ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 203 แท้จริงแล้วนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 203 แท้จริงแล้วนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?

บทที่ 203 แท้จริงแล้วนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?

เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่หลิงเยว่เปิดร้านก็เจออาจารย์ใหญ่ยืนรออยู่หน้าร้าน พร้อมชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง

หญิงสาวดูมีอายุมากกว่า ส่วนชายหนุ่มดูอ่อนกว่าเล็กน้อย

“โอ๊ย! สาวน้อย แดดจะส่องก้นอยู่แล้วเพิ่งจะเปิดร้าน แล้วจะทำมาหากินอย่างไรกัน?” หญิงสาวผู้บำเพ็ญคนนั้นเบียดหลิงเยว่แล้วเดินเข้าไปในร้านทันที

ชายหนุ่มผู้บำเพ็ญหันมายิ้มให้หลิงเยว่ “นั่นท่านแม่ของข้าเองขอรับ พวกเรามาหาอะไรกิน”

แววตาสงบนิ่งของหลิงเยว่สว่างวาบขึ้นมาทันที นางเตรียมใจไว้ว่าคงไม่มีลูกค้าสักคนมาอุดหนุนในวันนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะมี…!

“ท่านดูรายการอาหารก่อนเถิดว่าจะรับสิ่งใดดี เดี๋ยวข้าจะไปทำให้”

หลังจากยื่นรายการอาหารให้และกำลังจะพูดแนะนำ หลิงเยว่ก็ถูกอาจารย์ใหญ่เหวี่ยงเข้าไปยังมิติที่เขาเปิดไว้ด้านหลังเสียก่อน

“หัวหน้าตะขาบมรกต ออกมาต้อนรับลูกค้าหน่อย ข้าจะรีบกลับ…” เสียงของหลิงเยว่เล็ดลอดออกมาจากรอยแยกมิติที่ปิดลงไป

แม่ลูกที่กำลังดูรายการอาหารอยู่ “???”

อย่างไรนะ? หัวหน้าตะขาบมรกตหรือ? เจ้าของร้านโดนลักพาตัวไปแล้ว แล้วผู้ใดจะทำอาหารให้พวกเขากิน!?

โครม!

เกิดเสียงดังสนั่น ก่อนจะพบกับสภาพศพ ไม่ใช่สิ… คนเป็น ๆ ผู้หนึ่งถูกโยนมาตรงหน้าแม่ลูกคู่นี้

เซี่ยซิ่นรุ่ยที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น “…”

หัวหน้าตะขาบมรกตช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!

หลิงเยว่มาที่มิตินี้เป็นครั้งแรกพลันมองซ้ายมองขวา แต่ก็เป็นแค่ความว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด นางมองแค่สองครั้งก็หมดความสนใจแล้ว

“สิ่งนั้นคือชาอะไร แล้วเจ้าได้มันมาจากที่ใด?”

เสียดายที่ได้เป็นตะขาบมรกตเพียงไม่ชั่วครู่เท่านั้น ท่านอาจารย์ใหญ่จึงปรารถนาจะได้ลองอีกครั้ง คราวนี้ขอให้นานกว่าอีกสักหน่อย เพื่อที่เขาจะได้ค้นหาคำตอบว่า เหตุใดตะขาบมรกตสี่ปีกจึงสามารถเพิ่มอัตราการกลั่นโอสถให้ออกมาได้มากยิ่งขึ้น

หากเข้าใจเรื่องนี้ ประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากมายมหาศาล!

หลิงเยว่เป็นผู้ผสมมันขึ้นมาเอง แต่ก็ยังไม่กล้าดื่มชาที่ผสมด้วยน้ำลายของหัวหน้าตะขาบมรกตเข้าไปแม้แต่น้อย แม้ว่าก่อนหน้านี้ นางเคยกินโอสถที่กลั่นจากหัวหน้าตะขาบมรกตก็ตาม แต่ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่อง!

รอให้นางทำใจได้เสียก่อน แล้วจึงค่อย… ลอง

“เจ้า… ทำเองหรือ?”

แท้จริงแล้วอาจารย์ใหญ่เคยคิดว่าหลิงเยว่เป็นผู้ปรุงขึ้นมา แต่เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้น เขาก็ปัดมันทิ้งในทันที ชานั้นมีสรรพคุณวิเศษเช่นนี้ นางเป็นเพียงสาวน้อยที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานจะทำได้อย่างไร?

“ข้าปรุงเองกับมือเลยเจ้าค่ะ!” หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หากพูดไปแล้วท่านไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเช่นกัน

“ยังมีอีกหรือไม่? เอามาให้ข้าอีกสักสองสามกาเถิด”

“ท่านเล่ามาก่อนเถิดว่า หลังจากที่ท่านดื่มเข้าไปแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?”

หลังจากรับรู้ว่าจิตวิญญาณของอาจารย์ใหญ่ได้กลายเป็นตะขาบมรกตสี่ปีก หลิงเยว่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ แล้วหากเปลี่ยนปี้สุ่ยเย่มาเป็นแก่นแท้ของสัตว์ชนิดอื่นเล่าจะเป็นอย่างไร…

ไม่! หากผสมแก่นแท้ของสัตว์ลงไปในชารู้แจ้งแล้วแปลงกาย ผู้ที่ดื่มเข้าไปจะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นชั่วคราวได้หรือไม่?

หากสรรพคุณวิเศษนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกสักหน่อย จะสามารถใช้กลยุทธ์สัตว์อสูรในการต่อสู้ได้เช่นกันหรือไม่?

ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่ก็สามารถเรียนรู้จิตวิญญาณการต่อสู้จากเหล่าสัตว์อสูรได้ เพราะสัตว์อสูรบางชนิดมีพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคืออีกาสุริยันและหัวหน้าตะขาบมรกต!

หากความคิดนี้สำเร็จ เหล่าพืชปีศาจที่มีพลังวิเศษก็สามารถทำได้เช่นกัน และอาจรวมถึงมนุษย์ด้วย?

จิตใจของหลิงเยว่ลุกโชนขึ้น ไม่คาดคิดว่าความคิดชั่ววูบจะให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ถึงปานนี้!

ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นหลิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดวงตาก็เริ่มเบิกกว้าง จากนั้นนางก็กุมปากหัวเราะคิกคักราวกับนึกถึงเรื่องดี ๆ บางอย่าง

ดูไร้เดียงสาเหลือเกิน…

“ยังมีชานั้นอยู่อีกหรือ?!”

ความคิดที่กำลังแล่นฉิวของหลิงเยว่ ถูกเสียงตะโกนดังลั่นดึงให้หวนกลับมา

นางขยี้ใบหูตนเองเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “หมดแล้วเจ้าค่ะ เมื่อวานข้าแค่คิดขึ้นได้เลยทำไปตามใจเท่านั้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะมีสรรพคุณอะไร”

อาจารย์ใหญ่ “…”

ทำตามใจอย่างนั้นหรือ?

อาจารย์ใหญ่ผู้นี้มีชีวิตมายาวนาน แต่ไม่เคยทำอะไรตามใจจนได้ผลอัศจรรย์ปานนี้!

หรือเป็นเพราะการกลั่นโอสถตามตำราเดิม ๆ มานานปี ทำให้ความคิดตีบตันไม่สามารถล้ำเลิศได้อย่างสาวน้อยผู้นี้หรือ?

อาจารย์ใหญ่คิดว่าน่าจะใช่ เพราะตำราโอสถในโลกแห่งผู้บำเพ็ญเซียน ทั้งมวลล้วนสืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาล ไม่ได้มีผู้ใดคิดค้นตำราโอสถใหม่ ๆ ขึ้นมา รวมถึงหลิงเยว่และอาจารย์ผู้เป็นเจ้าตำรับโอสถเช่นกัน

“หึ… ฮ่า ๆ ๆ!”

เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของอาจารย์ใหญ่ทำให้หลิงเยว่รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว

เพราะนางบอกว่าไม่มีแล้ว เขาจึงแค้นใจมากอย่างนั้นหรือ?

เพียงชั่วพริบตาต่อมา ท่านอาจารย์ใหญ่อาจจะบีบคอนาง แล้วขู่ให้นางส่งมอบมันออกมาให้เขาก็เป็นได้

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก!”

ท่านอาจารย์ใหญ่ยกมือขึ้น หวังจะตบไหล่หลิงเยว่สักเล็กน้อย พร้อมกล่าวสรรเสริญว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่นางกลับถอยหลังอย่างตื่นกลัว แววตาที่มองเขาราวกับกำลังมองปีศาจ

“ท่านอาจารย์ใหญ่ อย่าเพิ่งลงมือเลย มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ชาของข้าหมดแล้ว แต่ข้ายังทำใหม่ได้ ขอเวลาข้าอีกไม่กี่วัน ข้าขอร้อง ท่านปล่อยข้าไปเถิด…”

เล่าไปเล่ามา หลิงเยว่ก็ร้องไห้ฟูมฟาย ในยามวิกฤตเช่นนี้หัวหน้าตะขาบมรกตไม่อยู่ นางอยากจะปลดปล่อยเจ้าอีกาตัวน้อยแต่มันก็ยังไม่ฟื้น นางร้องเรียกหาราชาดอกไม้ แต่มันก็ไม่มีปฏิกิริยาใดเลย แม้แต่ผู้พิทักษ์ของนางก็ล้วนไร้ประโยชน์ จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร?

ตกใจจนแทบสิ้นสติแล้ว!

ท่านอาจารย์ใหญ่ “…”

แท้จริงแล้วนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?

“หากว่าข้าต้องการจะลงมือฆ่าเจ้าจริง แม้แต่ปลายนิ้วก็ไม่จำเป็นต้องยื่นออกไป เจ้าจะมลายหายกลายเป็นผุยผงในทันที”

“ท่านไม่ได้ต้องการฆ่าข้าหรือ?”

ท่านอาจารย์ใหญ่จ้องหลิงเยว่ด้วยสายตาที่ราวกับมองคนเสียสติ

หลิงเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน “ข้าคิดว่าหากท่านไม่ได้ชา แล้วคิดจะลงมือฆ่าข้าแล้วค้นวิญญาณข้า…”

สมแล้วที่คิดแต่เรื่องเหลวไหล อาจารย์ใหญ่หัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่ผู้นี้เพียงแค่ต้องการยกย่องเจ้า แต่เมื่อดูท่าแล้ว คงไม่จำเป็นอีกต่อไป”

หลิงเยว่ถูกโยนออกมาจากมิติอย่างไร้ความปรานี ท่าทางที่ล้มลงไปกองกับพื้นช่างเหมือนกับตอนที่เซี่ยซิ่นรุ่ยโดนโยนออกมาเมื่อครู่ไม่มีผิด

แม่ลูกที่กำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเกือบจะสำลักออกมา! คนในร้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด? เหตุใดถึงชอบนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นกันแบบนั้น?

เมื่อนับดูแล้ว เมื่อครู่มีอย่างต่ำห้าสิบคนที่ปรากฏตัวโดยนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น

“ดูแล้ว ท่าทางแบบนี้มันคุ้นตายิ่งนัก?”

หัวหน้าตะขาบมรกตชี้ออกไปที่หลิงเยว่ที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับหัวเราะอย่างชอบใจ

เซี่ยซิ่นรุ่ยที่กำลังนำอาหารออกมา เขาสะบัดมือของหัวหน้าตะขาบมรกตออกไปอย่างเย็นชา ที่เขาต้องนอนอยู่บนพื้นตอนนั้น มันไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตหรืออย่างไร?

“ท่านอาจารย์ ท่านก็โดนหัวหน้าตะขาบมรกตโยนลงมาด้วยหรือ?” จื่อเฉาอวี่พยุงหลิงเยว่ลุกขึ้นมา

ตะขาบมรกตหรือ?

ท่านอาจารย์ใหญ่เมื่อวานก็สลบกลายเป็นตะขาบมรกตไม่ใช่หรือ?

“ใช่” หลิงเยว่เช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับลูกค้าทั้งสองคนที่กำลังมองนางด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับความรู้สึกอับอาย “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านทั้งสองทานอาหารต่อเถิด”

แม่ลูกคู่นั้น “…”

หรือพวกเขาควรจะย้ายที่นั่งกินดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าการกินอาหารมื้อนี้จะต้องมีกี่ร่างที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอีก?

“ข้าไม่ได้โยนเสียหน่อย” หัวหน้าตะขาบมรกตกลอกตาอย่างไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่านางถูกอาจารย์ใหญ่โยนทิ้งลงมาจากมิติ และความจริงคือเขาไม่ได้เป็นคนทำ!

“อย่างไรก็ตาม ข้าจะต้องอยู่คนเดียวสักสองสามวัน พวกเจ้าจงพยายามทำงานกันให้ดีเถิด” หลิงเยว่กล่าวจบ นางก็รีบออกจากร้านต้องคำสาปตรงไปยังหอบำเพ็ญของสำนักทันที

นางกำลังจะยืนยันการคาดเดาของนาง และถ้ามันเป็นจริง…

ฮ่า ๆ ๆ เงินแค่ห้าหมื่นล้านสำหรับเจ้าอีกาตัวน้อยของข้าก็จะหามาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแล้ว!

หลิงเยว่นั่งขัดสมาธิ ถือหม้อชา พลางสะกดจิตตนเองว่าในนี้ไม่ใช้ปี้สุ่ยเย่ แต่เป็นของเหลวบริสุทธิ์ที่นางสกัดจากปี้สุ่ยเย่มากรองและต้มฆ่าเชื้อแล้ว ไม่ใช้น้ำลายสกปรกอีกต่อไป!

หลิงเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วดื่มชาในหม้อรวดเดียวจนหมด!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท