บทที่ 201 ร้านนี้ช่างเป็นร้านที่โก่งราคาเสียจริง!
บทที่ 201 ร้านนี้ช่างเป็นร้านที่โก่งราคาเสียจริง!
การปรากฏตัวของลูกค้าแปลกหน้าในร้านต้องคำสาปแห่งนี้ ย่อมสร้างความประหลาดใจต่อผู้คนภายในร้านเป็นอย่างมาก และต่างชื่นชมในความกล้าหาญของเขาด้วยเช่นกัน!
เซี่ยซิ่นรุ่ยกำลังจะก้าวขึ้นไปต้อนรับ แต่ถูกจื่อเฉาอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ ดึงตัวออกไปเสียก่อน แล้วสีหน้าไร้อารมณ์ของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ท่านพี่ใหญ่มาทานอาหารหรือ?”
ผู้บำเพ็ญจดจำนางได้ นึกถึงตระกูลต้องคำสาปที่นางสืบสายมา ทำให้คนผู้นั้นถอยหลังด้วยความกลัว “อืม… ข้า… ข้ามากินอาหาร”
ทันใดนั้นศิษย์ทั้งสองคนก็ร่วมมือกันยกเอานกตัวหนึ่งที่ถูกย่างจนเนื้อของมันเป็นสีทองอร่าม น้ำลายของผู้บำเพ็ญคนนั้นแทบจะไหลลงมาตามมุมปาก
ด้วยการศึกษาที่ไม่ได้สูงมากนัก เขาไม่รู้จะบรรยายกลิ่นหอมนั้นอย่างไร รู้เพียงว่าร่างกายที่ไร้ชีวิตชีวาของเขากลับสดชื่นขึ้นมาทันที ราวกับพวกมันกำลังส่งเสียงเรียกร้องให้เขากินอยู่ตลอดเวลา หากไม่ได้กินคงสิ้นใจเป็นแน่!
“นกย่างตัวใหญ่นั้น ต้องใช้หินวิญญาณ กี่… กี่ก้อน?”
ผู้บำเพ็ญมองตามนกย่างตัวใหญ่นั้นที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ แม้จะอยู่ไกลออกไปมากแล้ว แต่กลิ่นหอมก็ยังแผ่ซ่าน
“ท่านแขกผู้เกียรติ นกย่างของเรามีรสชาติพิเศษสามรสชาติ รสผลไม้พิเศษ รสเครื่องเทศเผ็ด และรสน้ำผึ้ง ราคาตัวละแปดล้านแปดแสนหินวิญญาณระดับล่าง ท่านจะรับสักตัวหรือไม่?”
แม้จะรู้ว่านกย่างนั้นย่อมไม่ใช่ของราคาถูก ทว่าเมื่อได้ยินราคาผู้บำเพ็ญก็อดใจเต้นรัวไม่ได้ นกย่างขอบเขตสร้างร้านฐานทั่วไปราคาอยู่ที่สองถึงสามร้อยล้านหินวิญญาณ ร้านนี้ช่างเป็นร้านที่ดำมืดยิ่งนัก!
ช่างโก่งราคาเสียจริง!
ผู้บำเพ็ญคนนั้นสบถในใจ เขาคิดแล้วคิดอีก พลางมองไปรอบ ๆ จนจื่อเฉาอวี่เริ่มจะหมดความอดทน ครั้นจะหันหลังจากไป เขาจึงเอ่ยปากขึ้น
“เช่นนั้น… ขอข้ารับสักตัว กับสุราหนึ่งไห”
เพียงเพื่อซื้อนกย่างตัวใหญ่ตัวเดียวและสุราหนึ่งไห เขาต้องทำงานอย่างหนักเป็นเวลาถึงครึ่งปี ผู้บำเพ็ญคนนั้นอยากจะร้องไห้นัก
หลังจากดื่มสุราที่ทำจากสมุนไพรวิญญาณพิเศษเข้าไป ดวงตาของผู้บำเพ็ญพลันแดงก่ำและน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา โอ้! มันช่าง… อร่อยยิ่งนัก!
“ท่านแขกผู้เกียรติ นี่คืออาหารแกล้มกับสุราที่ทางร้านของเราจัดเตรียมให้ท่านได้ลองชิมก่อน ส่วนนกย่างสีทองท่านต้องรออีกครึ่งชั่วยาม”
ผู้บำเพ็ญบ่นพึมพำ ขณะหยิบถั่วลิสงอีกสองสามเม็ดโยนใส่ปาก เมื่อเคี้ยวไปเคี้ยวมาดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะหยิบเอามากินอีกสองสามเม็ด… โอ้! เหตุใดมันถึงหอมกลมกล่อมขนาดนี้ ทั้งยังมีกลิ่นปราณอีกด้วย นอกจากนี้เขายังลองชิมเส้นไหมหลากสี…! ทั้งกรอบ หอม และรสชาติเผ็ด เปรี้ยว ทานแล้วรู้สึกอยากอาหารเสียเหลือเกิน เมื่อทานคู่กับสุราสมุนไพรวิญญาณเพียงเล็กน้อย สวรรค์! ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!
“เอาสุราหมักสมุนไพรวิญญาณมาอีกสองไห!”
“รับทราบข้ารับ!” พนักงานเซี่ยซิ่นรุ่ยรีบรับคำทันที
จากตัวตึกชั้นสองมีแสงสว่างส่องเข้ามาเล็กน้อย กลิ่นหอมโชยออกมาเป็นระลอก เรียกให้น้ำลายไหลไม่พอ ยังทำให้อยากจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่กำลังทนทุกข์ทรมาน
ในเมื่อซ่อนร้านเอาไว้ทั้งที เหตุใดไม่ซ่อนกลิ่นไปด้วยเล่า!?
นี่ต้องเป็นการตั้งใจใช้กลิ่นล่อลวงให้พวกเขาเข้ามากินอาหารอย่างแน่นอน!
หากเป็นร้านทั่วไป พวกเขาคงไม่หวาดกลัวและขี้เหนียวขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอ… เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ อีกสักพักเถิด
เมื่อผู้บำเพ็ญที่กินนกตัวใหญ่สีทองย่างโรยผงยี่หร่าที่เผ็ดร้อน เขาก็กินไปน้ำตาไหลไป หินวิญญาณแปดล้านกว่าก้อนที่จ่ายไป ช่างคุ้มค่าเสียจริง!
คำพูดมากมายบรรจบรวมกันกลายเป็นคำว่า ‘อร่อย’ จนนับไม่ถ้วนแล้ว!
ผู้บำเพ็ญนั่งกินสุราและเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปด้วย หากว่าตอนนี้มีสายฟ้าผ่าลงมา เขาก็ตายอย่างมีความสุขแล้ว
“เจ้าหนุ่มน้อย ช่วยจัดอาหารที่เหลือใส่ห่อให้ด้วย”
สำหรับนกย่างสีทองตัวใหญ่ ผู้บำเพ็ญทั่วไปกินแค่หนึ่งในสี่ก็จะรู้สึกอิ่มแล้ว
ผู้บำเพ็ญคนนั้นกินอิ่มแล้วพลันส่งเสียงเรอดังสนั่น ก่อนจะหิ้วตะกร้าใบหนึ่งเดินเชิดหน้าชูคอออกจากร้านต้องคำสาปแห่งนี้ ผู้คนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขาต่างเข้ามารุมล้อมทันที
“ท่านพี่ ข้างในนั้นเป็นอย่างไร?”
“เอ๊ะ! ห่อนั้นเจ้าใส่สิ่งใดไว้หรือ เปิดให้ดูได้หรือไม่?”
“ท่านพี่ ท่านเล่าให้พวกข้าฟังหน่อยเถิด”
ผู้บำเพ็ญที่ถูกรายล้อมกำลังจะอ้าปากโอ้อวด แต่กว่าจะรู้ตัว ใบหูของตนเองก็ถูกบิดไปเสียแล้ว
“หวังซาน เจ้าเบื่อหน่ายชีวิตแล้วหรือ? ถ้าอยากตายนักก็อย่าลากพวกเราแม่ลูกไปตายด้วย!” หญิงสาวผู้บำเพ็ญผู้หนึ่งด่าเขาพร้อมกับบิดหูของหวังซานผู้เป็นสามีจนแทบจะหลุดออกมาจากใบหน้า
ที่แห่งนี้คือที่ใดกัน ที่นี่คือร้านต้องคำสาปเชียวนะ!
แม้จะกล้าหาญปานใดก็คงไม่กล้ามาที่นี่ เพราะอาจจะต้องตาย… ช่างน่าโมโหนัก!
“โอ๊ย! เจ็บ! เจ้าใจเย็นแล้วฟังข้าอธิบายก่อนเถิด” หวังซานถูกภรรยาของตนเองดึงใบหูลากไปต่อหน้าต่อตาฝูงชน เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วถนนชิงเฟิง จนผู้คนแถวนั้นต่างพากันตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
เมื่อถูกกระชากตัวกลับถึงบ้านแล้ว หวังซานถูกซ้อมจนใบหน้าเขียวช้ำ จากนั้นเขาจึงคุกเข่าวิงวอนอยู่ตรงหน้าตะกร้าอาหารไว้แน่น
“พูดมา ว่าเจ้าใช้หินวิญญาณไปเท่าไหร่?!”
หวังซานอ้ำอึ้งตอบไปว่า “แค่หนึ่งพันสองร้อย…”
“แค่หนึ่งพันสองร้อยหินวิญญาณเท่านั้นหรือขอรับ?” ลูกชายของหวังซานพูดแทรก แล้วหันไปสังเกตตะกร้าที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อของเขา ตัวตะกร้ายังมีราคาแพงกว่าหนึ่งพันสองร้อยเสียอีก
“หนึ่งพันสองร้อยล้านหินวิญญาณ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!”
สองแม่ลูกคิดว่าตนเองฟังผิดไป ทว่าหวังซานกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัว แล้วก็ทวนราคาใหม่อีกครั้ง
พวกเขายังไม่ทันได้ร้องตกใจเพราะราคา แต่กลับได้ยินเสียงหวังซานกรีดร้องขอความเมตตาอีกครั้งจากในลานบ้าน เสียงนั้นช่างน่าเศร้าจับใจ…
กลิ่นหอมจนน้ำลายไหล!
กลิ่นอะไรถึงได้หอมขนาดนี้?!
ลูกชายของหวังซานฉวยโอกาสตอนที่ท่านพ่อกำลังโดนทุบตีอยู่นั้น วิ่งเข้าไปแย่งตะกร้าแล้วเปิดออก แต่ยังไม่ทันได้ดูอะไร เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมจนน้ำลายไหลออกมา พอเช็ดน้ำลายที่มุมปากออก เขาก็เพ่งดูในตะกร้าจึงพบว่าข้างในมีเนื้อสีทองหั่นเป็นชิ้นวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และยังโรยด้วยเครื่องเทศที่เขาไม่รู้จักอยู่ด้านบน
ของพวกนี้มีราคาถึงหนึ่งพันสองล้านวิญญาณหินเลยหรือ?
ลูกชายของหวังซานใช้มือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเอาเข้าปาก หนังด้านนอกกรอบอร่อย เนื้อด้านในนุ่มชุ่มฉ่ำ น้ำที่อยู่ภายในเนื้อยังมีกลิ่นหอมสดชื่นวูบวาบอยู่ในปาก หลังจากที่กินไปคำหนึ่งดวงตาพลันเบิกโพลงขึ้นมา
“ท่านแม่ ท่านลองชิมดูเถิด!” ลูกชายของหวังซานหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากของท่านแม่
“อะไร…”
หญิงสาวที่กำลังจะคายอาหารออก กลับเอาเข้าปากแทนแล้วตามมาด้วยเสียงเคี้ยว นางหยุดทุบตี แล้วโยนหวังซานที่มีสภาพราวกับศพออกไป จากนั้นนางก็กินเนื้อนกย่างกับลูกชายคนละคำ
“ไม่แปลกใจเลยที่ขายแพงขนาดนี้ ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่”
ลูกชายของหวังซานกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก แล้วก็เลียเครื่องเทศที่ติดอยู่ที่มือจนเกลี้ยง
“ท่านแม่ ท่านยังมีเงินเก็บอยู่ไม่ใช่หรือ? พรุ่งนี้พาข้าไปด้วยนะขอรับ”
ผู้เป็นแม่ที่กำลังแทะขานกจ้องมองมายังลูกชายแท้ ๆ ของตนเอง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่มีแล้ว เจ้าไปค้นตัวท่านพ่อของเจ้าเถิด น่าจะมีเหลืออยู่บ้าง”
“ท่านพ่อ ข้าขออภัย…” ลูกชายของเขาจึงเดินเข้ามาหาหวังซานเพื่อค้นหาหินวิญญาณทันที
“เจ้า… ลูกอกตัญญู!” หวังซานซึ่งถูกทุบตีจนลุกไม่ขึ้น ด่าทออย่างโกรธแค้น น่าเสียดายที่เสียงด่าทอนั้นแลกมาเพียงรอยยิ้มประจบของลูกชายเพียงเท่านั้น เขาสูญเสียสุราหมักสมุนไพรวิญญาณสองไหที่ซ่อนเอาไว้อย่างดี รวมถึงหินวิญญาณ สิบล้านก้อนสุดท้าย!
โอ้!… ขอให้ฟ้าผ่าลงมาฆ่าข้าด้วยเถิด!
ร้านต้องคำสาปสมชื่อจริง ๆ หวังซานคิดว่าหากฟ้ามิได้ผ่าลงมาคงไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว แต่เขาได้ลืมไปว่าคาถาที่ร้ายกาจที่สุดของร้านต้องสาปนั้นคือ การทำให้ผู้คนสูญเสียทรัพย์สมบัติและโชคร้าย!
ตอนนี้เขาสูญเสียทั้งโชคและทรัพย์สมบัติแล้วไม่ใช่หรือ?
คำสาปได้เป็นจริงแล้ว!
หวังซานรู้สึกเสียใจยิ่งนัก หากล่วงรู้เช่นนี้ เขาจะไม่ไปที่ร้านทรุดโทรมนั่นอีก มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่ควรไปอย่างยิ่ง!
หากย้อนกลับไปได้ เขาคงจะ… ไปอยู่ดี…
หวังซานตบหน้าตนเองอย่างเจ็บแสบ ด้วยความเกลียดชังที่ตนไม่มีน้ำอดน้ำทนเอาเสียเลย