“เอ๊ะ? เพราะเจ้าหลงทางเลยมาถึงที่นี่งั้นเหรอ?”
ในสามคนนั้น ผมคุ้นเคยกับลาน่าได้อย่างรวดเร็ว ไม่นาน พวกเราก็พูดคุยกัน
แน่นอน สาเหตุที่คุ้นเคยกันเร็วขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะยัยนี่จับจ้องตามติดเงินของผม แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงซะการเข้าใจพวกเธอให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในตอนนี้ก็ดีซะกว่า
“อืม เข้ามาจากทางด้านเชอร์ฟา จากนั้นก็หลงทางอยู่นานจนมาถึงที่นี่”
“เชอร์ฟา? นั่นอาณาจักรเล็กๆ ทางใต้ไม่ใช่เหรอ? ช่วงก่อนมีข่าวออกมาว่าราชาของพวกเขาต้องการเริ่มสงคราม ราชาของอาณาจักรแห่งนั้นโง่ซะจริง เรื่องอย่างสงครามจะมาประกาศเริ่มมั่วซั่วได้ยังไงกัน? แล้วอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเขา ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็คงถูกอาณาจักรอื่นยึดไว้แล้ว เจ้าว่าไหม ฟีล?”
“พะ…พูดถูกเผง”
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ผมแนะนำตัวเองได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น คาร์เตอร์ ฟีล ดูเหมือนชื่อฟีลจะเป็นชื่อที่สามัญมากในที่นี้ เพราะงั้นถึงแม้จะมีชื่อเดียวกันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ยังไงซะตอนนี้ก็เป็นผู้ถูกประกาศจับ เปิดเผยตัวเองมั่วซั่วคงไม่ดี
“งั้นทำไมพวกเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ…แล้วที่นี่คือที่ไหนกันแน่”
“ที่นี่เป็นโบราณสถานยุคก่อนประวัติศาสตร์”
ลาน่าหยิบเอาเข็มทิศทรงกลมออกมา หลังจากเปิดออก เข็มชี้ด้านบนก็ดูเหมือนกำลังชี้ไปในทิศทางที่กำหนด มันคือเข็มทิศเหรอ? แต่ทำไมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติเลย…
“มันคือเครื่องมือกำหนดเข็มชี้ลาดตระเวน สามารถนำสิ่งของมาบันทึก จากนั้นก็ใช้ค้นหาสิ่งของจำพวกเดียวกันในดันเจี้ยนขนาดใหญ่ได้ คราวนี้พวกเรามาเพราะ…อยากจะก่อตั้งภาคีของเราเอง แต่เพราะจำนวนคนไม่พอ เลยทำได้แค่ยื่นคำร้องกับผู้อำนวยการสถาบัน แล้วถูกส่งออกมาทำภารกิจประหลาดแบบนี้”
“ก็แปลว่า มันคือเครื่องมือนำทางล่ะสิ?”
“ถึงแม้จะไม่ผิด แต่ของสิ่งนี้ทำได้เพียงกำหนดทิศทางเดียว ถ้าเดินไปถึงทางตัน นั่นก็คงไม่มีทางเลือก”
“แบบนี้นี่เอง…”
ที่แท้ก็มีการตั้งค่าแบบนี้…ยังไงซะมันก็คงไม่สามารถนำทางอัตโนมัติเหมือนในเกมออนไลน์
“แต่โชคดีที่ชั้นนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เพราะงั้นเลยไม่มีปัญหาอะไร”
“ชั้นนี้…พวกเธอไม่แน่ใจว่าเป็นชั้นไหนเหรอ…”
“เรื่องนั้นเหรอ…”
ลาน่ามองไปยังสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“เพราะไม่รู้ว่าเป็นชั้นไหน เลยทำได้แค่หาทีละชั้นไง”
ให้ตายสิ ยัยพวกนี้ช่างกระตือรือร้นกันซะจริงๆ…แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ยา…ไม่ถูกสิ ทีมนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเลยด้วยซ้ำ
เพราะมีสัตว์ประหลาดเลเวล 30 ตั้งหนึ่งคน…
ขณะที่คิดเช่นนี้ผมก็มองทางฟาลัน แต่กลับสบสายตาอีกฝ่ายพอดี
ทว่าอีกฝ่ายกลับละสายตาไปทันที ไม่รู้ว่ากำลังเธอคิดอะไรอยู่ แต่แสร้งยิ้มไปด้วยหลับตาไปด้วย มองยังไงก็รู้สึกเหมือนโดนดูถูก
แต่ว่าเลเวลของผมก็แค่ 11 แม้กระทั่งครึ่งที่แย่ที่สุดก็ไม่ถึง จะไปเทียบกับคนพวกนี้ได้ยังไงกัน
“แต่ว่า ฉันรู้สึกว่ามีวิธีหนึ่งที่จะยืนยันได้ว่าเป็นชั้นไหนนะ”
“หืม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม ทุกคนต่างก็หยุดลง เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกเขาในตอนนี้ หัวข้อนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ายืนยันได้เหรอ?”
ไม่รู้ว่าทำไม ขณะนี้คนที่ถามกลับเป็นยูบริล
“อืม ในเมื่อเข็มชี้นี้จะชี้ไปทางเป้าหมาย…งั้นถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ?”
พูดแล้ว ผมก็หยิบเครื่องตรวจจับจากมือลาน่ามา แล้วยืนขึ้น
เข็มชี้สั่นเล็กน้อย จากนั้นก็เคลื่อนไปข้างบนช้าๆ
“ดูเหมือนจะเป็นชั้นบนนะ” ผมยักไหล่พูด
“ข้าบอกแล้วว่าอยู่หลังกำแพง ทำไมพวกเจ้าไม่เชื่อข้า! โธ่”
ยูบริลหมุนตัวไปตะโกนใส่อีกสองคน
เธอที่ดูวางมาดมาโดยตลอด มีท่าทางคลุ้มคลั่งที่ดูน่ากลัวในทันที แล้วเธอก็พบว่าตัวเองลืมตัว กระแอมไม่กี่คำ ก็พูดต่อไป
“สะ…สรุปแล้วก็คือพวกเราต้องกลับไปบนชั้นก่อน ชั้นนี้แย่จริงๆ มองทางอะไรไม่ชัดเลย!”
พูดจบก็เดินตรงไปคนเดียว
พวกเราสบตากันแล้วตามไป
“จะว่าไป…ที่นี่คือชั้นที่เท่าไหร่?”
“ที่นี่?”
ลาน่าเอียงศีรษะคิดอยู่สักพัก
“คงเป็นชั้นห้าล่ะมั้ง”
“ชั้นห้างั้นเหรอ…”
ที่แท้ผมก็ร่วงจากชั้นสองมาชั้นห้าในอึดใจเดียว มิน่ามอนสเตอร์ที่นี่ถึงน่ากลัวขนาดนี้…แต่น่าจะเป็นเพราะดันเจี้ยนใต้ดินดูค่อนข้างน่าสับสน จนทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน ยังไงซะดันเจี้ยนนี้ก็แปลกประหลาดเกินไป
“พอไปถึงสถาบัน ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชมห้องทดลองของข้า ที่นั่นมีของที่หาซื้อข้างนอกไม่ได้เพียบเลย”
“มันก็เป็นแค่พื้นที่ส่วนตัวที่เธอกั้นออกมาจากห้องกิจกรรมภาคีเท่านั้นแหละ”
ฟาลันพูดแขวะอย่างไร้อารมณ์
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าไปสนใจเลย”
“ไม่สนใจได้อย่างไร!”
คิ้วของฟาลันขมวดขึ้นมา
“ยาเวทมนตร์ของข้าจู่ๆ ก็หายไป ทำให้ข้าลำบากทีเดียว!”
“คือว่า…ข้าแค่เผลอหยิบผิดไป อย่าใส่ใจเลยน่า…”
“ไม่ใส่ใจ…ไม่มีทางซะหรอก…”
สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ดีกันแน่เนี่ย ดูจากท่าทางของพวกเธอแล้ว ปกติพวกเธอก็คงวุ่นวายแบบนี้
สถาบันน่ะ…
รู้สึกเหมือนคำนี้ห่างไกลจากผมทีเดียว
ความทรงจำของผมที่มีต่อโรงเรียนค่อนข้างเลือนลาง แม้จำได้ว่าผมคงเป็นนักเรียน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยมีความประทับใจต่อชีวิตการเป็นนักเรียนสักเท่าไหร่
แล้วความรู้สึกแบบนี้ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ความทรงจำของโลกเดิมเริ่มจางหายไปช้าๆ นอกจากความรู้ สิ่งอื่นก็ยิ่งผ่านไปยิ่งน้อยลง
รู้สึกว่าความทรงจำทุกอย่างจะหายไปทุกครั้งที่ตื่นนอน…ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็ไม่รู้ว่าควรเสียใจหรือดีใจ
ขณะที่ผมครุ่นคิดอยู่ พวกเราก็มาถึงด้านข้างของบันไดปีน
“ที่นี่แหละ ความจำของฉันไม่ผิดแน่”
ยูบริลพูดเช่นนี้แล้วปีนขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“อืม ทำไมพวกเธอไม่ขึ้นไปล่ะ?”
เห็นทั้งสองคนยังไม่เคลื่อนไหว ผมก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“คือว่า…”
ฟาลันเอียงศีรษะ
“เดี๋ยวจะเห็นกางเกงใน เจ้าขึ้นไปก่อน…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ยูบริลก็ตกลงมาข้างๆ ผมเสียงดังปัง
เห็นท่าทางที่ดูแข็งกร้าวของเธอ ผมก็คิดว่าไม่พูดอะไรจะดีกว่า
แล้วเธอก็เดินตรงมาข้างหน้าผม สูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้น้ำเสียงสงบพูดขึ้น
“เจ้าจะขึ้นไปเอง หรือว่าให้ข้าโยนเจ้าขึ้นไป?”
“ฉัน…ขึ้นไปเองดีกว่า”
พูดจบ ผมจึงเริ่มท้าทายการปีนบันไดที่เร็วที่สุดในชีวิตผม