ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 211 นางคือผู้ที่พวกเจ้ามิอาจยุ่งได้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 211 นางคือผู้ที่พวกเจ้ามิอาจยุ่งได้!

บทที่ 211 นางคือผู้ที่พวกเจ้ามิอาจยุ่งได้!

ประโยคที่ว่า “ไม่มีมารผจญ” ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ได้ยินต่างคิดว่าตนกำลังหูฝาด เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีมารผจญเลย?!

เมื่อผู้บำเพ็ญทุกคนจะต้องฝ่าทัณฑ์สวรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายจะต้องยอมรับการชำระล้างของสายฟ้าเท่านั้น แต่จิตใจก็ยังต้องถูกทดสอบ โดยเป็นการกำเนิดของมารผจญภายในจิตใจ

มารผจญเหล่านั้นจะนำพาผู้บำเพ็ญไปยังจิตใจที่มืดมนที่สุด เผชิญกับสิ่งที่ยากลำบากและเกรงกลัวมากที่สุด เพื่อเอาชนะมารผจญและฝ่าการชำระล้างของสายฟ้าให้ได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ!

ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนนี้ มีผู้บำเพ็ญที่ฝ่าทัณฑ์สวรรค์ไม่สำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นเพราะถูกมารผจญ แต่บัดนี้คนพวกนั้นกลับบอกว่า หากดื่มสุราสร้างรากฐานนี้แล้ว จะไม่ต้องเจอกับมารผจญเช่นนั้นหรือ?!

“บอกมาเถิด เจ้าเป็นพวกของร้านต้องคำสาปที่ถูกว่าจ้างมาใช่หรือไม่!?” ผู้บำเพ็ญที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งถูกกระชากปกเสื้อ โดยชายผู้หนึ่งที่มีแววตาดุร้าย แต่ว่ามือของเขากลับสั่นระริก

“เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีมารผจญเลย!?”

ฝูงชนที่มุงดูอยู่ราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขันเข้าให้แล้ว บางคนหัวเราะจนน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หากจะกล่าวว่าไม่ต้องเผชิญกับมารผจญ ก็ยังไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอื่นในการหลีกเลี่ยง เพียงแค่ใช้โอสถชำระมารนั้นย่อมได้ ทว่าโอสถชำระมาร ไม่ใช่โอสถที่สามารถกลั่นได้ทั่วไป เพราะผู้ใดก็ตามที่กลั่นโอสถที่ต่อต้านการฝ่าทัณฑ์สวรรค์จะเป็นผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมอย่างรุนแรง!

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่กล้ากลั่นโอสถชำระมาร จำต้องเป็นนักกลั่นโอสถผู้ไม่เกรงกลัวความตาย หรือไม่ก็ต้องทุ่มสุดตัวแลกชีวิตตนเองเพื่อกลั่นโอสถ หนึ่งชีวิตแลกกับโอสถเม็ดเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดล้วนแต่เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น!

โอสถชำระมารมีราคาที่ไม่อาจประเมินค่าได้!

เสียงหัวเราะยังคงแพร่กระจายไปไม่หยุด…

“หรือเขาจะเป็นคนของเจ้าจริง ๆ?” ท่านอาจารย์ใหญ่แอบกระซิบถามหลิงเยว่

แม้จะพูดเบาเพียงใดแต่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนเป็นผู้บำเพ็ญทั้งสิ้น เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาต่างก็เงี่ยหูฟัง

“ไม่ใช่ ข้าไม่เคยพบเขาเลย…”

สุราสร้างรากฐานคือสุราที่นางให้ลูกศิษย์นำไปให้ลูกค้าเพื่อเป็นการขอโทษ หลิงเยว่ไม่ได้ออกหน้าเอง ด้วยกลัวจะถูกด่าว่าตระหนี่ถี่เหนียว

ความจริงแล้วสุราเพียงจอกเดียว นางก็ไม่กล้าที่จะลองชิมก่อน เลยไม่รู้ว่ามันมีผลอย่างไรด้วยซ้ำ

“เขาเป็นลูกค้าในร้านของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่เคยเห็นได้อย่างไร?”

หลิงเยว่ชำเลืองมองผู้บำเพ็ญคนที่พูด แม้จะรู้สึกระอาที่จะอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าสุราสร้างรากฐานนี้มีโอสถชำระมารหรือไม่ ดังนั้น นางจึงหมักขึ้นมาเฉย ๆ เท่านั้น

และครั้งที่นางผ่านขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้น นางก็ไม่ได้พบกับมารผจญ จึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้เท่าไหร่นัก

“สุราสร้างรากฐานเป็นเจ้าหมักเอง แต่กลับไม่รู้ว่ามันจะมีผลอย่างไรหรือ?”

เมื่อได้รับการพยักหน้ายืนยันจากหลิงเยว่ ทั้งเถาวั่งและผู้ที่อยู่ในที่นั้น “…”

จะไม่รู้ได้อย่างไร!?

นางหมักสุราส่งเดชเช่นนั้นหรือ!?

เสียงหัวเราะได้เงียบลงแล้ว หลิงเยว่กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ทำให้นางรู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ พวกเขาจ้องนางเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน?

“คำพูดของผู้บำเพ็ญคนนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อข้าผ่านขอบเขตจินตานในทะเลสาบกับหมิงหูก็ไม่ได้พบกับมารผจญเช่นกัน”

ชายหนุ่มคนหนึ่งช่วยพูดแทนผู้บำเพ็ญที่กำลังสำลักจนพูดไม่ออก

“ข้าก็… ไม่เจอเช่นกัน” มีผู้บำเพ็ญอีกคนหนึ่งที่เพิ่งผ่านการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ปรากฏตัวในสภาพเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง

“ข้าก็ไม่พบมารผจญเช่นกัน”

“ขอบพระคุณเจ้าของร้านหลิงผู้ประทานโอกาสอันยิ่งใหญ่!”

เมื่อฝ่าทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นจึงได้ก้มคำนับหลิงเยว่ด้วยความเคารพ เดิมทีพวกเขาคิดว่า หากถูกจับมายังร้านต้องคำสาปแล้วชีวิตต่อไปคงจะโชคร้ายเป็นแน่ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น นี่ไม่ใช่โชคร้าย แต่กลับเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมต่างหาก!

“ขอขอบพระคุณท่านอสูร!”

คำขอบคุณอย่างจริงใจนั้น ทำให้หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงยืดอก และมองด้วยสายตาดูถูกไปยังผู้บำเพ็ญที่คุกเข่าอยู่เช่นเคย

เมื่อก่อนหัวหน้าตะขาบมรกตเชื้อเชิญพวกเขามาด้วยความปรารถนาดี แต่เขากลับได้รับคำด่าทอ ทว่าบัดนี้ เมื่อได้รับประโยชน์แล้ว คนเหล่านี้กลับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที พวกมนุษย์มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ!

มีผู้หนึ่งกล่าวว่าสุราสร้างรากฐานนั้นไม่มีมารผจญเย้ายวนจิตใจ แน่นอนว่าไม่อาจเชื่อ แต่เมื่อผู้บำเพ็ญที่กลับมาจากการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ล้วนกล่าวเช่นนี้ ย่อมเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริง…

จริงหรือ?

“พวกท่านกล้าสาบานตนแล้วกล่าวอีกครั้งหรือไม่ ว่าดื่มสุราสร้างรากฐานแล้วจะไม่มีมารผจญ?”

“เหตุใดจะไม่กล้า?!” หมิงหูยืนตระหง่านท่ามกลางฝูงชน “แต่ไม่จำเป็นแล้ว สุราสร้างรากฐานจำนวนหนึ่งร้อยสิบเก้าจอกในมือของเจ้าของร้านหลิงนั้น พวกเราตระกูลหมิงขอเหมาทั้งหมด!”

“จอกละหนึ่งพันล้าน ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”

หลิงเยว่ “!!!”

พันล้านหินวิญญาณระดับกลาง เทียบเท่าหินวิญญาณระดับต่ำถึงหนึ่งหมื่นล้านก้อน! หนึ่งหมื่นล้านคูณด้วยร้อยยี่สิบจอกเท่ากับเท่าใดกัน?

[สามารถแลกเปลี่ยนได้หนึ่งแสนสองหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ]

โอ้! สุราหนึ่งไหสามารถซื้อหินหงส์ไฟสำหรับอีกาตัวน้อยได้ทันที และยังจ่ายคืนหนี้โอสถแปลงกายระดับเทพสองเม็ดให้หัวหน้าตะขาบมรกตได้ด้วย!

“เหมาะสมยิ่ง! เหมาะสมที่สุด!” หลิงเยว่แทบจะเอื้อมมือออกไปจับมือของหมิงหูด้วยความตื่นเต้น ท่านผู้นี้ช่างเป็นเทพแห่งโชคลาภโดยแท้!

“เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง! ท่านเจ้าของร้าน ท่านบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจำกัดการซื้อไว้ที่คนละหนึ่งจอก?!”

เมื่อมีคนต้องการเหมาสุราทั้งหมดเช่นนี้ ผู้คนโดยรอบต่างรู้สึกไม่พอใจ แต่พวกเขาพลันฉุกคิดได้ว่าหมิงหูเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควักหินวิญญาณออกมาเป็นจำนวนมากในทันที แน่นอนว่าคงได้รับคำสั่งจากบรรพบุรุษตระกูลหมิงอย่างแน่นอน!

สิ่งนี้ยังพิสูจน์ได้อีกว่าผลของสุราสร้างรากฐานนั้นวิเศษจริง!

เหล่าผู้บำเพ็ญพลางสูดหายใจลึก มองจอกสุราในมือของหลิงเยว่ด้วยสายตาละโมบ แต่เมื่อเห็นอาจารย์ใหญ่และอาจารย์ของสำนักที่คอยปกป้องอยู่หลายชั้น รวมถึง…

เหตุใดตระกูลเซี่ยถึงได้พาคนมาด้วย?

จำนวนผู้ปกป้องของหลิงเยว่ยังคงเพิ่มขึ้น แม้แต่ตระกูลซีก็ยังส่งคนมาช่วยนางเช่นกัน…

กองกำลังที่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญที่ต้องการปล้นสุราต่างรู้สึกหวาดกลัว ถึงพวกเขาจะอยู่หลายชีวิตก็ไม่อาจปล้นได้!

เจ้าของร้านต้องคำสาปที่อายุยังน้อยผู้นี้เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจรังแกได้ และสุราสร้างรากฐานนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถซื้อได้เช่นกัน!

แม้แต่หลิงเยว่เองยังตกใจจนคางแทบหลุด แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกปลอดภัยขึ้นแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้สมกับเป็นนางเสียจริง! ไม่ว่าจะไปที่ไหน นางก็เข้ากับคนเก่งเสมอ!

“หมิงหูรู้อยู่แล้วว่าคนหนึ่งจำกัดหนึ่งจอก เพราะฉะนั้นจึงได้นำสมาชิกในตระกูลมาหนึ่งร้อยสิบเก้าคน”

เหล่าผู้บำเพ็ญที่สวมชุดตระกูลหมิงได้ก้าวออกมาจากฝูงชน

“ตระกูลหมิง ข้าเตือนเจ้าอย่าโลภมากเกินไป ตระกูลซีของข้าเต็มใจจ่ายจอกละหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านเพื่อซื้ออีกครึ่งหนึ่ง!”

ชายหนุ่มเศรษฐีสองคน ซีชางและซีหลินต่างปรากฏตัวขึ้น

ตระกูลใหญ่ทั้งสี่มาแล้วถึงสองตระกูล อีกสองตระกูลคงจะตามมาอีกไม่ช้าเป็นแน่!

ก่อนที่อีกสองตระกูลจะออกมา รองประธานสมาคมนักกลั่นโอสถก็ได้พาผู้คนมาด้วยเช่นกัน…

เมื่อเห็นผู้คนมากมายเช่นนี้ หลิงเยว่รู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้วคงจะเหมือนตอนที่ประมูลชารู้แจ้งกันอย่างยาวนานเป็นแน่แท้!

หลิงเยว่ยัดสุราสร้างรากฐานทั้งหมดไปที่อกของท่านอาจารย์ ใหญ่แล้วถอยกลับไปหลบอยู่ในกลุ่มผู้พิทักษ์

แน่นอนว่าอาจารย์ใหญ่เข้าใจความหมายของหลิงเยว่ดี สถานการณ์เช่นนี้ เพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอย่างนางไม่สามารถควบคุมได้ เลยต้องให้เขาที่เป็นผู้อาวุโสมารับหน้าที่แทนนาง

“เมื่อหลิงเยว่บอกแล้วว่าจำกัดเพียงคนละหนึ่งจอก และการประมูลจะเริ่มต้นที่หนึ่งร้อยล้านหินวิญญาณชั้นกลางก็ว่ากันตามนั้นเถิด…”

จากนั้นการประมูลครั้งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็เริ่มต้นขึ้น

“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย หินวิญญาณมากมายขนาดนี้ เจ้าจะใช้หมดหรือ?”

หลิงเยว่มองหัวหน้าตะขาบมรกตด้วยสายตาที่แสนเศร้า “เจ้าคิดว่าโอสถแปลงกายของเจ้ามันถูกมากหรืออย่างไร?”

“หินวิญญาณที่ได้จากการขายสุราทั้งหมดไม่พอซื้อแม้แต่เม็ดเดียวเลยหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตเบิกตากว้าง หินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งหมื่นก้อน เขายังรู้สึกว่ามากมายแล้ว แต่ตอนนี้การประมูลเป็นร้อยล้านหินวิญญาณระดับกลางเสียด้วยซ้ำ ยังจะไม่พออีกหรือ!?

หลิงเยว่พยักหน้าอย่างหนักใจ “ไม่พอ”

หัวหน้าตะขาบมรกตสังเกตสีหน้าของหลิงเยว่อย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็พบว่านางพูดจริง เขาจึงเชื่อในทันที

ถูกต้องแล้ว โอสถแปลงกายที่สามารถทำให้เผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกที่ถูกสาปแช่งแปลงร่างได้จะธรรมดาได้อย่างไร?

ยอมลดให้นางสักเม็ดหนึ่งเพื่อให้เจ้ามนุษย์ผู้เปราะบางแบกรับภาระได้น้อยลงดีหรือไม่? ไม่! ไม่ได้! ความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในชีวิตของตะขาบมรกตและเหล่าลูกหลานของมันก็คือการแปลงร่าง เรื่องนี้ไม่สามารถยอมให้นางได้!

หากแย่ที่สุดก็แค่… พยายามหาหินวิญญาณให้หนักขึ้นด้วยตนเองในวันข้างหน้าแล้วกัน อายุขัยของเขานั้นยาวนานนัก ก่อนจะตาย เขาต้องทำให้ความปรารถนาของตะขาบมรกตสี่ปีกและเหล่าลูกหลานเป็นจริงให้ได้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท