“เจ้าจะถูกตระกูลของพวกเราซื้อไป นับบัดนี้เป็นต้นไป เจ้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานแก่พวกเราตลอดจนชีวิตของเจ้า”
มันเป็นความฝันที่ฉันเคยฝันเมื่อนานมาแล้ว ทั้งๆ ที่เรื่องนั่นก็ผ่านมาสิบกว่าปีได้แล้ว มันก็เพียงแค่ความทรงจำแย่ๆ ที่ฉันรับรู้และเคยฝัน
ฉันนั้นได้ทำอะไรผิดงั้นเหรอ? เป็นเพราะฉันไม่สามารถซ่อนพลังวิญญาณของฉันได้ดีพองั้นเหรอ? หรือว่าฉันทำตัวฉลาดมากกว่าคนอื่นๆ ที่เพราะว่าฉันกลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ? ไม่…ไม่ใช่เลย มันผิดตั้งแต่เกิดใหม่ในโลกห่านี้แล้ว
ฉันนั้นได้เกิดใหม่ในโลกของเกมที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี…ตอนแรกฉันนั้นก็ได้ตื่นเต้นมากๆ หลังจากที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้แต่พอผ่านไปเพียงไม่กี่วัน
ฉันก็ได้รับรู้ความจริงอย่างหนึ่งโลกใบนี้มันช่างโหดร้ายเกินกว่าจะอยู่ มันเลวร้ายเกินไป(จากผู้แปลให้นึกถึง the city ใน project moon นั้นแหละ)
ยิ่งไปกว่านั้น พอหลังจากที่ฉันรู้ว่าตัวเองนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสามารถโกงๆ เหมือนในต่างโลกเรื่องอื่นๆ ตอนนั้นความรู้มันก็ได้เปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง
ในโลกนี้ฉันสามารถที่จะตายได้ตลอดเวลาโดยไม่แม้แต่ทีจะทีมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลักด้วยซ้ำไป
ทำงานอย่างหนักเพื่อฝึกพลังวิญญาณของตัวเอง ซึ่งทั้งอ่อนแอและเปราะบางเกินกว่าจะได้เป็นของที่เป็นผลของการกลับชาติมาเกิด หรือก็คือไม่มีพลังที่มีความสามารถสูงกว่าผู้อื่นเลย
และต้องพยายามเพื่อควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
พลังวิญญาณไม่ใช่แค่พลังในการต่อสู้กับโยวไคเท่านั้น แต่ยังเป็นกลิ่นหอมสำหรับพวกมันโยวไคอีกด้วย
ถ้าเกิดมันยังไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะสู้พวกโยวไคไม่ได้เลย
หรือแม้จะมีพลังแค่ครึ่งเดียว พวกมันก็ฆ่าฉันได้อย่างง่ายๆ อยู่ดี
ดังนั้นฉันจึงฝึกฝนอย่างหนักเพื่อกดพลังและซ่อนพลังวิญญาณของฉัน
จริงๆ นะ…มันยากสุดๆ เลย เซ็ดติ้งของ’หิ่งห้อยรัตติกาล(Yamiyo no Hotaru)’
ที่ยิ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภาคเหนือของญี่ปุ่นหรือภูมิภาคโฮคุริคุ(Hokuriku)
ซึ่งก็คือช่วงหน้าหนาวมันช่างโหดร้าย และฉันนั้นได้เกิดในหมู่บ้านอันหนาวเย็นในดินแดนที่สุดแห้งแล้ง
ซึ่งอยู่กับพี่น้องอีกสามคน เด็กๆ นั้นเป็นกำลังแรงงานอันล้ำค่าในหมู่บ้าน
เมื่อได้ถึงเวลาที่่ฉันก็จำชาติที่แล้วได้
ฉันก็ได้เพียงแค่ใช้จอบขุดดินในขณะที่ท้องร้องคล้ำคลวญ
ต้องตักหิมะออกไปพร้อมกับร้องเท้าแตะผ้าใบอย่างหนาวสั่น
และได้ใช้เวลาอันมีค่าทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อระงับพลังจิตวิญญาณของฉัน
ซึ่งเป็นอีกวันที่ฉันคิดได้เพียงอย่างเดียวคืออนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ความสนุกของฉันเพียงไม่กี่อย่างก็คือตอนที่ฉันนั้นได้ดูแลน้องชายหรือน้องสาวคนเล็กของฉัน
หรือแม้แต่ดูแลเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านนี่ด้วย
ฉันนั้นได้เล่านิทานให้พวกเขาฟังซึ่งเป็นนิทานที่ฉันรู้มาจากชาติก่อน และสอนให้พวกเขาอ่าน เขียน และสอนเลขคณิตอย่างง่าย
เด็กๆ นั้นช่างบริสุทธิ์ พวกเขาชื่นชมยื่นยอฉันและไม่ได้ตั้งคำถามใดๆ เลยเกี่ยวกับนิทานที่ฉันได้เล่า
มันช่างเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะพูด
ซึ่งมันเป็นงานอดิเรกไม่กี่อย่างที่ฉันมี
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเองที่ฉันเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง
วันหนึ่งมีแขกที่แต่งตัวดีมาที่หมู่บ้านของเรา
ผู้ใหญ่บ้าน(จากผู้แปล นึกถึงมีมต้องรีบแจ้งผู้ใหญ่บ้าน)มักจะเรียกร้องส่วยจำนวนมากและมักสั่งให้เราทำงานบ้าน
และเขาก็ได้มองพวกเราแวบหนึ่งขณะที่เราก้มศีรษะอย่างสิ้นหวัง
แต่อยู่ๆ ฉันนั้นก็ได้รู้สึกหายใจไม่ออก ทันใดนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่หลั่งไหลล้นจากร่างกายของฉัน
มันทำให้ฉันคลื่นไส้สุดๆ
ไม่สิ ในตอนนั้นฉันจำได้ว่าตัวเองถึงกับอาเจียนเลยแหละ
ฉันนั้นได้รับพลังวิญญานมากเกินไปและได้ล้มลงไป
ฉันอาเจียนอย่างกับพวกคนเมา
ถึงแม้จะไม่มีอะไรอยู่ในท้องมากนักเลยก็ตาม
ฉันอาเจียนทั้งๆ ที่มีเพียงแต่น้ำย่อย
หัวของฉันนั้นปวดหัวเหมือนกับพวกคนเมา
วิสัยทัศน์ของฉันเริ่มไม่ไหว
และสติของฉันก็ดับลง
เสียงที่อยู่รอบๆ ตัวฉันก็หายไปเช่นกัน
มันเป็นเสียงที่ยากจะฟังออกว่าพวกเขาพูดอะไร
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำทั้งที่อยู่บนพื้นดิน
อย่างไรก็ตาม ฉันนั้นรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านตะโกนใส่ฉันแล้วหยิบแส้ของเขาออกมา
ฉันคิดว่าตัวเองจะโดนแส้ตีแล้วแต่ว่าพวกแขกที่อยู่ที่หมู่บ้านก็ได้เข้ามาห้ามปราม
ในช่วงเวลานั้น ฉันได้มองร่างที่อยู่ด้านบนฉัน ฉันมั้นใจได้เลยล่ะว่าพลังของฉันได้ถูกเปิดเผยออกไปแล้ว
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ฉันถูกจับตามองอยู่ เมื่อนึกย้อนกลับไป มันต้องเป็นเทคนิคประเภทดวงตาอย่างหนึ่งแน่ๆ
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยของผู้ใหญ่บ้านและพ่อแม่ของฉัน
และฉันถูกแขกพาตัวไปโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นและพวกเขาก็มอบเงินให้กับพ่อแม่ของฉันและผู้ใหญ่บ้าน
จากนั้นฉันก็เห็น พี่น้องของฉันไล่ตามฉันพร้อมกับน้ำตา
แต่พวกเขาก็ถูกพ่อแม่ของฉันห้ามไว้
และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นครอบครัวของฉัน
หลังจากวันนั้น
ความทรงจำของฉันก็รู้สึกพร่ามัว แต่ว่าฉันยังจำได้แม่นอยู่อย่างหนึ่งคือพวกเขาถามฉันบางคำถามขณะที่พาตัวฉันไป
พวกเขาพาฉันขี่ม้าข้ามภูเขาซึ่งไปกับพวกเขาเป็นเวลาหลายวัน
ฉันจำได้ว่าพวกเขาให้ฉันถอดผ้าขี้ริ้วและสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมในโรงเตี๊ยมระหว่างทางที่กำลังไป
จากตอนนั้น
ความทรงจำของฉันก็อย่างกับถูกหมอกปดบางเอาไว้
แต่ที่ฉันยังจำก็คือได้เดินผ่านประตูบ้านของตระกูลคิซึกิ ที่ฉันเคยเห็นในเกม
จากนั้นฉันก็ถูกจูงมือเดินตามทางเดินและถูกพาไปที่ห้องบางอย่าง
ทันทีที่ประตูบานเลื่อนถูกเปิดออก
มันมีสองสิ่งที่ทำให้ฉันตกใจขณะหนึ่งเลย
อย่างที่หนึ่งก็ฉันเห็นความสวยของเธอคนนั้นจนถึงกับตลึง
อย่างที่สองอยู่ๆ ประตูเลื่อนก็ถูกปิด(จากผู้แปล ดันแปลเพลง Kami no Manimani ตอนเพลงกำลังถึงจังหวะร้องพร้อมกันหลายๆ คน ตอนเจอฉันนี้ รั่วเลย)
ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว
ฉันสังเหตุว่าตอนนี้ตัวเองถูกขังในคูน้ำที่ฉันไม่สามารถหนีออกมาได้(จากผู้แปล ditch แปลว่าคูน้ำงี้ปล่าวว่ะ)
“รู้หรือไม่เด็กน้อย การดูแลสาวน้อยหน้าม้าคนนั้นคงจะต้องระมัดระวังมากเลยสินะ? เจ้าน่ะฉลาดเกินอายุตัวเองจริงๆ เจ้าน่ะดูแลเธอคนนั้นไว้อย่างดีเลยสินะ? เจ้าอาจจะเข้ากับเธอได้ดีก็ได้นะ เพราะมีสายเลือดชาวนาเหมือนกัน”
ผู้ใหญ่คนที่พาตัวฉันมาด้วยนั้นได้กลับไป ทิ้งฉันให้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันได้แต่มองเด็กผู้หญิงที่ใส่ผ้าปิดตาคนนั้น แต่ฉันก็ไม่อยากจะอยู่นิ่งๆ ที่นี้ตลอดไปหลอกนะ ดังนั้นฉันเลยจ้องหน้าเธออีกครั้ง
“เจ้ามีปัญหาที่หน้าข้ารึ? เจ้าเป็นใครกันแน่? หรือเจ้าเป็นอะไรกันแน่”
คำพูดของเธอนั้นช่างน่ารังเกียจอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในตระกูลคิซึกิ
ซึ่่งเป็นตระกูลผู้ปัดเป่าที่โด่งดัง
เธอทำตัวเหมือนลูกของชาวนาในแถวๆ ชนบท
จากที่ฉันเคยสังเกตุเห็นเด็กมากมายในหมู่บ้านของฉัน
ไม่สิ…มันหนักมากกว่านั้นอีก
“..? เจ้าจะมองข้าอีกนานแค่ไหนห่ะ มึงเก๋าหรอ?”
สาวสวยผมสีเข้ม(จากผู้แปล ผมสีดำนั้นแหละ) มองมาที่ฉันและพูดคำไม่สุภาพและมีสีหน้ารำคาญนิดหน่อย
และเธอก็ยังสวมชุดกิโมโนที่ไม่เรียบร้อยอีก นางไม่การทั่งจะรวบผมหรือหวีผมด้วยซ้ำ
และดูจากดวงตาของเธอ ฉันมองเห็นถึงความไม่เป็นมิตรสุดๆ เลยละ
…แต่ว่าฉันรู้ตัวอยู่อย่างหนึ่ง
“โทษทีนี้ แต่ว่าข้าแค่คิดว่าท่านดูน่ารักเกินไปเท่านั้นเอง”(จากผู้แปล เปโดไอ้เหี้ย)
แหม เนื่องจากเราทั้งคู่ดูเหมือนเด็ก ฉันจึงพูดจาโผงผางออกไป โดยไม่คิดอะไร(จากผู้แปล พวกเปโดทุกคนก็แก้ตัวกันงี้แหละ)
เด็กหญิงที่มีความอดทนต่ำแม้แต่ภายในเกมนั้นตกใจกับคำพูดเพียงคำเดียว จากนั้นเธอก็ดูเขินอายเล็กน้อย ภายใต้รอยยิ้มแบบเด็กๆ ของเธอ(จากผู้แปล bro)
ฉันก็ได้คิดอย่างใจเย็นชั่วครู่’เธอนั้นก็ยังมีนิสัยเด็กๆ นี่น่า’
“อืม…พวกผู้ใหญ่ได้พวกว่าต่อจากนี่ข้าจะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า นามของข้าคือ…”(จากผู้แปล your name ref บ่หนิ)
ในตอนนั้น ฉันคงจะมีความคิดมากมายอยู่เต็มหัว บางทีอาจจะเต็มไปด้วยความคับแค้นใจจากชีวิตที่ยากลำบากที่ฉันผ่านพ้นมา
ดังนั้นฉันจึงเข้าไปหาเธอโดยไม่คิด
หวังว่าจะได้ลิ้มรสน้ำหวานของเธอ(ผู้แปลจริงๆ คำน้ำหวานอาจแปลว่าผลประโยชน์ แต่อยากทำให้เครดิตเขาเสียเฉยๆ)
แต่ มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยล่ะ
ฉันไม่ควรทำการกระทำแบบนั้นและโลภมากเช่นนั้น จริงๆ แล้วมันเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายและไม่อาจย้อนกลับได้เลย(ผู้แปล โดนFBI เล่นงานไปแล้ว)
“โอะ? เจ้าตื่นแล้วงั้นรึ ข้าควรพูดว่าอรุณสวัสดิ์รึเปล่านะ? อุ๊ย”
หลังจากฉันตื่นขึ้นมาแล้วฉันก็หยิบหอกของฉันแล้วก็หันไปแทงเธอซึ่งกำลังจ้องใบหน้าของฉัน
แน่นอน ปีศาจตัวนี่ต้องหลบได้แม้จะเฉียวเส้นผมหน่อยหนึ่งตามที่ฉันคาดไว้
“ตกใจหมดเลย ทำไมข้าต้องโดนแทงทันทีหลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาด้วยเล่า?”
“แหมถามโง่ๆ อีดอกนี้ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ เจ้าใช้ยาสลบใส่ข้าใช่หรือไม่”
ฉันพยายามนึกความทรงจำที่ค่อนข้างเหมือนมีหมอกคุมของฉัน
“โอ้เจ้าจำได้ด้วยรึ? แหมๆ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ ที่เจ้าแม้ไม่ต้องกินก็ยังมีแรงเพราะนอนนี้”
อีนี้้แม่งพร่ามเหี้ยไรว่ะแต่ก็ฉันยกคิ้วขึ้นมองปีศาจผู้ที่เป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้
ตัวนี้ฉันค่อนข้างตื่นตกใจหลังจากที่พึ่งนอนโดยไร้การป้องกันข้างๆ เธอด้วย
เธอกินร่างกายฉันไปยังนะ?
ฉันตรวจดูนิ้ว,จมูก,หู,อื่นๆ
เพื่อมั่นใจว่าตัวเองยังไม่โดน”แทะ”ที่ไหน
ปีศาจได้ยักไหล่ตัวเอง
“เจ้านี้ระวังมากกว่าปกติอีกนะ? ทำไมถึงไม่เชื่อใจข้าเลยละ”
“ใครแม่งจะไปเชื่อพวกปีศาจถามจริงเหอะ?”
ฉันมองดูขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านรูในถ้ำ และดูเหมือนว่าจะไม่มีหมอกแล้ว
“อ่อแล้วก็ข้าน่ะไปแตะโยวไคเมื่อวานด้วยน่ะ ปัจจุบันน่าจะบาดเจ็บพอสมควรอยู่”
“ข้าว่าแล้วคนที่กระซิบใส่ข้าเมื่อวานตอนกำลังสู้อยู่นี้เป็นเจ้าจริงๆ ด้วยสินะ”
เสียงดังลั่นตาม ด้วยอยู่ๆ การโผล่มาของหมอกนั้น ก็เป็นฝีมือเธอรึเปล่านะ?
(แต่ว่า โยวไคที่ยังมีชีวิตหลังจากที่เธอถูกเตะไปแล้วเนี้ยนะ? สงสัยตอนที่หมอกนั้นคงจำกัดความสามารถของเธอไปด้วยสินะ?…)
“อ่อแล้วก็โยวไคตัวนั้นก็ดูสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่และดูเดินไม่ค่อยได้ จนลูกน้องของเจ้่านั้นต้องแบกมันไป”
“…”
“เฮ้ๆ อย่าพึ่งสงสัยข้าสิ แม้ปีศาจจะโกหกแต่ก็ไม่โกหกตลอดเวลาสักหน่อย”
ฉันเบือนหน้าหนีจากปีศาจที่หัวเราะและพยายามหลอกลวงฉัน
แล้วฉันก็คิดคัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยคนที่สร้างหมอกนั้นให้แคบลง
โชคดีที่ฉันเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับโยวไคหลายเล่มจากเจ้าหญิงกอริลลาเพราะความอยากรู้อยากเห็น
ดังนั้นผู้ต้องสงสัยจึงปรากฏขึ้นในทันที
“เจ้าหอยนั้นคงเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้สินะ?”
ถ้าเกิดมันมีร่างกาย
ใช้หมอกลวงตา
ไม่มีร่างมนุษย์
เคลื่อนที่ช้า
ก็น่าจะเป็นปีศาจตัวนั้นสินะ
“ชิน/เชน(蜃)”…เจ้าหอยยักษ์นั้นคงจะเป็นคนสร้างมันสินะ เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกเล่าขานกันมาหลายยุคตั้งแต่ในชาติที่แล้ว
ภายในเกม’หิ่งห้อยรัติกาล(yamiyo no Hotaru)’ มันโผล่มาฐานะโยวไค
ในเกม เป็นโยวไคตัวใหญ่และทรงพลังได้ทรมานพระเอกโดยแสดงภาพหลอนของคนในตระกูลที่ตายไปแล้ว
ไม่รู้ว่าใช่ตัวเดียวกันรึเปล่า แต่ก็ยังโชคดีอยู่
มันไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะสู้โดยตรง
ตัดสินจากตอนสู้กับพวกโยวไคในหมอกเมื่อวัน
และมันคงจะอ่อนแอมากๆ พอที่โดนแตะทีเดียวโดยปีศาจตรงหน้าฉัน
(ตัวละครของคิซึกิ อายากะ แม้ว่าเธอจะเป็นคนรับใช้เหมือนฉัน แต่เธอคงจะไม่ทิ้งฉันไว้ที่นั่นถ้าเธอไม่แน่ใจว่าฉันตายไปแล้วจริงๆ พวกเขาคงจะหาวิธีจัดการไปแล้วสินะ)
ในการต่อสู้เมื่อวัน การเคลื่อนไหวของเธอค่อนข้างขาดความแม่นยำ น่าจะเพราะความกังวลใจ
ฉันได้ร่วมทำงานของเธอหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้มีผู้ปัดเป่าที่แก่กว่าเธอไปด้วย
ภายในเกมเธอเป็นคนค่อนข้างที่จะขี้ลังเล ไม่เด็ดขาด
แต่ตอนนี้เธอคงจะอยู่ในภารกิจเดี่่ยวครั้งแรกของเธอ
มันน่าจะเป็นอย่างนั้น แม้จะคิดอย่างนั้นก็ตาม
การสำเร็จภารกิจคงไม่ใช่เรื่องยาก
“งั้นข้าควรจะไปร่วมกับคนอื่น…ห่ะ”