ์ฉุนเฉียวที่ตั้งท่าเตรียมโจมตีแล้ว!
“ช้าก่อน! เหล่าพี่น้องทั้งหลายมีอะไรก็คุยกันดี ๆ เถิด เหตุใดต้องต่อสู้กันด้วยเล่า? เหล่าอาจารย์ ผู้อาวุโส และอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกลั่นโอสถของเราก็อยู่ที่นี่ หากเป็นเรื่องใหญ่จะยุ่งยากเอา…” แม้พูดทำทีเป็นห้ามปราม ทว่ายังแฝงนัยข่มขู่เอาไว้ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนัก หลิงเยว่จึงตัดสินใจว่า พอถึงตอนจ่ายเงินจะลดราคาให้ท่านอาจารย์ใหญ่ผู้นี้แปดส่วนแล้วกัน!
จากนั้นนางก็จะทำกุ้งมังกรผัดเผ็ดให้หัวหน้าตะขาบมรกตผู้กล้าหาญกินด้วย เพราะกลอุบายยั่วยุของมัน ทำให้หนึ่งในฝูงชนมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินออกมา ร่างกายประดับประดาด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพง ดูแล้วร่ำรวยเป็นพิเศษ
“จัดอาหารชุดใหญ่มาให้ข้าเลย!” เขาโยนถุงหินวิญญาณหนึ่งถุงไปที่อกของหลิงเยว่ ชายหนุ่มผู้มีฐานะร่ำรวยนั้นมองไปรอบ ๆ ฝูงชนด้วยท่าทางโอ้อวดและหยามเหยียด “จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เมืองฝู่ซางจะไม่มีผู้ที่มีหินวิญญาณระดับล่างถึงล้านก้อน!”
สีหน้าไม่เชื่อของชายหนุ่ม ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ไม่มีปัญญาซื้อจริง ๆ รู้สึกแน่นอยู่ในอก แต่พอจำได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นท่านชายจากตระกูลใด พวกเขาก็ไม่กล้าโวยวาย เพราะหากแตะต้องเขาแม้แต่น้อย อาจจะต้องถูกตามล่าไม่รู้จบเป็นแน่
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ควรยุ่ง ผู้บำเพ็ญที่มุงดูต่างรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก!
ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามของท่านชายผู้นี้ ทำให้เหล่าเศรษฐีที่ซ่อนตัวปะปนอยู่ในฝูงชนทนไม่ไหว จนต้องสั่งอาหารชุดใหญ่ทันที บางคนยังทำเป็นเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า จัดอาหารชุดใหญ่มาสองชุด!
นับว่ามนุษย์นั้นอดทนต่อการยั่วยุไม่ได้จริง ๆ!
หลิงเยว่ยิ้มจนแก้มแทบปริ
ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้มีฐานะร่ำรวยผู้นี้ถูกผู้ใดเชิญมา แต่ดูเหมือนว่าพลังการทำลายล้างของเขาจะมากกว่าหัวหน้าตะขาบมรกตเสียอีก นางต้องหาโอกาสขอคำแนะนำจากเขาเป็นการส่วนตัวเสียแล้ว!