บทที่ 381 แพ็คของขวัญฝึกสอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยรีบซื้ออาหารเช้าและมาที่สถาบันวิจัยก่อนที่โมนิกาจะมาทำงาน
เขานั่งบนเก้าอี้ของโมนิกา ดื่มนมถั่วเหลืองและกินซาลาเปารอการมาเยือนของอีกฝ่ายอย่างสบายอารมณ์
ช่วงประมาณแปดโมงเช้า โมนิกาก็เปิดประตูเข้ามาตามปกติ ทว่าเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นไป๋เยี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ “คุณไป๋ มาแต่เช้าแบบนี้จะเบิกเงินเท่าไหร่คะ”
ไป๋เยี่ยยกยิ้ม “อะแฮ่ม คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ ผมเอาของขวัญมาให้คุณต่างหาก ดูนี่สิ ผมซื้ออาหารเช้ามาให้!”
โมนิกาหัวเราะพลางแขวนเสื้อไว้บนไม้แขวน “เมื่อสองวันก่อนคุณก็พูดแบบนี้ตอนที่มาขอเบิกเงินซื้อเครื่องดีเอ็มแอล-2764ที”
เธอพูดจบก็หยิบขวดนมถั่วเหลืองที่ไป๋เยี่ยซื้อให้ขึ้นมา “ไหนลองบอกฉันมาสิคะ คราวนี้มีเรื่องอะไร แล้วจะเบิกเท่าไหร่”
ไป๋เยี่ยคิดว่าคราวนี้เขาจะต้องแสดงฝีมือเรื่องการหาเงินสักหน่อยแล้ว!
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นตบกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูนี่สิครับ คืออะไรเอ่ย”
โมนิกาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าตรงหน้าคือเช็คธนาคารซิตี้แบงก์
และเมื่อเธอยื่อมือไปหยิบมันมาก็ต้องตกใจกับตัวเลขบนนั้น!
ห้าสิบล้าน!
ห้าสิบล้านดอลลาร์!
ไป๋เยี่ยมองดูท่าทีตกตะลึงของโมนิกา เธอดูจะดีใจมากจริงๆ
เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่โมนิกามองเขาด้วยสายตาแบบนี้คือที่ฮอลลีวูด ตอนที่เขาช่วยชีวิตครูซสำเร็จ
แล้ว…เธอก็ไม่เคยมองด้วยสายตานั้นอีกเลย
ทว่าจู่ๆ สีหน้าของโมนิกาก็เปลี่ยนไปทันที “คุณไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน นี่คุณเอาสถาบันไปจำนองหรือเปล่า”
ไป๋เยี่ยพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไป ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง คนนี้คือต้วนเจ๋อหมิง คุณน่าจะไม่รู้จักเขา แต่ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้…”
ไป๋เยี่ยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้โมนิกาฟังอย่างละเอียด
โมนิกาฟังอย่างตั้งใจ เมื่อฟังจบแล้วเธอก็ครุ่นคิดจนถี่ถ้วนและพูดว่า “คุณไป๋ ฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีเลยค่ะ ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องสร้างโรงพยาบาลอยู่ดี ลำพังคนคนเดียวคงหาเงินมาขนาดนั้นไม่ได้ แต่มีคนมาร่วมมือด้วยแบบนี้ฉันก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่เลย อีกอย่าง คุณต้วนก็คงไม่ใช่คนทั่วไปแน่นอน เงินห้าสิบล้านดอลลาร์อาจจะเป็นแค่เศษเงินของเขาก็ได้ แต่สำหรับเราแล้วมันเหมือนเป็นเงินช่วยชีวิตเราเลย ดูเหมือนว่าคุณต้วนเจ๋อหมิงจะตั้งใจยื่นมือเข้ามาช่วยคุณจริงๆ นะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว โมนิกาก็อธิบายวิธีการต่างๆ ของต้วนเจ๋อหมิงให้ไป๋เยี่ยฟัง เขาลดส่วนแบ่งหุ้นของไป๋เยี่ยได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้สร้างโรงพยาบาลด้วยกันอีก ไป๋เยี่ยเองก็หวังว่าการร่วมมือของทั้งคู่จะไม่มีข้อครหา หรือเบื้องลึกเบื้องหลังใดๆ
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของโมนิกาแล้วไป๋เยี่ยก็พยักหน้า เขายิ่งประทับใจในตัวต้วนเจ๋อหมิงมากขึ้นไปอีก “หลังจากลุงต้วนกลับไปแล้วจะมีทีมทนายเข้ามาเซ็นสัญญากับเรา คุณก็เป็นคนรับผิดชอบเรื่องทีมแพทย์แล้วกันครับ รอให้เราสร้างโรงพยาบาลเสร็จก่อน เรื่องสถาบันวิจัยคุณก็พักไปได้เลยครับ เรามาทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า”
“สุดท้ายไม่ว่าต้วนเจ๋อหมิงจะดีแค่ไหน แต่เราก็วางใจไม่ได้ เรายังต้องการคนมีความสามารถอยู่ พูดตามตรง ผมคิดว่าสถาบันวิจัยของเรายังเล็กเกินไป เราควรจะทำให้มันไปสู่ระดับนานาชาติได้”
โมนิกาฟังสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูดแล้วก็เบิกตากว้าง โรงพยาบาลใหญ่ๆ ระดับนานาชาติคือธุรกิจขนาดใหญ่อย่างหนึ่ง การที่ต้วนเจ๋อหมิงยื่นมือเข้ามาแบบนี้คงจะไม่ใช่เงินน้อยๆ เป็นแน่
โมนิกาเองก็ตั้งตารอเช่นกัน!
โมนิกาเสริมขึ้นทันที “คุณไป๋ เมื่อกี้ฉันลืมบอกคุณไปว่าตระกูลต้วนไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ เลย ว่ากันว่าตอนนั้นเมียนมาร์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ชาวญี่ปุ่นเข้ามาเก็งราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาด้วย ตระกูลต้วนก็เคยซื้อที่ดินไว้ผืนหนึ่งและออกจากตลาดไป ตอนที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ล่มสลาย ญี่ปุ่นก็คิดว่าตระกูลต้วนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลต้วนจะกลายเป็นคนที่ได้เงินก้อนโตไป”
“ถ้าในโลกเรามีสมาคมคนรวยล่ะก็ ฉันเชื่อว่าตระกูลต้วนก็คงอยู่ในนั้นแน่ๆ”
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่าโมนิกาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขาก็พยักหน้าลง
ยังไม่มีการกำหนดข้อตกลงในการร่วมมือกัน จะต้องมีการตัดสินใจหลังจากการสำรวจและอภิปรายกันระหว่างทีมงานและบุคลากรของทั้งสองฝ่าย
ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่กินเวลานานพอสมควร
อย่างไรเสียก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเตรียมสำหรับการจัดตั้งทีมแพทย์ โชคดีที่ตระกูลต้วนมีชื่อเสียงด้านการสร้างโรงพยาบาล พวกเขามีทีมวางแผนที่มากประสบการณ์ ไป๋เยี่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้เลย
ไป๋เยี่ยต้องรับผิดชอบการฝึกอบรมบุคลากรในระยะเวลาสั้นๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยุ่งมากก็ตาม แต่ทุกๆ สัปดาห์เขาจะต้องเจียดเวลาครึ่งวันหรือหนึ่งวันเต็มมาอบรมด้วย
โดยเฉพาะการฝึกอบรมทักษะทางการแพทย์ นี่คือหน้าที่หลักของไป๋เยี่ย
ส่วนคนที่จะมาเข้ารับการอบรมในภายหลัง มีบุคลากรเก่าๆ เข้าไปอบรมให้แทนก็เพียงพอแล้ว
หลังจากที่ลงทุนไปเป็นจำนวนมากแล้ว ภาระงานวิจัยของไป๋เยี่ยก็มากดขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มติดต่อกับเอสพีโอเอ็มว่าจะจัดส่งเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนดีเอ็มแอล-2764ทีมูลค่ากว่ายี่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐได้เมื่อไหร่
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็เป็นวันที่หนึ่งสิงหาคมแล้ว ไป๋เยียทุ่มเทกับการฝึกทหารครั้งนี้มาก
บุคลากรที่ได้รับเลือกให้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่เป็นคนในวงการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์ฉุกเฉินอยู่แล้ว
ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะมีทักษะประมาณเลเวลสองถึงสาม อย่างไรเสียทุกคนที่มาเข้าร่วมก็ยังอายุน้อย พวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่มสาววัยยี่สิบถึงสามสิบปีต้นๆ ไม่แน่ว่าบางคนในนั้นอาจจะมีทักษะถึงเลเวลสี่เลยก็เป็นได้
เพราะหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทหารอย่างสวีเสี่ยวเฉียนก็มีทักษะเลเวลสี่เช่นกัน
หลังจากที่คนเหล่านี้ได้มาพบกับไป๋เยี่ย พวกเขาก็พัฒนาตนเองไปได้อย่างก้าวกระโดด
ทว่าไป๋เยี่ยกลับค้นพบเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง จะว่าเป็นเรื่องดีก็ได้!
[ติ๊ง! ผู้อบรมภายใต้การดูแลของคุณจะได้รับการอัปเกรดทักษะเป็นเลเวล 3 ยินดีด้วย คุณได้รับรางวัลฝึกสอน!]
ไป๋เยี่ยเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ
นี่คือระบบจิตพิสัยสินะ แม้แต่มาฝึกสอนก็ยังได้รับค่าประสบการณ์ด้วย
ไป๋เยี่ยมองแพ็คของขวัญฝึกสอนตรงหน้าก่อนจะกดเปิดมันทันที
[ติ๊ง! คุณเปิดแพ็คของขวัญฝึกสอนแล้ว ได้รับค่าประสบการณ์ทักษะการแพทย์ฉุกเฉิน 1000 แต้ม]
เอาเถอะ หนึ่งพันแต้มมันก็ไม่ได้เยอะหรอก! แต่ได้มาก็ยังดี…
นั่นหมายความว่าเราอัปเกรดตัวเองจากการเรียนและการฝึกฝนได้ด้วยน่ะสิ
การบรรยายช่วยให้เราทบทวนความรู้ที่เคยเรียนมาและสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้จริงๆ