บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1326 ภูมิภาคบรรลุเทพ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1326 ภูมิภาคบรรลุเทพ

บทที่ 1326 ภูมิภาคบรรลุเทพ

ร่างทั้งสองยืนอยู่บนยอดเขาโบราณ

ร่างหนึ่งสูงโอ่อ่า เกรงขาม และน่าภาคภูมิประหนึ่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ร้อนแรง ส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จนไม่อาจเหลียวมองได้

อีกร่างผอมเพรียวเด่นสง่า กระโปรงพลิ้วไหว เส้นผมสีดำมัดเป็นมวย ประดับด้วยมงกุฎดอกไม้ละเอียดอ่อน โดยมีวงแสงสีเงินอ่อนปกคลุมทั่วร่าง ทำให้ดูเหมือนเทพธิดาผู้ย่างก้าวออกมาจากภาพวาด

ชายหญิงคู่นี้ต่างมีร่างยิ่งใหญ่สุดคณานับจนท้องนภาสั่นสะเทือน ราวกับสองราชันผู้เดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินเพื่อเฝ้ามองโลก ดูเด่นเป็นสง่าไร้ที่ติ

ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาคือศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวา

สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกตะลึงก็คือเสียงของผู้ชายเมื่อครู่ที่เรียกเตียนเตี้ยนว่า ‘สหายเต๋ารัตติกาล’! นี่ไม่เท่ากับว่าผู้หญิงข้างกายที่มักเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์กับร่างอันงดงามตะลึงทั่วหล้าคือ ‘ราชันเซียนรัตติกาล’ ผู้เป็นหนึ่งในสี่ราชันเซียนในภพเซียนหรอกหรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ซับซ้อนภายใน

ก่อนหน้านี้ เขาเงยหน้ามองสี่ราชันเซียนเหมือนกับสรรพสิ่งทั้งหลายในภพเซียน ด้วยความสงสัยว่ารูปลักษณ์และตัวตนของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่คาดไม่ถึงว่าราชันเซียนรัตติกาลจะติดตามเขาจนถึงตอนนี้…

“ก็เจ้าไม่เคยถามชื่อข้าเองนี่นา”

เตียนเตี้ยนกะพริบตามองเฉินซีแล้วยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะพาเขาขึ้นยอดเขาโบราณไป

“สหายเต๋าสืออวี๋ แม่นางหลี”

นางพยักหน้าให้ทั้งสองคนพลางแย้มยิ้ม แล้วส่งกระแสปราณมาหาเฉินซี “ทางด้านซ้ายคือสืออวี๋ เป็นศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา ส่วนด้านขวาคือเซียงหลิวหลี ผู้สืบทอดของตระกูลเซียงหลิว นางคือหนึ่งในศิษย์เอกของตำหนักเต๋าหนี่หวา พวกเขาต่างอยู่ขอบเขตราชันเซียน ครั้งนี้พวกเขาจะไปกับเจ้า”

เฉินซีลอบตกตะลึง ถึงกับมีตัวตนขอบเขตราชันเซียนสองคน!

นี่ทำให้เขานึกถึงเขาเทพพยากรณ์ ในบรรดาศิษย์ทั้งสิบสามคนของเขาเทพพยากรณ์ นอกจากเขาแล้ว พี่น้องส่วนใหญ่อาจจะอยู่ขอบเขตราชันเซียนแล้วใช่หรือไม่?

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น อาจจะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทราบว่าระดับการบ่มเพาะของศิษย์แห่งเขาเทพพยากรณ์สูงส่งเพียงใด

“นี่คือเฉินซี เป็นสหายของข้า ครั้งนี้เขาจะมุ่งหน้าไปภูมิภาคบรรลุเทพ” สิ้นคำ เตียนเตี้ยนแนะนำตัวตนของเฉินซีอย่างรวบรัดให้อีกฝ่ายฟัง

เพียงพริบตา เฉินซีรู้สึกถึงสายตาสองคู่กำลังตรวจสอบร่างกายราวกับถูกจับจ้องโดยเทพสูงสุดสองตน ทำให้เขารู้สึกหดหู่ประหนึ่งความลับทั้งนอกในต่างถูกอีกฝ่ายสำรวจจนหมดสิ้น

แต่เพียงชั่วพริบตา สายตาสองคู่นั้นก็ถอนกลับไป ทำให้เฉินซีเกือบคิดว่าเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา

“เดี๋ยว ไม่ใช่สิ”

ทันใดนั้น สืออวี๋เอ่ยด้วยความประหลาดใจ โดยแสงสว่างเจิดจ้ารอบข้างหมองหม่นจนเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง เขาถึงกับเป็นผู้ชายที่มีจอนเหมือนดาบ คิ้วกว้างและสวมชุดคลุมสีดำ

สีหน้าของเขาเนียนเรียบและโปร่งแสง ซึ่งมีต่างหูดาบบินกระดูกสีขาวราวกับเข็มห้อยอยู่ที่หูข้างซ้าย ยิ่งทำให้มีกลิ่นอายเย็นเยือกและเหินห่างจนน่าขนลุก

ตอนนี้ เขาคิ้วขมวดขณะมองเฉินซี ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“มีอะไรหรือ?”

เตียนเตี้ยนม้วนเส้นผมสีดำอ่อนซึ่งทัดอยู่ข้างหูอย่างไม่ใส่ใจขณะเอ่ยคำอย่างเนิบช้า ร่างของนางวูบไหวอย่างไร้ร่องรอยก่อนจะมายืนอยู่ข้างเฉินซี

“พี่รัตติกาลดูแลเด็กคนนี้ดีเหลือเกิน”

เมื่อเห็นดังนี้ เซียงหลิวหลีซึ่งอยู่ข้างกายก็มองเตียนเตี้ยนอย่างมีนัย จากนั้นก็ยิ้มอ่อนราวกับบุปผาแรกแย้มหลังฝน มันช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่งดงามและสดใสยิ่ง

ผู้หญิงคนนี้สวมมงกุฎดอกไม้ละเอียดอ่อน เสื้อผ้าปลิวไสว ท่วงท่าสงบนิ่ง ผิวพรรณขาวเนียน ร่างผอมเพรียวราวกับจะถูกลมพัดปลิวได้ทุกขณะ

“มันก็ช่วยไม่ได้ ข้าต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเขาในฐานะที่เป็นคนพามาที่นี่”

เตียนเตี้ยนยักไหล่ขณะเอ่ยตามความจริง

“ข้าจำได้ว่าเคยพาเจ้ามาจากแดนไกลตอนอยู่บนสมรภูมินอกพิภพเหมือนกันนี่”

ตอนนี้สืออวี๋เงยหน้าขึ้นแล้วกะพริบตาไปมา แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์วาบไหวไปมาขณะจับจ้องเฉินซี แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและซับซ้อนจนยากจะอธิบาย “หมายความว่า… เจ้าคือเด็กคนนั้น…”

คำตอบนี้ทำให้ทั้งเตียนเตี้ยนและเซียงหลิวหลีตกตะลึงและสับสนเล็กน้อย

ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น แม้แต่เฉินซีก็ตกตะลึง เขานึกไม่ออกเช่นกันว่าได้พบกับตัวตนขอบเขตราชันเซียนจากตำหนักเต๋าหนี่หวาตอนอยู่ที่สมรภูมิต่างพิภพตั้งแต่เมื่อไหร่

“ศิษย์พี่สืออวี๋ เจ้ามัวคาดเดาอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่บอกข้า?”

เดิมทีเซียงหลิวหลีไม่สนใจเกี่ยวกับเฉินซีมากนัก แต่เมื่อเห็นสืออวี๋มีการตอบสนองเช่นนั้น นางก็พลันเข้าใจว่าต่อให้เด็กคนนี้จะมีการบ่มเพาะอยู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง แต่ก็คล้ายกับมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา

สืออวี๋ส่ายหน้าด้วยท่าทีหนักแน่น “ช่างเถอะ ไม่ควรค่าที่จะพูดให้ฟังหรอก”

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกอีกฝ่ายว่าตอนอยู่บนสมรภูมินอกพิภพ เขาเกือบช่วงชิงหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์ที่เด็กหนุ่มคนนี้ได้มาไปต่อหน้าจนถึงขั้นเกือบปะทะกับหลี่ฝูเหยาผู้เป็นผู้อาวุโสสามแห่งเขาเทพพยากรณ์…

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ในตอนนั้นหลี่ฝูเหยาบอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะข้องเกี่ยวกับศิษย์ในสำนักที่เพิ่งกลับชาติมาเกิดก็ได้

เขายังยืนยันเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะปฏิเสธ

แต่ถึงอย่างนั้น สืออวี๋พอจะเข้าใจว่าเหตุใดราชันเซียนรัตติกาลถึงอยากพาเด็กหนุ่มคนนี้มาเข้าร่วมแผนการในครั้งนี้ด้วย

น่าเสียดายที่พละกำลังของเขาไม่แข็งแกร่งพอ…

เมื่อเห็นว่าสืออวี๋ไม่เอ่ยอะไร เตียนเตี้ยนจึงยิ้มออกมา ส่วนเซียงหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะมองเฉินซีอีกครั้ง แต่นางก็ต้องผิดหวังที่ไม่พบสิ่งพิเศษในตัวของเด็กคนนี้แม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกว่า ‘เด็กคนนี้’ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขมขื่นอยู่ภายใน เขาตัวเล็กขนาดนั้นเชียวหรือ?

แต่เขาทราบเช่นกันว่าตัวตนขอบเขตราชันเซียนทั้งสามผู้อยู่ตรงหน้า แม้จะมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ แต่พวกเขาก็บ่มเพาะมาหลายปี จึงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงที่จะเรียกพวกเขาว่าผู้อาวุโส

แน่นอนว่าเขาไม่อยากเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส ถึงอย่างไรตนก็เป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ จะมาสูญเสียตัวตนต่อหน้าศิษย์แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาไม่ได้!

ไม่ช้า สืออวี๋ก็สลัดความคิดเกี่ยวกับเฉินซีออกไปแล้วเอ่ยตามตรง “จากการคาดเดาของข้าก่อนหน้านี้ ภูมิภาคบรรลุเทพจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในอีกสามวัน แต่ครั้งนี้ออกจะยากเสียหน่อย ไม่เพียงแค่นิกายอำนาจเทวะเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนจากนิกายยุคแรกกำเนิดทั้งหลายที่หมายตาภูมิภาคบรรลุเทพเอาไว้ เกรงว่าจะเกิดข้อพิพาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

ภูมิภาคบรรลุเทพหรือ?

เฉินซีตกตะลึง ถึงแม้จะไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้เท่าไหร่ แต่เขาพอจะบอกได้ว่าวาสนาที่ราชันเซียนทั้งสามตรงหน้าตั้งใจจะแสวงหาจากซากโบราณสถานแรกกำเนิดจะต้องอยู่ในภูมิภาคบรรลุเทพอย่างแน่นอน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครอยู่ที่นั่น?”

ในตอนนี้ สีหน้าของเตียนเตี้ยนจริงจังขึ้นมา โดยความสงบของนางเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

“ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวคือสองในเจ็ดศิษย์เอกของนิกายอำนาจเทวะ”

คำตอบมาจากเซียงหลิวหลี ดวงดาวซึ่งอยู่ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยระลอกคลื่นของแสงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะเอ่ยคำอย่างเนิบช้า “ซุ่ยเหรินถิงอยู่อันดับสองในบรรดาศิษย์เอกเจ็ดคน เขาคือผู้สืบทอดของตระกูลซุ่ยเหรินและควบคุม ‘เจดีย์วิถีพญาปราชญ์’ ของนิกายอำนาจเทวะ ความแข็งแกร่งของเขาเทียบเท่ากับพี่เต๋าสืออวี๋”

“เจี้ยงหลิงเซียวอยู่อันดับห้าในบรรดาศิษย์เอกเจ็ดคนของนิกายอำนาจเทวะ จุดกำเนิดของนางลึกลับ จึงไม่สามารถระบุความแข็งแกร่งได้ จากการคาดการณ์ พละกำลังของผู้หญิงคนนี้จะต้องเหนือกว่าขอบเขตราชันเซียน จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด”

ศิษย์เอกทั้งเจ็ดจากนิกายอำนาจเทวะ!

ผู้สืบทอดของตระกูลซุ่ยเหริน!

เจดีย์วิถีพญาปราชญ์!

คำพูดเหล่านี้ช่างไม่คุ้นหูสำหรับเฉินซี แต่พวกมันทำให้เกิดความเข้าใจต่อนิกายอำนาจเทวะขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะยังคลุมเครือ แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป

“ซุ่ยเหรินถิง เจี้ยงหลิงเซียว…” เตียนเตี้ยนคิ้วขมวดเล็กน้อย “หากมีแค่นั้น ด้วยพละกำลังของพวกเราสามคน ย่อมสามารถจัดการอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ยังมีอะไรที่ลึกลับยิ่งกว่านี้หรือไม่?”

สืออวี๋พยักหน้า “พวกซุ่ยเหรินถิงมาถึงก่อนพวกเรา ตามข่าวที่ข้าได้มา เล่อเชียนโฉวผู้เป็นเจ้าสำนักแห่ง ‘นิกายสววรค์สุญตา’ ได้ตกลงที่จะร่วมมือกับพวกเขา”

“เล่อเชียนโฉวหรือ? คนผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน?” เตียนเตี้ยนตกตะลึงเล็กน้อย

เท่าที่นางทราบมา นิกายสววรค์สุญตานี้เคยเป็นนิกายทรงอำนาจในช่วงยุคบรรพกาล มรดกของพวกเขาไม่ธรรมดา แต่ศิษย์ทำตัวไร้ศีลธรรมและทำการกดขี่สิ่งมีชีวิตจากทุกเผ่าพันธุ์ด้วยอุบายทั้งหลาย ทำให้ตัวตนเลื่องชื่อแห่งเขาเทพพยากรณ์เดือดดาลขึ้นมา ก่อนจะบุกไปทำลายนิกายและเข่นฆ่าศิษย์ทั้งหลาย แม้กระทั่งมรดกก็ยังถูกทำลาย เหตุการณ์นี้ทำให้สร้างความฮือฮาไปทั่วหล้าจนทุกเผ่าพันธุ์ตกตะลึง

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ นิกายสววรค์สุญตายังรอดมาได้ บัดนี้เล่อเชียนโฉวผู้เป็นเจ้านิกายก็ปรากฏตัวขึ้น

“คุณสมบัติของตาเฒ่านี่ไม่ควรค่าที่จะพูดถึง ขนาดบ่มเพาะมาเป็นแสนปีแต่เพิ่งจะก้าวพ้นธรณีของขอบเขตราชันเซียน ถึงจะบอกว่าจัดการได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นปัญหาเล็กน้อย”

สืออวี๋คิ้วขมวดแล้วเอ่ยคำ “เล่อเชียนโฉวเป็นคนที่มีชื่อเสียงและติดต่อกับกองกำลังมากมายในยุคบรรพกาล สิ่งที่ข้ากังวลก็คือนิกายอำนาจเทวะจะใช้เล่อเชียนโฉวเป็นตัวหมากเพื่อดึงดูดให้กองกำลังอื่นมาเข้าร่วม”

เตียนเตี้ยนเอ่ยอย่างมีนัย “นี่นับว่าเป็นปัญหาไม่น้อย แต่ภูมิภาคบรรลุเทพไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากจำนวนเสมอไป มันมีข้อจำกัดของทวยเทพอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงได้”

เฉินซีไม่อาจแทรกในบทสนทนาดังกล่าวได้ ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน จึงทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ พลางจดจำข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างเงียบงัน

ยกตัวอย่างเช่น นอกจากพวกเขาแล้ว กองกำลังที่มุ่งหน้าไปภูมิภาคบรรลุเทพในครั้งนี้ยังมีซุ่ยเหรินถิงกับเจี้ยงหลิงเซียวซึ่งเป็นสองผู้สืบทอดของนิกายอำนาจเทวะ รวมถึงเล่อเชียนโฉวผู้เป็น เจ้านิกายสววรค์สุญตา

และในภูมิภาคบรรลุเทพยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ข้อจำกัดของทวยเทพ’

ข้อมูลนี้อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับเฉินซีในตอนนี้ ทว่ามันอาจจะได้ใช้หลังจากเข้าภูมิภาคบรรลุเทพ

“ช่างเถอะ วันนี้อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย เดี๋ยวจะหมดกำลังใจกันเสียเปล่า”

สืออวี๋พลันเปลี่ยนเรื่องขณะมองเซียงหลิวหลีผู้อยู่ข้างกาย สีหน้าที่เย็นชาและโดดเดี่ยวกลับอ่อนลงหลายส่วน “วันนี้เป็นวันเกิดของศิษย์น้องหลี แม้นางจะไม่ได้อยู่ในสำนัก แต่พวกเราควรเฉลิมฉลองในวันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้”

เซียงหลิวหลีตกตะลึง ประกายแปลกประหลาดพลันปรากฏในดวงตากระจ่างชัดราวกับพึงพอใจที่สืออวี๋สามารถจำวันเกิดของตนได้

“โอ้? ยินดีด้วยแม่นางหลี นี่คือปิ่นปักผมวิญญาณวิหคอมตะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากข้า”

เตียนเตี้ยนคิ้วขมวดแล้วยื่นฝ่ามือออกไป เผยให้เห็นปิ่นปักผมสีทองงดงามซึ่งมีลวดลายมงคลจำนวนมากสลักไว้บนพื้นผิว โดยมีแสงสีทองและกลิ่นอายมงคลนับพันปกคลุมในอากาศธาตุ ดูงดงามยิ่งนัก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท