ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 212 ไม่ใช่ว่าพวกเขายกทัพมาโจมตีร้านต้องคำสาปแห่งนี้หรือ?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 212 ไม่ใช่ว่าพวกเขายกทัพมาโจมตีร้านต้องคำสาปแห่งนี้หรือ?

บทที่ 212 ไม่ใช่ว่าพวกเขายกทัพมาโจมตีร้านต้องคำสาปแห่งนี้หรือ?

หลิงเยว่และหัวหน้าตะขาบมรกตแอบกระซิบกระซาบอยู่ในกลุ่มผู้พิทักษ์ พวกเขาไม่ได้สังเกตแม้กระทั่งเมฆสีดำที่หายไปจนหมดสิ้นแล้วด้วยซ้ำ การประมูลสุรายังคงดำเนินต่อไปอย่างคึกคัก จนกระทั่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลันดังขึ้นในหูของทุกคน พวกเขาจึงละทิ้งความสนใจไปยังนอกเมือง

ชายชราที่ร่างกายราวกับต้นไม้แห้งได้รับสายฝนศักดิ์สิทธิ์หลังจากฝ่าทัณฑ์สวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างกายของเขาที่ถูกสายฟ้าผ่าลงมาได้ทำการสร้างเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ เนื้อหนังนั้นอวบอิ่มเปล่งปลั่งและมีชีวิตชีวา ราวกับว่าใบหน้าของเขากลับคืนสู่ความอ่อนเยาว์อีกครั้ง

ผู้ที่ผ่านขอบเขตสร้างรากฐานจะเพิ่มอายุขัยสองร้อยปี ขอบเขตจินตานจะเพิ่มอายุขัยขึ้นสี่ร้อยปี ขอบเขตปฐมวิญญาณแปดร้อยปี… หลิงเยว่รู้สึกอิจฉามาก เนื่องจากอายุขัยเพิ่มขึ้นทีละหลายปี ส่วนของนางกลับเพิ่มทีละวัน

แต่นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งและยังมีระบบที่แข็งแกร่ง ก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา!

“เจ้าไม่เบื่อหรือ? ออกไปทำขนมก่อนดีหรือไม่?”

ทันใดนั้นนายท่านตระกูลเซี่ยก็โผล่มาทำให้หลิงเยว่ตกใจ นางหันไปมองอาจารย์ใหญ่ที่อยู่ในฝูงชน ขณะนี้เวลาผ่านไปครึ่งวันแล้ว แต่เขาประมูลไปได้เพียงยี่สิบจอกเท่านั้น ด้วยความคืบหน้าที่ล่าช้าเช่นนี้ อาจต้องใช้เวลาสองถึงสามวันกว่าจะสิ้นสุดลง

“เช่นนั้นก็ได้” หลิงเยว่เห็นด้วย เพราะมีนายท่านตระกูลเซี่ยคอยเป็นผู้พิทักษ์ให้และยังมีหัวหน้าตะขาบมรกตอยู่ด้วย หากนางออกไปตอนนี้คงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

“เจ้าไปเองเถิด ข้าต้องอยู่ที่นี่ เผื่อว่าหินวิญญาณจะถูกตาเฒ่านั่นกลืนลงท้องไป” หัวหน้าตะขาบมรกตที่ถูกฉุดไป รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก เพราะหินวิญญาณเหล่านั้นสามารถนำไปซื้อโอสถแปลงกายได้ แต่หากโดนกลืนไปจะทำอย่างไรเล่า!?

ยิ่งกว่านั้น ภายใต้การคุ้มครองของจ่าฝูงอสูรตนนี้ จะมีผู้ใดในเมืองฝู่ซางกล้าแตะต้องเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยกัน?

“ไม่ได้!”

หลิงเยว่กลัวตายยิ่งนัก จะปล่อยให้นางอยู่กับนายท่านตระกูลเซี่ยตามลำพังไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าจะสาบานต่อกันแล้ว แต่เขาก็คืออสูรอยู่ดี!

พวกอสูรจิตใจช่างแปรปรวน แล้วพวกเขาจะทำเรื่องผิดคำสาบานไม่ได้เลยหรือ?

หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกหมดหนทางกับความขี้ขลาดของหลิงเยว่ จนทำได้เพียงมองหินวิญญาณที่ค่อย ๆ ห่างจากเขาไปจนลับสายตา

เดิมทีหัวหน้าตะขาบมรกตเพิ่งตั้งใจขยันหาหินวิญญาณ ทว่าเจ้าของร้านตัวจริงกลับออกมาขัดขวาง เป็นเช่นนี้แล้วจะกล่าวหาว่าวัน ๆ เขาไม่ทำสิ่งใดและเอาแต่กินไม่ได้นะ!

เมื่อทั้งสามมาถึงร้านต้องคำสาป หลิงเยว่พานายท่านตระกูลเซี่ยและหัวหน้าตะขาบมรกตไปขังไว้หน้าห้องครัว แล้วตนเองก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำเค้กโลหิตทันที

นายท่านตระกูลเซี่ยจ้องประตูที่ปิดอยู่ด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขายังไม่ชินกับการฝากชีวิตของลูกสาวไว้กับผู้อื่น หากสามารถเรียนรู้วิธีการทำได้เอง เขาคงดีใจไม่ใช่น้อย…

ทว่าเขาก็ไม่ได้รบเร้าหลิงเยว่แต่อย่างใด เมื่อไม่ให้ดูก็ไม่ดู แม้เขาจะเป็นอสูรแต่ไม่คิดจะทำเรื่องลักขโมยเช่นนั้น!

พอรู้ว่าหลิงเยว่กำลังทำเค้กโลหิต หัวหน้าตะขาบมรกตจึงสลัดความเศร้าโศกออกไป ดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมหวานที่ลอยมาจากห้องครัวแล้ว!

“ท่านได้กลิ่นนี้หรือไม่?” นายท่านตระกูลเซี่ยกล่าว ขณะนั่งกินขนมดอกบัวอยู่ที่โต๊ะหญ้าด้านหน้าร้าน พร้อมกับชิมสุราสมุนไพรวิญญาณ หลังจากนั้นก็หยิบขาแกะมากินอย่างเอร็ดอร่อย

ถึงจะเย็นชืดแล้วก็ไม่ได้ลดความอร่อยลงแต่อย่างใด

หัวหน้าตะขาบมรกตหัวเราะในลำคอ แล้วนั่งที่ด้านหน้าโต๊ะอาหารสุดหรูมูลค่าพันล้าน มีอาหารบนโต๊ะหลายอย่างที่แทบไม่ได้ถูกแตะต้องเลย ช่างเสียของสิ้นดี! ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาช่วยจัดการแล้วกัน!

ขณะกินอาหารอยู่บนโต๊ะ หัวหน้าตะขาบมรกตเหลือบไปเห็นอาหารบนโต๊ะอื่น ๆ พลางมองไปที่นายท่านตระกูลเซี่ย จากนั้นปากของมันก็อ้าออก ฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกพลันปรากฏขึ้น!

พวกมันโผล่มาพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจน พุ่งไปหาอาหารวิญญาณที่กินเหลืออยู่บนโต๊ะอื่น ๆ ทันที

“พวกเจ้าต้องระวังกันด้วยนะ อย่ากินโต๊ะกินจานเข้าไปด้วยเล่า!” หัวหน้าตะขาบมรกตเตือนช้าไปเสียแล้ว เพราะโต๊ะและเก้าอี้พร้อมทั้งจานอาหารถึงสามในสี่ถูกฝูงตะขาบมรกตกินจนเกลี้ยง

นายท่านตระกูลเซี่ย “…”

หลังจากที่หัวหน้าตะขาบมรกตสั่งฝูงของตนไม่ให้กินอย่างอื่นนอกจากอาหารวิญญาณแล้ว พื้นที่โล่งกว้างก็ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย

เขาจำได้ว่าเจ้าเปราะบางน้อยเคยบอกว่า ชุดโต๊ะเก้าอี้ ทั้งชามและถ้วยพวกนี้ราคาแพงมาก รอจนนางออกมาพบว่าโต๊ะเก้าอี้หายไป คงจะด่าเขาจนหูชาเป็นแน่!

“หึ! มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่ได้โปรดปรานน้ำลายของพวกข้าเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกมากนักหรือ? เช่นนั้นแล้วข้าจะขายให้เจ้าในราคาถูกก็ได้!”

นายท่านตระกูลเซี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน อ้าปากต้องการปฏิเสธ ทว่าเมื่อนึกถึงลูกชายผู้คลั่งไคล้การกลั่นโอสถแล้ว จึงตกลงแลกเปลี่ยนแต่โดยดี

ถึงอย่างไร นายท่านตระกูลเซี่ยตระหนักได้ว่าปี้สุ่ยเย่ของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกเป็นของวิเศษอันล้ำค่า จึงไม่ได้เอาเปรียบหัวหน้าตะขาบมรกต เขาได้แต่เก็บน้ำลายที่พวกบริวารของหัวหน้าตะขาบมรกตคายออกมาใส่ลงในอ่างใหญ่ แล้วโยนถุงหินวิญญาณให้หัวหน้าตะขาบมรกตด้วยความรังเกียจ

เมื่อหัวหน้าตะขาบมรกตได้เปิดดูถุงหินวิญญาณก็แทบตาพร่า เห็นทีจะเพียงพอที่จะชดเชยโต๊ะและเก้าอี้ได้แล้ว!

ยามราตรีผ่านพ้นไป ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมาอีกครั้ง แม้การประมูลจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ตลอดสองวันเต็มมานี้ หลิงเยว่ไม่ได้ออกมาจากห้องครัวเลยแม้แต่น้อย ทำให้นายท่านตระกูลเซี่ยวิตกกังวลยิ่งนัก

“นางเคยใช้เวลานานเช่นนี้หรือไม่?”

หัวหน้าตะขาบมรกตส่ายหัว ก่อนหน้านี้เพียงคืนเดียวก็สำเร็จแล้ว เหตุใดครั้งนี้จึงใช้เวลาถึงสองวันเล่า?

หลังจากนั้นนายท่านตระกูลเซี่ยและหัวหน้าตะขาบมรกตต่างเอาหูแนบกับประตู พยายามฟังเสียงจากในห้องครัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าเมื่อมองดูจากด้านหลังของพวกเขาแล้วกลับดูลามกยิ่งนัก

“ท่านพ่อ ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?”

ราวกับว่าเซี่ยซินรุ่ยเพิ่งจะรู้จักผู้เป็นบิดาของตน

เมื่อหันกลับมาพบลูกชาย นายท่านตระกูลเซี่ยจึงหัวเราะอย่างเขินอาย แล้วหันกลับไปแนบหูกับประตูเพื่อฟังต่อ เมื่อเทียบกับลูกชายผู้ซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกสาวตัวน้อยของตนนั้นย่อมสำคัญกว่าเป็นธรรมดา

“ช่างหอมยิ่งนัก!”

เหล่าศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษต่างเดินกลับมายังร้านต้องคำสาป พลันได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนทันทีเมื่อเดินเข้ามาในร้าน

เมื่อหลิงเยว่ออกมาจากห้องครัว เวลาก็ได้ล่วงเลยไปถึงสามวันแล้ว

“อาจารย์หลิง เหตุใดสีหน้าของท่านจึงซีดเซียวเช่นนี้?” จื่อเฉาอวี่ประคองหลิงเยว่ที่เซถลาไว้ได้ทัน นางมองไปทางห้องครัวด้วยความสงสัย ภายในนั้นดูสะอาดเอี่ยม นางคาดเดาไม่ออกว่าอาจารย์ของนางขังตนอยู่ในห้องนานถึงสามวันเพื่อทำขนมใดกัน?

นางอาจจะทำสิ่งที่วิเศษกว่าสุราสร้างรากฐานก็เป็นได้!

ท่านอาจารย์หลิงช่างน่านับถือยิ่งนัก!

“เจ้า…” นายท่านตระกูลเซี่ยตรวจสอบร่างกายของหลิงเยว่อย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนนางจะเสียเลือดมาก ทว่าบนร่างกายของนางกลับไม่มีบาดแผล…

“อย่ามองข้าเลย ข้าเพียงแค่มีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง หากได้พักสักครู่ก็หายดีแล้ว” หลิงเยว่ส่งปิ่นโตอาหารหกชั้นให้นายท่านตระกูลเซี่ย โดยที่ภายในนั้นมีอาหารเพียงพอสำหรับครึ่งปีที่เดียว

สุราสร้างรากฐานปราณที่มีผลในการทำลายมารผจญได้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง หากนางเผลอประสบเหตุใด ๆ ขึ้นมา เค้กโลหิตที่ใช้ยืดชีวิตของฮวนฮวนก็จะขาดตอนไป ถือเป็นความผิดอันยิ่งใหญ่นัก!

หัวหน้าตะขาบมรกตเม้มริมฝีปากแน่น เตรียมจะถามถึงส่วนแบ่งของตนเอง แต่เมื่อเห็นสภาพที่อ่อนแอของเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยแล้ว เขาก็ไม่อาจเอ่ยถามสิ่งใด ได้แต่มองปิ่นโตอาหารในมือของนายท่านตระกูลเซี่ยด้วยความอิจฉา…

ปิ่นโตใหญ่ขนาดนี้ ข้างในคงมีอยู่หลายชิ้นเป็นแน่!

นายท่านตระกูลเซี่ยไม่ได้ซักถามอะไรอีก เขารีบถือปิ่นโตอาหารแล้วหายวับไปจากร้านต้องคำสาปทันที แม้แต่เสียงเรียกของลูกชายแท้ ๆ เขาก็ไม่สนใจ

“ท่านอาจารย์ ข้างนอกมีลูกค้าอีกมากมาย พวกเขารอมาทั้งวันแล้ว ท่านจะเปิดร้านเลยหรือไม่?” ลูกศิษย์ถามด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าเสียงจะดังเกินไปแล้วอาจทำให้หลิงเยว่เป็นลม

“เปิดสิ เหตุใดจะไม่เปิดเล่า?”

หลิงเยว่มองผ่านม่านอาคมออกไปด้านนอก พอเห็นภาพตรงหน้า นางพลันตกใจจนตัวสั่น

บัดนี้ถนนชิงเฟิงอันเงียบเหงา กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนทั้งบนฟ้าและพื้นดิน…

หลิงเยว่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขามาเพื่อลิ้มรสอาหารวิญญาณพิเศษ?”

ไม่ใช่ว่าพวกเขายกทัพมาโจมตีร้านต้องคำสาปแห่งนี้หรือ?

“พวกเขากล่าวเช่นนั้น”

เกรงว่าพวกเขาจะมุ่งตรงมาที่สุราสร้างรากฐานกันอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าคนทั่วทั้งเมืองต่างใช้การมาลิ้มรสอาหารวิญญาณพิเศษเป็นข้ออ้างเพียงเท่านั้น

“เวลานี้พวกเขากลับไม่หวาดกลัวต่อคำสาปแล้วหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ชาวเมืองแถบนี้เมื่อก่อนล้วนหลีกเลี่ยงที่จะผ่านมา ทั้งยังต้องให้เขาเป็นผู้ลงมือไล่จับด้วยตนเองด้วยซ้ำ! แต่บัดนี้กลับมาหาถึงที่เช่นนี้เลยหรือ?

มนุษย์ช่างแปรปรวนยิ่งนัก!

“บรรพบุรุษของข้ากล่าวว่าคำสาปของร้านเราเหมือนจะคลายออกแล้ว…”

“!!!”

สายตาของทุกคนต่างพากันหันไปมองจื่อเฉาอวี่ผู้ที่กล่าววาจาอันน่าตกใจอย่างพร้อมเพรียง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท