บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน

บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน

ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ขณะที่กล่าว ซุ่ยเหรินถิงพลันสะบัดแขนเสื้อ และเจดีย์หยกโบราณสีดำก็หมุนวนไปรอบ ๆ บีบให้ธารเลือดสีทองของราชันเซียนพุ่งออกมาจากภายใน และกลายเป็นแม่น้ำที่พุ่งทะลุท้องฟ้า

เลือดสีทองนั้นแฝงไปด้วยกฎแห่งราชันเซียน แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และเมื่อมันมาบรรจบจนเป็นแม่น้ำ มันก็สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทุกยุคทุกสมัย ปรากฏเป็นภาพที่หวาดหวั่นใจ

เลือดเหล่านี้มาจากราชันเซียนทั้งสอง ซึ่งคือเล่อเชียนโฉวและเป่ยห่าวหลิง!

ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคือเจ้านิกายยุคแรกกำเนิด ซึ่งเป็นนิกายสูงสุด แต่ตอนนี้ พวกเขากลับมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของซุ่ยเหรินถิง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชีวิตจะดับสูญ แต่ร่างกาย วิญญาณ เลือด และการบ่มเพาะกลับถูกถวายเป็นเครื่องบูชายัญ มันจึงน่าสมเพชเหลือคณนา

นี่คือวิธีการของนิกายอำนาจเทวะ!

ไร้อารมณ์ โหดเหี้ยม และทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!

ครืน!

ในขณะที่เฝ้าดูแม่น้ำเลือดของราชันเซียนที่มีสีทองสดใส ซึ่งกลายเป็นแสงสาดส่องไปทั่วมิติอันไร้ขอบเขต และพุ่งเข้าสู่ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ที่วางไว้เมื่อนานมาแล้ว ซุ่ยเหรินถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“โชคดีที่เราได้รับความช่วยเหลือจากเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ในครั้งนี้ มิฉะนั้นเราอาจต้องเจอศึกหนักเพื่อฆ่าไอ้บัดซบสองตัวนั้น” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มันก็แค่ไอ้โง่สองตัวที่ดวงจิตแห่งเต๋าถูกครอบงำด้วยความโลภ ทันทีที่ได้ยินว่าจะสามารถกลายเป็นเทพได้ เมื่อนั้นก็กลายเป็นเบี้ยในมือของเราแล้ว ช่างน่าสมเพชอย่างแท้จริง” เจี้ยงหลิงเซียวกล่าวอย่างดูถูก

หลังจากนั้น คิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากัน “อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ซุ่ยเหริน แม้ว่าค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์จะได้รับการถวายด้วยชีวิตของราชันเซียนถึงสองคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายล้างสืออวี๋และคนอื่น ๆ”

“อย่าได้กังวลศิษย์น้อง ก่อนที่เราจะมาถึงซากโบราณสถานแรกกำเนิด ท่านอาจารย์ได้ทำนายถึงสมบัติที่ตำหนักเต๋าหนี่หวาจัดเตรียมไว้ ดังนั้นจึงอนุญาตให้ข้านำกระจกปฐพีไร้ขอบเขตมาด้วยเป็นกรณีพิเศษ” ท่าทางของซุ่ยเหรินถิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิและความมั่นใจ

“ข้าได้วางสมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นการทำลายราชันเซียนทั้งสามจึงง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือรอผลลัพธ์อย่างใจเย็นก็พอ”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยแสงเรืองรอง “เมื่อถึงเวลานั้น สมบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในการครอบครองของพวกมัน ก็จะตกเป็นของเรา ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการหัวเราะลั่นได้

เจี้ยงหลิงเซียวย่นริมฝีปากของนางและหัวเราะอย่างไม่รู้จบเช่นกัน ท่าทางก็อ่อนโยนและถ่อมตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวกลับเฉยเมยและไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

หลังจากผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเฉินซีฟื้นความรู้สึก การต่อสู้ก็สงบลงแล้ว

ในระยะสายตา ซากศพ เลือด โครงกระดูก และมิติที่กว้างใหญ่นั่นพังทลายกระจายตัวออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ… กระแสห้วงมิติที่ปั่นป่วนกำลังฟื้นคืนความสงบ แต่กลิ่นคาวเลือดและจิตสังหารที่ปกคลุมฟ้าดินกลับไม่สามารถขจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น

มันจบลงแล้วหรือ?

ศพของเทพโลหิตโบราณจำนวนหลายหมื่นศพ และศพของราชันเซียนโบราณสี่ศพล้วนถูกทำลายล้างไปหมดแล้วหรือ?

เฉินซีลืมตาให้กว้างขึ้น แทบไม่กล้าเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

หากกล่าวอย่างมีเหตุผล เขาควรจะรู้สึกยินดี แต่เมื่อจ้องมองไปที่เตียนเตี้ยน สืออวี๋ และเซียงหลิวหลี หัวใจกลับกระตุกอย่างรุนแรง

เพราะสีหน้าของพวกเขายังตึงเครียดไม่เสื่อมคลาย มันดูน่ากลัวยิ่งกว่าก่อนเริ่มการต่อสู้เสียอีก

หรือว่า… การต่อสู้จะยังไม่จบ?

ใช่แล้ว มันยังไม่จบ!

ในไม่ช้า เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าแม้ว่าซากศพจะถูกกวาดล้างออกไปแล้ว แต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ยังคงลอยอยู่ในบริเวณโดยรอบ ยิ่งไปกว่านั้น ศพที่แหลกเละ คราบเลือดสีแดงเข้ม และกองกระดูกที่ปกคลุมท้องฟ้า ล้วนแต่ถูกปกคลุมด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง และค่อย ๆ ขยับเขยื้อนทีละน้อย

พลังนั้นเป็นสีดำสนิทที่ดูคลุมเครือ มันแพร่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ในขณะเดียวกันก็แผ่ซ่านพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวของหายนะ

“นี่คือ…” เฉินซีรู้สึกผวา ในขณะที่ความหวาดกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ราวกับกำลังเผชิญกับหายนะอันน่าสยดสยอง

“ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ เป็นหนึ่งในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณของนิกายอำนาจเทวะที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันสามารถบดขยี้ทวยเทพและทำลายมหาเต๋า ว่ากันว่าความตายจะไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าหายนะจะสิ้นสุดลง” เสียงของเตียนเตี้ยนดังก้องอยู่ในหู น้ำเสียงหนักอึ้งจนไม่สามารถปกปิดได้

เฉินซีเข้าใจอย่างฉับพลัน แต่คลื่นพายุก็เกิดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน “ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ และจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกมันคิดจะทำลายล้างพวกเราที่นี่!”

“ไยเรา… ถึงไม่ทำลายค่ายกลนี้ล่ะ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นราชันเซียนทั้งสามยืนคร่ำเครียดอยู่กับที่

“ปฏิบัติการของนิกายอำนาจเทวะนั้นไม่ง่ายนัก เรารอดูท่าทีกันก่อนเถอะ” สืออวี๋ตอบอย่างใจเย็น “หากเราทำอะไรบุ่มบ่ามในเวลานี้ เกรงว่าเราอาจติดอยู่ในค่ายกล และเพลี่ยงพล้ำ”

เฉินซีขมวดคิ้ว และไม่เห็นด้วยกับความคิดที่คล้ายกับการรอคอยความตายเช่นนี้

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น พลางอนุมานในใจอย่างเงียบ ๆ ในท้ายที่สุด เขาสังเกตเห็นว่า ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณจากนิกายอำนาจเทวะมีพลังที่คลุมเครือ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถอนุมานและมองทะลุความเป็นจริงได้

ไม่ใช่ว่าการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะขอบเขตการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับพลังงานที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างยิ่ง ทำให้ไม่สามารถอนุมานอะไรได้เลย

ครืน!

ในขณะนี้ พายุฝนสีทองก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เม็ดฝนมีสีทองสดใส โปร่งแสง และเป็นผลึก ซึ่งเม็ดฝนแต่ละหยดก็มีพลังอันกว้างใหญ่และทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว ตอนนี้มันกลายเป็นพายุฝนที่กระหน่ำลงมา เหตุุการณ์ตรงหน้านั้นน่าสะพรึงและไม่ธรรมดาจนไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด

พายุฝนกระหน่ำลงมาเหมือนน้ำตกของฟ้าดิน

หลังจากฝนสีทองตกลงกระทบกับซากศพและกระดูกที่แตกหัก เหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น

ศพของเทพโลหิตบรรพกาลจำนวนมากถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปร่างอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกมันแตกต่างจากเมื่อก่อน ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเส้นเลือดสีทองและกลิ่นอายแห่งหายนะสีเทา อีกทั้งยังรุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า!

ยิ่งไปกว่านั้น ศพของราชันเซียนโบราณทั้งสี่ที่แต่เดิมถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ ตอนนี้กลับเริ่มรวมตัวกันเป็นรูปร่าง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝนสีทองและกลิ่นอายแห่งหายนะ

เฉินซีรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แม้สัมผัสกับฝนเพียงหยดเดียว มันก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตได้!

“เลือดของราชันเซียน!”

“ตามที่คาดไว้ นิกายอำนาจเทวะใช้เคล็ดวิชาบูชายัญที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี! ดูเหมือนว่าพวกมันจะสังหารคนของนิกายยุคแรกกำเนิดที่ร่วมมือด้วยกันไปแล้ว!”

ในเวลาเดียวกันนั้น สืออวี๋และเซียงหลิวหลีก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดมากขึ้น

“ไม่อาจชักช้าได้แล้ว เราต้องฝ่าวงล้อมออกไป!” เตียนเตี้ยน ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

นี่คือสิ่งที่สืออวี๋และเซียงหลิวหลีคิดเช่นกันอย่างแน่นอน

“ฮึ่ม! ซุ่ยเหรินถิง เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารพวกเราด้วยความสามารถอ่อนด้อยนี้หรือ? ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!?” สืออวี๋คำรามอย่างเย็นชา ก่อนที่จะพลิกฝ่ามืออย่างสบาย ๆ และศิลาเบญจรงค์อันงดงามก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ลำแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

ศิลาเบญจรงค์!

ในช่วงต้นของยุคก่อนประวัติศาสตร์ เสาทั้งสี่พังทลาย ทวีปทั้งเก้าถูกแยกออกจากกัน ท้องฟ้าและผืนดินสั่นคลอน หายนะแห่งฟ้าดินเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สิ่งมีชีวิตและเผ่าพันธุ์มากมายในโลกจะอยู่รอดได้ ดังนั้นปรมาจารย์แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาจึงใช้ศิลาเบญจรงค์เพื่อซ่อมแซมท้องฟ้า และใช้พลังวิเศษอันสูงสุดเพื่อควบคุมชะตากรรมของทุกเผ่าพันธุ์!

นี่เป็นตำนาน แต่เห็นได้ชัดว่าศิลาเบญจรงค์นั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด มันสามารถซ่อมแซมท้องฟ้าและกฎเต๋าแห่งสวรรค์จนกลับคืนสู่ความสมบูรณ์ได้ แล้วมันจะธรรมดาได้อย่างไร?

แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเขาเห็นสืออวี๋ควักสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมา เตียนเตี้ยนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลย ว่าครั้งนี้เจ้าจะเตรียมไพ่เด็ดถึงขนาดนี้”

สืออวี๋ยิ้ม จากนั้นก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม “ตามข้ามา เราต้องฝ่าวงค่ายกลนี้ไปในรวดเดียว!”

ทันทีที่สิ้นคำ ร่างของเขาก็เปล่งประกายและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ศิลาเบญจรงค์ในมือกลายเป็นรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมผืนนภา ขณะสาดแสงลงมาสู่บริเวณโดยรอบ ละลายฝนสีทองที่ปกคลุมเบื้องบน บังเกิดเป็นเสียงดังฟู่เสียดหู

ในเวลาเดียวกัน เตียนเตี้ยน เซียงหลิวหลี และเฉินซีต่างพุ่งทะยานตามไปติด ๆ

ครืน!

การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง แสงอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมท้องฟ้า ในขณะที่พลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวได้ท่วมท้นเป็นระยะสองหมื่นห้าพันลี้

ในทางกลับกัน เฉินซีได้สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย รับรู้เพียงว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ น่าสะพรึงและเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนนัก หากเตียนเตี้ยนไม่แบ่งพลังบางส่วนเพื่อปกป้องเขา ตัวตนเช่นเขาคงสลายหายไปในวงต่อสู้อันกว้างใหญ่นี้แล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอึดอัดยิ่ง!

มันเหมือนกับว่าชะตากรรมของเขาถูกล่ามโซ่ และอยู่ในกำมือของผู้อื่น ไร้ซึ่งพลังที่จะต่อต้าน

เฉินซีไม่ชอบความรู้สึกดังกล่าว และเกลียดมันจากก้นบึ้งของหัวใจ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากไม่มีราชันเซียนทั้งสามนี้อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอถูกเชือดอย่างแท้จริง

‘ความแข็งแกร่ง!’ เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในใจของเฉินซี แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว แต่ก็อธิบายความปรารถนาของเขาได้อย่างชัดเจน เพราะความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้!

“ไม่ได้การ! นี่คือพลังของกระจกปฐพีไร้ขอบเขต!”

“ว่าอะไรนะ? ไอ้บัดซบซุ่ยเหรินถิงนั่นได้ใช้กระจกปฐพีไร้ขอบเขต เป็นรากฐานของค่ายกลนี้จริง ๆ!”

“ระวัง!!!”

ทันใดนั้น เสียงอุทานด้วยความตกใจของสืออวี๋ เตียนเตี้ยน และเซียงหลิวหลีซึ่งโกรธจัดได้ดังก้องอยู่ในหูของเขา และมันทำให้เฉินซีกลับมามีสติอีกครั้ง

ครืน!

ก่อนที่เฉินซีจะฟื้นคืนความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ พลันรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นอย่างรุนแรง กระดูกในร่างราวกับถูกทุบเป็นชิ้น ๆ และถูกเผา กลิ่นอายแห่งหายนะที่ไม่มีใครเทียบได้และเลือดของราชันเซียนได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายเหมือนฝูงอาชาป่า พวกมันต่างโหมกระหน่ำอย่างดุเดือด ในขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนาได้แล่นไปทั่วกาย มันทรมานจนเขาไม่อาจควบคุมตัวเองและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะระเบิด!

โอม!

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ คลื่นพลังผันผวนอันแปลกประหลาดก็แผ่ขยายออกมาจากห้วงจิตสำนึกของเขา มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ และแท้จริงแล้ว มันเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด ขณะที่มันกวาดเลือดของราชันเซียนที่พลุ่งพล่านภายในร่างออกไป

ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็ค่อย ๆ ทุเลาลง แต่กลิ่นอายแห่งหายนะยังคงอยู่ โดยมีเป้าหมายกัดกร่อนรากฐานแห่งเต๋า และทำลายล้างวิญญาณ!

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ปลดปล่อยคลื่นพลังผันผวนออกมา กระบี่เต๋าวิบัติที่วางอยู่อย่างเงียบ ๆ ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายในร่างของเฉินซีก็เริ่มส่งเสียงพึมพำเช่นกัน แสงสีแดงเลือดหลั่งไหลไปทั่วคมกระบี่ และจากนั้น ลวดลายของดอกบัวที่มีอยู่อย่างหนาทึบซึ่งทับซ้อนกันหลายชั้นก็เบ่งบาน

โครม!

เมื่อลวดลายของดอกบัวควบแน่นจนกลายเป็นรูปร่าง กลิ่นอายที่ผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวไม่เพียงแต่กลืนกินกลิ่นอายแห่งหายนะภายในจนหมด มันยังส่งเสียงดังก้องขณะที่พุ่งออกมาจากร่าง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท