ตอนที่ 412 ไม่อาจไร้หัวใจแห่งการเฝ้าระวัง
เรือนพักร่ำรวย!
เสียงลมคำราม บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว!
หลายวันนี้ เรือนพักอยู่ในการเฝ้าระวังขั้นสูงเสมอมา
เยียนหนานในฐานะหัวหน้าค่ายองครักษ์ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย
จี้ผิงถูกจับมาเป็นแรงงาน ดูแทนเรือนพักแทนเยียนหนานให้ดี!
หัวหน้าแคว้นชี้กลัวตาย!
กลัวอย่างมาก!
หลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากราชสำนัก
แคว้นชีเพียงแคว้นเดียวจะสำคัญกว่าเมืองหลวงได้อย่างไร
ขุนนางราชสำนักก็ไม่อาจเบี่ยงเบนความสนใจมาให้แคว้นชีเล็กๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ส่งกองกำลังมาให้แคว้นชี
แต่อย่างไรก็ตาม โจรกบฏได้ถอยทัพออกจากแคว้นชีไปแล้ว
มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะไม่มาเยือนแคว้นชีอีก
ดังนั้น…
อยู่และดับสลายไปเองเถิด!
ใต้เท้าแคว้นชีก็หมดหนทาง
เขาไม่อยากตาย ดังนั้นจึงทำได้เพียงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเรือนพักร่ำรวย ส่งกองกำลังหนึ่งมาประจำอยู่ที่แคว้นชี เพื่อป้องกัน!
ยึดมั่นในหลักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีผลประโยชน์ต่อกันและกัน นอกจากนี้แคว้นชีก็ถือเป็นลูกค้ารายหนึ่งของเรือนพักร่ำรวย เยียนหนานจึงตอบตกลงใต้เท้าแคว้น
เขาจัดเตรียมกองกำลังสองร้อยนายเฝ้าอยู่ในแคว้นชี อีกทั้งยังทิ้งม้าศึกไว้จำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
เพียงแต่…
แคว้นชียากจนเกินไป
ยากจนจนไม่อาจเลี้ยงองครักษ์สองร้อยนาย และม้าศึกร้อยกว่าตัวได้
ใต้เท้าแคว้นชีละอายใจอย่างมาก
ยากจน!
เหตุใดจึงยากจนเพียงนี้!
“เรือนพักร่ำรวยช่วยข้าเอาไว้ ปกป้องชีวิตของทุกคนในแคว้นชี เวลานี้ยังยอมส่งกำลังพลมาเฝ้ารักษา อีกฝ่ายทั้งออกคนทั้งออกแรง ไม่อาจแบกรับเองแม้แต่เรื่องอาหาร มิฉะนั้น ต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดยอมส่งกำลังพลมาช่วยเหลือพวกเราอีก เพียงแต่สำนักราชการไม่มีกำลังพอที่จะรับผิดชอบอาหารของคนจำนวนมากเพียงนี้ ทำได้เพียงขอให้นายท่านทุกท่านบริจาค ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน!”
ใช่ ใต้เท้าแคว้นตัดสินใจเกาะติดขาใหญ่
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องเกรงใจ
โจรกบฏไม่ถอยไปหนึ่งวัน แคว้นชีย่อมไม่ปลอดภัยหนึ่งวัน
หากต้องการให้เรือนพักร่ำรวยเต็มใจส่งกองกำลังมาปักหลักในแคว้นชี อย่างน้อยต้องจัดการเรื่องอาหารของอีกฝ่าย รวมทั้งหญ้าที่จำเป็นสำหรับม้าศึก
ส่วนเงินค่าทหารนั้น ใต้เท้าแคว้นยังหาหนทางไม่ได้
เขาตัดสินใจ…
หากเรือนพักร่ำรวยเรียกเงินจากเขา เขาจะเกาะขาใหญ่ต่อไป
พูดด้วยหลักเหตุผลและความรู้สึกที่จริงใจ ในที่สุดก็ทำให้บรรดาขาใหญ่ยอมสนับสนุนเงินและเสบียงให้แคว้น
เมื่อเทียบกับในอดีตที่บรรดาขาใหญ่ใช้เงินไม่กี่สิบก้วนเพื่ออุดปากสำนักราชการแคว้นแล้ว เรียกได้ว่าใจกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
ใต้เท้าแคว้นเหมือนปลดภาระหนักลง!
ในที่สุดก็ทำให้บรรดาไก่เหล็กพวกนี้ควักเงินออกมาได้
ลู่เฉินโจวไม่เต็มใจที่จะอยู่เฝ้าแคว้นชีต่อ
เขาอยากกลับเรือนพักร่ำรวย
เขาบอกเยียนหนาน “ข้าน้อยจะกลับไปแต่งสะใภ้!”
เยียนหนานกวาดตามองเขา “เรือนพักยังอยู่ในการเฝ้าระวัง ผู้ใดก็อย่าคิดแต่งสะใภ้ในเวลานี้! รอเมืองหลวงคลี่คลายสถานการณ์ แคว้นชีปลอดภัยแล้ว เจ้าค่อยกลับเรือนพักไปสู่ขอสะใภ้ก็ยังไม่สาย”
ลู่เฉินโจวฉีกยิ้ม “ข้าน้อยจะกลับไปประจบว่าที่สะใภ้!”
เยียนหนานเกือบกระอักเลือด
ช่างเป็นคนแปลกประหลาด!
“สะใภ้ยังหยุดอยู่ที่ปาก! คนเขาไม่เต็มใจแต่งกับเจ้า เจ้าก็อย่าตามรังควาน!”
“ข้าน้อยไม่ได้ตามรังควาน! ข้าน้อยจะใช้ความจริงใจทำให้สะใภ้หวั่นไหว!”
ลู่เฉินโจวพูดจาเหลวไหลด้วยน้ำเสียงจริงจัง!
เยียนหนานจิ๊ปาก พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “อยู่เฝ้าแคว้นชี หลังจากเสร็จภารกิจจะมีรางวัล รวมอีกหน่อยคงจะพอสำหรับสินสอด หากกลับเรือนพัก รางวัลนี้จะถูกยกเลิก”
ลู่เฉินโจวทำหน้าลังเล “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ายังมีสินสอดไม่พอ”
เยียนหนานทำหน้าบึ้ง พูดอย่างจริงจัง “ทั้งค่ายองครักษ์ ไม่มีเรื่องที้ข้าไม่รู้”
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เฉินโจวเอาแต่โหวกเหวกอยู่ทั้งวัน
เขาไม่อยากรู้ยังยาก!
ลู่เฉินโจวจับผม “แคว้นชียากจน ไม่คึกคักและมีคนมากเหมือนเรือนพัก!”
“ให้เจ้าเฝ้าเมือง ไม่ได้ให้เจ้ามาเดินตลาด เหตุใดต้องมีคนมาก ออกไป ทำงานให้ดี อย่าคิดเรื่องไร้สาระในแต่ละวัน ทำงานตามหน้าที่ให้ดี ย่อมไม่ขาดแคลนผลประโยชน์ของเจ้า!”
ลู่เฉินโจวแอบกรอกตา
กลับเรือนพักน่าจะเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เฝ้าเมืองเถิด!
…
กองทัพอวี้โจวเดินทางเข้าสู่พื้นที่นครบาลอย่างเป็นทางการ ขบวนนำกำลังมุ่งมาทางเมืองหลวง
เมื่อฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ทรงทราบเรื่องนี้ จึงทรงยิ้มออกมาด้วยความปิติยินดี!
เขาพูดเสียงดังต่อหน้าบรรดาขุนนางราชสำนัก “ข้าจะพระราชทานรางวัลให้ท่านโหวผิงอู่อย่างหนัก!”
เรื่องนี้…
มีขุนนางราชสำนักยืนออกมาทูลถาม “ฝ่าบาททรงหมายความว่าให้ท่านโหวผิงอู่นำกองกำลังเข้าเมืองหลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ผงะไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของบรรดาขุนนางในทันที
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้
แม้ภายในใจจะกระอักกระอ่วน แต่บนหน้ากลับยิ้มแย้ม
“ท่านโหวผิงอู่เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านโหวผิงอู่! ใต้เท้าทุกท่านลองคิดแทนข้า ตอนที่ท่านโหวผิงอู่เข้าเมืองหลวงควรนำกองกำลังมาด้วยมากน้อยเพียงใด”
“นำมาเพียงองครักษ์ส่วนตัวก็พอ!” มันเป็นความเห็นของบรรดาเชื้อพระวงศ์
บรรดาขุนนางต่างมีความเห็นไม่ตรงกัน ทุกคนต่างรู้สึกว่าการนำเพียงองครักษ์ส่วนตัวเขาเมืองหลวงนั้นน้อยเกินไป
กองทัพใต้มีกำลังพลไม่เพียงพอ เฝ้าระวังเมืองหลวงสิ้นเปลืองกำลังอย่างมาก
เหตุใดจึงไม่ให้กองทัพอวี้โจวนส่วนหนึ่งเข้าเมือง ร่วมกันเฝ้าระวังกับกองทัพใต้
ส่วนกองทัพอวี้โจวที่เหลือก็อยู่จู่โจมโจรกบฏ ซือหม่าโต่วอยู่นอกเมือง
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ไม่อาจตัดสินใจได้ ดังนั้นจึงถามหลิงฉางจื้อ “เหตุใดใต้เท้าหลิงจึงไม่พูด”
หลิงฉางจื้อโน้มตัวเล็กน้อย “เรื่องนี้ล้วนแล้วแต่ฝ่าบาท!”
“ใต้เท้าหลิงปกปักษ์รักษาเมืองหลวง มีบางเวลาที่เหนื่อยล้าหรือไม่”
“ย่อมมี! แต่การให้กองทัพอวี้โจวเข้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมคิดว่ายังต้องหารือในระยะยาว”
ดังนั้น เขาจึงมีเหตุผลประกาศจบการประชุม เรื่องนี้ค่อยหารือในภายหลัง
บรรดาขุนนางหมดหนทาง
บรรดาเชื้อพระวงศ์ยิ้มเย็นในบรรดาขุนนาง!
“ท่านโหวผิงอู่ สืออุนเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ใต้เท้าทุกท่านให้เขานำทัพเข้าเมืองมีจุดประสงค์อย่างไร หรือว่าพวกท่านต่างมีเจตนาไม่ดีหรือ”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล! หากท่านโหวผิงอู่ สืออุนมีเจตนาไม่ดี ตอนนั้นฝ่าบาทก็ไม่ทรงควรเรียกเขามาช่วยเหลือเมืองหลวง ในเมื่อเรียกเขามาช่วยเหลือเมืองหลวงแล้ว ก็ควรให้ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานแก่เขา พวกท่านอย่าพลางหวังพึ่งกองทัพอวี้โจวมาช่วยเหลือเมืองหลวง พลางระแวงกองทัพอวี้โจว คิดว่าท่านโหวผิงอู่ใจดี ยอมให้พวกท่านเหยียดหยามตามใจหรือ”
“ท่านโหวผิงอู่เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก สมควรฟังคำสั่งจากราชสำนัก!”
“ท่านโหวผิงอู่ย่อมจะฟังคำสั่งจากราชสำนัก แต่ราชสำนักก็ควรให้ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานแก่เขา พวกท่านยุยงฝ่าบาทให้เกิดความบาดหมางระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ต้องการสิ่งใดกันแน่”
“พวกเราล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ ย่อมต้องคำนึงถึงแผ่นดินต้าเว้ย”
“เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว! หากวันอื่นเมืองหลวงมีความยากลำบาก พวกท่านล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป!”
…
หลิงฉางจื้อแอบออกจากเมืองไปพบท่านโหวผิงอู่ สืออุน
ลุงหลานพบหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
“คารวะท่านลุง!”
“ฉางจื้อรีบลุกขึ้น!”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนไว้หนวดเคราที่สวยงาม ภายนอกเหมือนซินแสสอนหนังสือที่สง่างาม
มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่คมเหมือนดาบ ทันทีที่ลืมตาก็ทำให้คนใจสั่น!
เขาจงใจเก็บรัศมีความน่ากลัว บรรยากาศภายในกระโจมจึงน่าเข้าใกล้มากขึ้น
หลิงฉางจื้อมองไปรอบด้าน แต่ก็ไม่พบเซียวอี้
หลิงฉางจื้อตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเซียวอี้จะอยู่กับท่านลุง”
ท่านโหวผิงอู่เรียกให้เขานั่งลง “ข้าหวังว่าเซียวอี้จะอยู่ช่วยเหลือข้า แต่เสียดาย เขามีความคิดของตัวเอง พูดอย่างไรก็ไม่ยอมมา ข้าได้ยินว่าเขาจะสู่ของบุตรสาวคนที่สี่ของเยียนโส่วจ้าน ช่างเหลวไกลสิ้นดี มันไม่เป็นการทำให้ลำดับอาวุโสผิดเพี้ยนหรือ!”
หลิงฉางจื้อพูดทันที “เรื่องนี้เป็นฝีมือของท่านอ๋องผิงชิน เซียวเฉิงเหวิน”
เมื่อท่านโหวผิงอู่ได้ยินจึงหัวเราะออกมา
“ท่านอ๋องผิงชินหรือ ญาติของข้า อีกสองวันเข้าเมืองหลวง ข้าคงสนิทกับท่านอ๋องผิงชินเข้าไว้!”
หลิงฉางจื้อยกมุมปากขึ้น ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ห่างจากการเข้าเมืองหลวงของท่านลุงคราวนี้มียี่สิบปีแล้วใช่หรือไม่”
ท่านโหวผิงอู่ลูบเครา พลันพูด “สิบแปดปีเต็ม! คราวก่อนเข้าเมืองหลวง ฮ่องเต้ซวนหยวนจงผิงยังทรงมีชีวิตอยู่ ผ่านไปเพียงพริบตาก็เป็นไท่หนิงปีที่สองแล้ว! เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่คอยคนเสียจริง!”
“ท่านลุงยิ่งสง่ามากขึ้น!” หลิงฉางจื้อฉวยโอกาสประจบ
ท่านโหวผิงอู่โบกมือ ไม่ใส่ใจคำประจบเหล่านี้
หลายปีนี้ เขาได้ยินคำประจบมามากมาย ฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่งราวกับกำแพงเหล็ก ไม่มีทางหวั่นไหวเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของผู้อื่น
เขาถาม “เวลานี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ยังประคองต่อไปได้หรือไม่”
“พอจะประคองต่อไปได้! เพียงแต่ราคาเสบียงในเมืองหลวงสูงลิ่ว ประชาชนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ละวันต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง แต่กลับไม่สามารถอิ่มท้องได้!”
ท่านโหวผิงอู่จ้องมองเขา “ฉางจื้อช่างมีจิตใจเมตตาเสียจริง การเรียกร้องแทนประชาชนเป็นหน้าที่ของขุนนาง หากต้องการจัดการปัญหาของประชาชน ก่อนอื่นต้องจัดการปัญหาของเมืองหลวงเสียก่อน ข้าคิดจะพักผ่อนอยู่ที่นี้สักหลายวัน จากนั้นจึงก่อการโจมตีโจรกบฏ เมื่อถึงเวลานั้นยังต้องขอให้กองทัพใต้ร่วมมือ!”
หลิงฉางจื้อพยักหน้า พลันถามอีก “ท่านลุงไม่เข้าเมืองหรือ ฝ่าบาททรงรู้ว่ากองทัพอวี้โจวมาถึงนครบาล ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง!”
ท่านโหวผิงอู่เคาะโต๊ะเบาๆ “หากข้าเข้าเมือง สามารถนำกองกำลังมากน้อยเพียงใดเข้าไป”
“ฝ่าบาทยังไม่ทรงตัดสินพระทัย!”
“ข้าไม่ได้ถามความเห็นของฝ่าบาท แต่เป็นความเห็นของเจ้า เจ้าอยากให้ข้านำคนมากน้อยเพียงใดปักหลักในเมืองหลวง หรือว่าเจ้าไม่อยากให้ข้านำคนเข้าเมืองแม้แต่คนเดียว ฉางจื้อ ใจของเจ้าเริ่มทะเยอทะยานแล้ว!”
ท่านโหวผิงอู่ยิ้มอย่างรู้ทัน น้ำเสียงราบเรียบ
แต่หลิงฉางจื้อกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เขาพยายามรักษารอยยิ้ม “ท่านลุงเข้าใจผิดแล้ว! ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อหารือเรื่องนี้ ไม่รู้ท่านลุงต้องการนำกองกำลังมากน้อยเพียงใดเข้าเมืองหลวง”
ท่านโหวผิงอู่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ พลันพูดอย่างเชื่องช้า: “เมื่อเป็นขุนนางของราชสำนักก็แตกต่างไปจากเดิมเสียจริง เจ้ากำลังระแวงข้า เพราะเหตุใด”
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว “เหตุใดท่านลุงจึงพูดเช่นนี้ พวกเราเป็นลุงหลาน ข้าเชื่อใจท่านลุงเสมอมา เหตุใดจึงเกิดความระแวง”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “หากคิดจะใช้กลอุบายต่อหน้าข้า ฉางจื้อ ฝีมือของเจ้ายังไม่ถึงที่ ยังต้องฝึกฝนอีกหลายปี ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องใด เจ้าก็แค่กังวลว่าข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อน ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลิงที่สะสมมาหลายร้อยปี”
“ข้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตระกูลจริง!”
หลิงฉางจื้อยอมรับอย่างเปิดเผย
ท่านโหวผิงอู่ลุกขึ้นเดินออกไปนอกกระโจมอย่างกะทันหัน
เมื่อเดินผ่านหลิงฉางจื้อ เขาก็ยื่นมือออกไปกดลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างหนัก
“ไม่ต้องระแวงข้าเช่นนี้! ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าย่อมไม่บังคับเจ้า! คิดว่าฝ่าบาทก็ทรงเป็นกังวลเช่นเดียวกัน แต่ข้าจำเป็นต้องนำกองกำลังเจ้าเมืองหลวง!”