บทที่ 942 หลี่จิ่วเต้า ‘มิใช่ชาชั้นดีแต่อย่างใด!’
บทที่ 942 หลี่จิ่วเต้า ‘มิใช่ชาชั้นดีแต่อย่างใด!’
องค์จ้าวอู๋เฉินนอบน้อมต่อหลี่จิ่วเต้าอย่างมาก ทว่าไม่ถึงกับหวาดกลัว
เขาบรรลุขั้นหกแล้ว นอกจากฝ่ายพลังมืดมิดผู้ใดเล่าจะปราบเขาลง
ต่อให้เป็นสือหงผู้เร้นกายในโลกหลังฉากไม่ยอมออกมา ทั้งยังอยู่ในขั้นหกเหมือนกันเขาก็ไม่รู้สึกกลัว มั่นใจว่ากำราบอีกฝ่ายได้ลง
หลี่จิ่วเต้าได้รับรากฐานพิเศษในโลกหน้าฉาก ดูเหมือนทรงพลัง แต่ครั้นจะให้เขาต้องหวาดหวั่นยำเกรงประหนึ่งเด็กยามเข้าพบผู้ใหญ่ยังห่างชั้นอีกมาก
ทว่าต่อจากนั้น ความคิดในใจเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มยำเกรงต่อหลี่จิ่วเต้า
ยามเดินผ่านริมลำธาร เขาได้พบต้นหลิวและก้อนหินที่เปล่งเสียงทักทายหลี่จิ่วเต้า!
เรื่องนั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคิดไม่ถึงเลย สะท้านใจเป็นอย่างมาก!
ตัวเขาแข็งแกร่งเพียงใด มีสิ่งมีชีวิตตนใดสามารถซ่อนความลับเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาโดยไม่ถูกจับได้บ้าง
ต่อให้เป็นหลี่จิ่วเต้าเขายังรู้สึกว่าทำไม่ได้
เขามองอีกฝ่ายไม่ออกเพราะด้วยมารยาท เขามิได้ตรวจจับหลี่จิ่วเต้าเต็มกำลัง
หากเขาตรวจจับเต็มกำลัง หลี่จิ่วเต้าย่อมมิอาจซุกซ่อนสิ่งใดจากเขา เปิดเผยความลับทั้งหมด
เขามีความมั่นใจเช่นนั้น
ทว่าต้นหลิวก้อนหินที่สุดแสนสามัญข้างทางทลายความมั่นใจเช่นนั้นของเขาลงอย่างสิ้นเชิง!
ก่อนต้นหลิวและก้อนหินปริปาก เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด ในสายตาเขา ต้นหลิวและก้อนหินเป็นเพียงต้นไม้ก้อนหินธรรมดาเท่านั้น
หารู้ไม่ ต้นหลิวและก้อนหินมิได้ธรรมดาเลยสักนิด สามารถส่งเสียงทักทายได้! เห็นได้ชัดว่าเริ่มฝึกตนมานาน เป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณ
ลำพังแค่นี้ความมั่นใจของเขายังไม่ถึงขั้นทลาย
บางทีอาจเพราะเขาไม่ทันสังเกต ต้นหลิวและก้อนหินนับว่าพอมีฝีมือ เขาถึงไม่ทันรับรู้ถึงความไม่ธรรมดาของต้นหลิวและก้อนหิน
ทว่าต่อมา หลังเขาคลี่แผ่ญาณสัมผัสตรวจจับตื้นลึกหนาบางของต้นหลิวและก้อนหิน
ผลลัพธ์ที่ได้กลับสร้างความตระหนกให้เขาอย่างมาก ความมั่นใจทลายลงอย่างสิ้นเชิง!
ญาณสัมผัสที่เขาคลี่แผ่ออกไปเสมือนหินที่จมลงมหาสมุทรยามส่งไปถึงต้นหลิวและก้อนหิน มิอาจตรวจจับสิ่งใดได้เลย!
ซ้ำเขายังรู้สึกอันตรายเหลือแสนขึ้นมา!
เมื่อขอบเขตมาถึงระดับเขา ไม่มีทางเกิดความรู้สึกเช่นนี้อย่างไม่มีที่มา และยิ่งไม่มีทางรู้สึกอันตรายถึงเพียงนี้!
ชั่วขณะนั้น เขาตระหนักได้ว่าต้นหลิวและก้อนหินสยดสยองถึงขีดสุด เหนือกว่าเขาทั้งยังกำราบเขาได้ง่ายดาย!
หาไม่แล้ว เขาไม่มีทางรู้สึกอันตรายปานนี้!
‘อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเจ็ด!’
เขาสูดปาก คิดในใจอย่างเคร่งเครียด
เวลานี้มุมมองที่เขามีต่อหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนผันในบัดดล ไม่เหลือความสบายเอื่อยเฉื่อย หากแต่หวั่นเกรงขึ้นมาเหลือแสน!
สองผู้นี้ต้องมีกำลังรบระดับอิสระขั้นเจ็ดเป็นอย่างน้อย แต่ยังเคารพหลี่จิ่วเต้าถึงเพียงนี้ เขาไฉนเลยจะยังเอื่อยเฉื่อยได้อีก!
เขารู้แล้วว่าหลี่จิ่วเต้าน่าประหวั่นพรั่นพรึงกว่าที่เขาจินตนาการมาก บางทีพลังอาจอยู่ในขอบเขตลึกล้ำเกินหยั่งแล้ว สามารถจัดการเขาได้ง่ายดาย!
ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างอดมิได้
หลี่จิ่วเต้าผงกหัวให้ต้นหลิวและก้อนหินเล็กน้อยเป็นการขานรับ ก่อนจะพาองค์จ้าวอู๋เฉินเข้าไปในเมืองชิงซานพร้อมลั่วสุ่ย
ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมาถึงลานเล็ก
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในลานเล็ก องค์จ้าวอู๋เฉินก็ตกตะลึง เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก ตัวสั่นเล็กน้อย
นี่เขาก็พยายามหักห้ามตนเองสุด ๆ แล้ว มิฉะนั้นเขาคงได้กลัวจนหมดแรงทรุดลงกับพื้นแน่!
สวรรค์! นี่ต้องเป็นลานเล็กเช่นไรกันแน่
ตัวเขาอยู่ในขอบเขตอิสระขั้นหก ไปที่ใดล้วนเป็นตัวตนระดับสูงสุด
กับขอบเขตและความสำเร็จขนาดนี้ เขาทั้งภาคภูมิและทะนงตัว
ถึงอย่างไรก็มิใช่ใคร ๆ ต่างบรรลุขอบเขตอิสระขั้นหกกันได้ทั้งสิ้น สิ่งมีชีวิตหลังฉากมากมายที่อยู่มานับล้านปียังมิอาจก้าวสู่ขอบเขตอิสระขั้นหก
ทว่าบัดนี้ เขากลับรู้สึกพ่ายแพ้อย่างยิ่ง ความภาคภูมิและทะนงตนที่เคยมีแหลกละเอียดทั้งหมด!
จังหวะแห่งเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ในลานเล็กสูงส่งอัศจรรย์ เขารู้สึกต้อยต่ำเหลือคณา ขอบเขตความสำเร็จที่มีไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสักนิดยามอยู่ที่นี่!
เมื่อเทียบวิถีที่เขาบำเพ็ญกับจังหวะแห่งเต๋าที่ไหลเวียนในลาน เสมือนความห่างชั้นระหว่างแสงจากเม็ดข้าวกับแสงจากสุริยัน ไม่อาจข้ามผ่านได้เลย!
หากได้ฝึกฝนในลานเล็กอันมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งอัศจรรย์ระดับนี้ เขาไม่แคลงใจเลยว่าการจะบรรลุขั้นเจ็ดขั้นแปดขอบเขตอิสระไม่เป็นปัญหาสักนิด!
ต่อให้เป็นขั้นเก้าก็คงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด!
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขารู้สึกว่าใช้เวลาไม่นานด้วย!
‘ตื้นเขิน ข้านี่ตื้นเขินจริง ๆ!’
เขาเอ่ยในใจ มองว่าตนเองนั้นโง่เขลาเบาปัญญา ก่อนนี้ยังคิดว่าต่อให้หลี่จิ่วเต้าแกร่งกล้าเพียงใดก็ยังมีขีดจำกัด มิได้ทรงพลังไปกว่าเขาเท่าใด
บัดนี้เขาถึงรู้ว่าความคิดของตนนั้นน่าขันเพียงใด!
ในฐานะเจ้าของลานเล็กระดับนี้ ขอบเขตคุณชายหลี่ไฉนเลยจะต่ำต้อย น่ากลัวว่าคุณชายหลี่คงทลายขีดจำกัดขอบเขตอิสระจนก้าวสู่ขอบเขตที่เหนือกว่านั้นแล้ว!
คิดมาถึงนี่ หัวใจเขาพลันเต้นรัวแรง
ขอบเขตเหนือขอบเขตอิสระเชียวนะ ต้องเป็นระดับสูงส่งปานใด!
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นขอบเขตเช่นไร!
ผู้เบิกทางท่านนั้นถ่ายทอดพลังวิถีไว้ให้ ริเริ่มอารยธรรมฝึกตน พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางฝึกตนที่ผู้บุกเบิกท่านนั้นทิ้งไว้ให้จนถึงบัดนี้
และบนเส้นทางฝึกตนที่ผู้เบิกทางท่านนั้นทิ้งไว้ ขอบเขตอิสระคือจุดหมายปลายทางของการฝึกตน!
ผู้เบิกทางท่านนั้นมิได้ทิ้งเส้นทางฝึกตนเหนือขอบเขตอิสระไว้ให้
บัดนี้เขากลับได้พบตัวตนซึ่งอยู่เหนือขอบเขตอิสระ จะมิให้เขาเต็มตื้นได้อย่างไร ความตื้นตันในใจไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดแล้ว!
‘มิน่าคุณชายหลี่ถึงกล้านำกระบี่ฉุนจวินไป ทั้งยังไม่เห็นปรโลกและปริภูมิเวลาในสายตา…พลังระดับนี้ ขอบเขตระดับนี้ ยังต้องแยแสสิ่งใดอีก!’
เขาคิดในใจ
“เชิญนั่ง”
เวลานั้นหลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เชิญองค์จ้าวอู๋เฉินไปนั่งในศาลา
“ได้!”
องค์จ้าวอู๋เฉินเกร็งมาก มิกล้าเสียมารยาท เข้ามานั่งในศาลา
หลี่จิ่วเต้าบอกให้ลั่วสุ่ยยกน้ำชาเข้ามา
“ใช้ชุดเครื่องชาและใบชาในตู้ที่ห้องครัว”
เขาบอกลั่วสุ่ย
ดูก็รู้ว่าองค์จ้าวอู๋เฉินไม่ธรรมดา เขาตัดสินใจใช้เครื่องชาและใบชาที่ดีที่สุดในการรับรอง ถึงอย่างไร จะเสียมารยาทต่อแขกคงมิได้
“ได้”
ลั่วสุ่ยพยักหน้าเบา ๆ ดวงหน้าสะคราญเมือง งดงามไร้ผู้ใดเปรียบ
นางนึกในใจว่าองค์จ้าวอู๋เฉินมีวาสนาแล้ว ต้องรู้ว่าชุดเครื่องชาและใบชาในตู้คือเครื่องชาใบชาชั้นดีที่สุด ผลประโยชน์ที่นำพามาให้เกินกว่าจะจินตนาการออก!
ในไม่ช้า นางก็ยกชุดเครื่องชาและใบชามาให้
หลี่จิ่วเต้าชงชาด้วยตนเอง ก่อนจะรินให้ตนเองและองค์จ้าวอู๋เฉินคนละแก้ว
เขาหัวเราะพลางเอ่ย “มิใช่ชาชั้นดีแต่อย่างใด หากไม่ชินรสชาติโปรดอภัยให้ด้วย”
ถ่อมตน!
คุณชายถ่อมตนเกินไปแล้ว!
ลั่วสุ่ยเอ่ยในใจ
น้ำชาแก้วนี้ถือเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงสะท้านโลกันตร์อย่างแท้จริง มิมีวาสนาใดเทียบเคียงกับมันได้!
คราวนี้องค์จ้าวอู่เฉินได้ตกถังข้าวสารแล้ว!
“คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว!”
องค์จ้าวอู๋เฉินยกถ้วยชาขึ้นพลางตอบไปตามมารยาท
บัดนี้เขายังอยู่ในภวังค์ตกตะลึงอย่างใหญ่หลวง ครุ่นคิดในใจไปหลายอย่าง ไม่ทันสังเกตเห็นว่าน้ำชาในมือวิเศษวิโสปานใด!
จากนั้นเขาจิบน้ำชาอึกหนึ่ง
ยังมิได้สนใจชาถ้วยนี้มาก มองว่าเป็นเพียงน้ำชาธรรมดาเท่านั้น