ตอนที่ 425 หยอดเก่งนัก!
แม้ว่าจี้หยวนแค่นั่งข้างๆ แม้ว่านั่งอยู่ค่อนข้างริม แม้ว่านอกจากตอนแรกแล้ว ต่อมาฮ่องเต้หงอู่ล้วนไม่ค่อยพูดกับจี้หยวน มัวแต่คุยกับครอบครัวว่าที่ลูกเขย ทั้งสองฝ่ายพยายามแสดงความรู้สึกของตนที่มีต่ออิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิง
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนในที่นั้นไม่สนใจจี้หยวน ความจริงฮ่องเต้หงอู่สนใจชาวบ้านอย่างจี้หยวนมาก ส่วนคนตระกูลอิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฮ่องเต้แอบสังเกตการณ์ คนตระกูลอิ๋นกลัวว่าจี้หยวนไม่ชอบการคบค้าสมาคมเช่นนี้ ดังนั้นเลยไม่ชวนจี้หยวนคุยมากนัก หลีกเลี่ยงการรบกวนเขา
ตอนนี้เห็นจี้หยวนดื่มสุราลำพัง ทั้งส่ายหัวเล็กน้อยอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ฮ่องเต้หงอู่ซึ่งเพิ่งตรัสว่าความรู้ขององค์หญิงฉางผิงดีกว่าองค์ชายหลายคน กลับเปิดประเด็นคุยกับจี้หยวนกะทันหัน
“ท่านจี้ส่ายศีรษะด้วยเรื่องใด ได้ยินอิ๋นชิงบอกว่าท่านถือเป็นผู้อาวุโสของเขา เห็นว่าท่านค่อนข้างสนิทสนมกับตระกูลอิ๋น ท่านว่าองค์หญิงฉางผิงของข้ากับอิ๋นชิงเหมาะสมกันหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ยามฮ่องเต้เพิ่งมาถึงจวนตระกูลอิ๋นยังปิดบัง ให้อิ๋นชิงพาองค์หญิงไปเดินเล่น ไม่ถือว่าแสดงจุดประสงค์ชัดเจน ตอนนี้การคุยบนโต๊ะอาหารค่อนข้างคึกคัก ส่วนอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงไม่ตอบสนองชัดเจนเกินไป ฮ่องเต้กับคนตระกูลอิ๋นซึ่งทราบสาเหตุการมาของฮ่องเต้แล้วเห็นด้วยถือว่าหงายไพ่แล้ว
เมื่อได้ยินว่าถามตน จี้หยวนหันหน้ามองฮ่องเต้ ประสานมือเล็กน้อยพลางกล่าว
“อิ๋นชิงกับองค์หญิงล้วนเป็นคนฉลาดมากความสามารถ หากอยู่ด้วยกันย่อมเป็นคู่ฟ้าดินสรรสร้าง กระหม่อมคนแซ่จี้ไม่มีความเห็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนสองตระกูล เห็นเจ้าของเรื่องอย่างอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงกินข้าวเงียบๆ ทั้งแย้มยิ้มคล้อยตามเป็นครั้งคราว เขาคนแซ่จี้มีหรือจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ท่านจี้คิดเมื่อครู่คงไม่เกี่ยวกับอิ๋นชิงและฉางผิง เป็นเรื่องน่าสนใจอะไรหรือ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ฮ่องเต้ซักถามประโยคหนึ่ง จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวตอบ
“ไม่เชิงนัก เมื่อครู่ฟังพวกท่านพูดถึงเรื่องวัยเด็กของบุตร กระหม่อมคนแซ่จี้นึกถึงอิ๋นชิงเมื่อตอนนั้น แต่กระหม่อมคิดลึกซึ้ง ตกสู่ห้วงความทรงจำ กระทั่งเมื่อครู่ค่อยดึงสติกลับมา”
ฮ่องเต้หงอู่พยักหน้าเล็กน้อย
“ดูท่าว่าท่านจี้มีความเกี่ยวข้องเปี่ยมมิตรภาพลึกซึ้งกับตระกูลอิ๋นจริงๆ”
“หึๆ ปีนั้นยามกระหม่อมคนแซ่จี้เพิ่งมาลงหลักปักฐานที่อำเภอหนิงอัน อาจารย์อิ๋นถือเป็นสหายเพียงคนเดียวในอำเภอ แน่นอนว่าย่อมผูกพันกันมากหน่อย”
องค์หญิงฉางผิงเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม นางเปิดประเด็นอย่างหายากยิ่ง ด้วยอยากรู้เรื่องจี้หยวนกับตระกูลอิ๋นเมื่อก่อน เมื่อได้ยินคำพูดหนึ่งของจี้หยวน นางเอ่ยปากถามประโยคหนึ่ง
“ท่านจี้เรียกเสนาบดีอิ๋นว่าอาจารย์อิ๋นหรือ”
ต้องรู้ว่าปัจจุบันทั้งนอกในราชสำนักล้วนเรียกอิ๋นจ้าวเซียนว่า ‘ท่านอิ๋น’ หรือ ‘เสนาบดีอิ๋น’ แม้แต่เครือญาติเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ยังเรียกเช่นนี้ บางแห่งถึงขั้นเรียกว่า ‘ดาวบุ๋นอิ๋น’ คำว่า ‘อาจารย์อิ๋น’ ของจี้หยวนถือว่าโดดเด่นนัก
เดิมเรื่องนี้เป็นความเคยชินของจี้หยวน แต่หลังจากใคร่ครวญกลับรู้สึกว่าไม่เป็นเช่นนั้น เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“ตอนนั้นอาจารย์อิ๋นเป็นอาจารย์สำนักศึกษา ทุกคนทั่วอำเภอหนิงอันเรียกว่าอาจารย์อิ๋น ตอนนี้แม้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีแห่งอาณาจักรแล้ว แต่กระหม่อมคนแซ่จี้ยังรู้สึกว่าเขาเป็นขุนนางเลื่องชื่อสร้างสันติ ทั้งเป็นมหาบัณฑิตทุ่มเทเรื่องการสอน กระหม่อมจึงเรียกอย่างให้เกียรติว่าอาจารย์อิ๋น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
ฮ่องเต้หงอู่เห็นจี้หยวนไม่นบนอบหรือทระนงตน ต่อให้ไม่ได้ทดสอบโดยละเอียด แต่นานเข้ายิ่งรู้สึกว่าจี้หยวนเป็นอัจฉริยะ ดังคำกล่าวว่าผู้สันโดษกลางเมืองคือแท้จริง เป็นสหายคู่ใจของอิ๋นจ้าวเซียนได้ คิดว่าความสามารถเขาย่อมไม่ด้อยแน่
ต่อให้ก่อนหน้านี้อิ๋นจ้าวเซียนเคยบอกว่าจี้หยวนไม่ชอบเป็นขุนนาง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้หงอู่กลับมอบโอกาสอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้เคยเข้าร่วมการสอบขุนนางหรือไม่ ได้ลำดับที่เท่าไหร่เล่า”
ทุกคนในที่นั้นล้วนไม่โง่ เมื่อได้ยินคำถามนี้ แม้แต่อิ๋นจ้งยังรู้สึกว่าฝ่าบาทเกิดความคิดเสียดายผู้มีความสามารถแล้ว
จี้หยวนนึกขบขันในใจ ชาติก่อนเขาแค่เคยร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้จึงส่ายศีรษะตอบ
“กระหม่อมคนแซ่จี้ไม่เคยเข้าร่วมการสอบขุนนาง ทั้งไม่สนใจเข้าร่วม รู้ตัวว่าไม่เหมาะกับการเป็นขุนนาง”
“อ้อ…”
ฮ่องเต้หงอู่พยักหน้าเล็กน้อย ไม่รู้สึกโกรธ แต่กลับไม่รามือแค่นี้
“ท่านกับขุนนางอิ๋นเป็นสหายสนิท คิดว่าเชี่ยวชาญด้านการศึกษาเช่นกัน ไม่ทราบว่าเคยเขียนตำราหรือไม่ เคยประพันธ์กลอนอะไรบ้าง”
ตำราอะไร อย่างมากแค่สรุปวิชาอภินิหารเท่านั้น
“กราบทูลฝ่าบาท ไม่เคยเขียนตำราเผยแพร่ ทั้งไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ อาจารย์อิ๋นผูกมิตรกับกระหม่อม ด้วยเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนเท่านั้น”
จี้หยวนถือว่ากล่าวตอบตามแบบแผน
“เฮ้อ ดูท่าว่าท่านไม่สนใจรับราชการจริงๆ!”
ฮ่องเต้หงอู่ถอนหายใจเบาๆ เขาไม่เชื่อว่าจี้หยวนไม่มีความสามารถอะไร แค่ท่าทางนิ่งสงบเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครต่างมีได้ คนผู้นี้กล่าวคำปฏิเสธเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าไม่สนใจเข้าราชสำนักจริงๆ
ฮ่องเต้หงอู่ไม่อยากบีบบังคับเกินไป ถึงอย่างไรอิ๋นจ้าวเซียนก็อยู่ด้านข้าง ได้แต่พอแค่นี้
“มาๆ ทุกท่านอย่ามัวนิ่งอึ้ง ขยับตะเกียบเถอะ ข้าแค่ลองสุ่มถามบนโต๊ะอาหารเท่านั้น เรื่องสำคัญวันนี้ยังเกี่ยวกับองค์หญิงฉางผิงของข้ากับอิ๋นชิง”
“ใช่ๆๆ กินอาหารๆ!”
อิ๋นจ้าวเซียนเป่าปากโล่งอก เขาไม่ได้รู้สึกว่าเลือดสูบฉีดจนตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว เมื่อครู่เขากลัวฮ่องเต้บันดาลโทสะอยู่บ้าง ใช่ว่าห่วงจี้หยวนถูกลงโทษด้วยเรื่องนี้ หากแต่เกรงว่าจะยั่วโมโหจี้หยวนด้วย
บนโต๊ะอาหารครั้งนี้องค์หญิงฉางผิงกับอิ๋นชิงนั่งติดกัน ภายในสังคมระบบศักดินาเช่นนี้ สำหรับชายหญิงซึ่งยังไม่แต่งงาน การจัดที่นั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ตรงตามหลักมารยาท ได้แต่บอกว่าเป็นความเจตนา
ตอนนี้เห็นว่าบนโต๊ะอาหารเสด็จพ่อตนกับเสนาบดีอิ๋นเริ่มคุยกัน เสด็จแม่กับฮูหยินอิ๋นยิ้มร่าเจรจา องค์หญิงฉางผิงแอบขยับเข้าใกล้อิ๋นชิง ส่งเสียงแผ่วเบาโดยไม่หันหน้า
“รองเสนาบดีอิ๋น ท่านจี้คนนี้ไม่เคยร่วมการสอบขุนนางกับเขียนตำราจริงหรือ ก่อนหน้านี้แค่แนะนำตัวว่าอาศัยอยู่ภายในเรือนเล็กแห่งหนึ่งของอำเภอหนิงอัน ถ้าอย่างนั้นเขาทำอะไรกันแน่ รายได้มาจากไหนหรือ”
คำถามเช่นนี้ค่อนข้างส่วนตัว ทั้งไม่ตรงตามหลักมารยาท องค์หญิงฉางผิงไม่ถามต่อหน้าธารกำนัล ดังนั้นเลยถามอิ๋นชิงซึ่งเริ่มคุ้นเคยกันเป็นการส่วนตัว
อิ๋นชิงอึ้งงันเล็กน้อย หันมามององค์หญิงฉางผิงเช่นกัน องค์หญิงองค์นี้ฉลาดจริงๆ สำหรับชาวบ้านการยังชีพคือเรื่องใหญ่ แต่สำหรับเชื้อพระวงศ์ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องการกินอยู่ตั้งแต่เด็กถือเป็นเรื่องเล็ก เดิมย่อมยากต่อการนึกถึง
ตอนนี้บ่าวประจำตระกูลอิ๋นกำลังยกไก่ทอดกรอบอุ่นร้อนสองจานมา บางทีอาจเพราะใช้เครื่องปรุงพอทั้งเพิ่งออกจากเตา เครื่องปรุงด้านบนผสานกับกลิ่นหอมของเนื้อไก่ ทำให้อบอวลทั่วห้องทันที กลบกลิ่นอาหารจานอื่นบนโต๊ะ
อิ๋นชิงกำลังคิดหาทางตอบองค์หญิงฉางผิง ยามเพิ่งอ้าปากข้างนอกพลันมีเสียงดังโครม
เกือบจะเวลาเดียวกันยังมีเสียงร้องดัง ‘โอ๊ย…’
เสียงนี้มาอย่างกะทันหัน คนบนโต๊ะอาหารเงียบสงบลง เหล่าผู้คุ้มกันด้านข้างตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย รักษาท่าทางจดจ่อ ฝีเท้าบางคนเคลื่อนห่างไปเล็กน้อย สะดวกต่อการพุ่งไปตรงหน้าต่างทุกเมื่อ ทั้งเชื่อว่าผู้คุ้มกันนอกห้องน่าจะเคลื่อนไหวแล้ว ย่อมมีคนไปตรวจสอบตรงต้นตอเสียงโดยเฉพาะ
ในใจอิ๋นชิงพลันบีบรัด เขาฟังออกว่านั่นคือเสียงของหูอวิ๋นจึงมองมาทางจี้หยวนตามจิตใต้สำนึก แต่กลับพบว่าฝ่ายหลังถอนใจเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้ม เมื่อเห็นอิ๋นชิงมองมา เขาแค่ชี้ไปทางไก่ทอดกรอบเล็กน้อย
ข้างนอกห้องหูอวิ๋นซึ่งเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ด้วยตัวเตี้ยเกินไป ทั้งไม่อยากใช้กรงเล็บตะปบกำแพงจวนตระกูลอิ๋นจนเป็นรอย ดังนั้นเลยหาท่อนไม้หนามาพิงหน้าต่างยามแอบสังเกตการณ์ ตัวมันนั่งอยู่บนนั้น อาศัยอภินิหารมองลอดกระดาษหน้าต่าง คอยสังเกตสถานการณ์ด้านใน
เดิมด้วยความสามารถของหูอวิ๋น การยืนหยัดทรงตัวย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อไก่ทอดกรอบยกออกมา จิตวิญญาณจิ้งจอกพลันถูกดึงดูดไป
ตอนนี้เมื่อล้มลง หูอวิ๋นรีบลนลานเผ่นหนี แต่สิ่งที่อยู่เต็มสมองล้วนเป็นภาพกับกลิ่นหอมของไก่ทอดกรอบ ในใจยังขุ่นเคือง
‘ไม่ยุติธรรมๆ ทุกคนล้วนมีของกิน แต่ข้ากับดระเรียนกระดาษน้อยไม่มีกิน ไม่ใช่ ดระเรียนกระดาษน้อยไม่ต้องกินอะไร มีแค่ข้าไม่มีกิน!’
จิ้งจอกพุ่งตัวกระโดดไปบนหลังคาห้องอาหาร แต่เพิ่งขึ้นไปกลับเห็นว่าบนบัวหลังคามีผู้คุ้มกันพกดาบสองคนทะยานตัวมาดุจนกนางแอ่น ฝีเท้าราวกับผี ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
‘อ๊ะ แย่แล้ว!’
หูอวิ๋นรีบสะบัดหาง กระโดดลงจากหลังคาไปอีกทิศทาง สำแดงวิชาปีศาจของตนยามลนลาน ผู้คุ้มกันสองคนแค่เห็นเงาแดงกระโดดลงจากหลังคา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งมีผู้คุ้มกันเข้ามารายงานในห้องอาหาร
“กราบทูลฝ่าบาท เสียงเมื่อครู่มาจากแมวสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆๆๆ… ที่แท้ก็เป็นแมวตัวหนึ่ง ดูท่าว่าทำให้เหล่าผู้คุ้มกันตื่นเต้นแล้ว ภายในจวนเสนาบดีอิ๋นจะมีมือสังหารได้อย่างไร”
“อืม ฝ่าบาทตรัสผิดแล้ว เหล่าผู้คุ้มกันซื่อสัตย์ภักดี เรื่องคอยคุ้มกันระวังหน่อยไม่ถือว่าผิด!”
อิ๋นชิงที่อยู่ด้านข้างนึกถึงท่าทางหูอวิ๋นอยากกินไก่ทอดกรอบแล้วอดหัวเราะไม่ได้อยู่บ้าง องค์หญิงฉางผิงมองเขาเล็กน้อย ขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถาม
“รองเสนาบดีอิ๋นรู้จักแมวตัวนั้นหรือ”
“รู้จักพ่ะย่ะค่ะ รู้จักยิ่ง เป็นแมวตะกละตัวหนึ่ง ชอบกินเนื้อไก่มาก คาดว่าถูกกลิ่นหอมของไก่ทอดกรอบที่ยกมากระตุ้น”
“จวนพวกท่านมีแมวสีแดงด้วยหรือ ข้าไม่เคยเห็นแมวเช่นนี้มาก่อน”
“ฟ้าดินกว้างใหญ่เรื่องแปลกมากมี!”
อิ๋นชิงยิ้มเย้าแหย่พลางกล่าวตอบลอยๆ ใช้นิ้วมือแต้มสุราวาดรูปแมวตัวหนึ่งบนโต๊ะ
“วาดสวยนัก ข้ายิ่งเฝ้ารอรองเสนาบดีอิ๋นวาดภาพเหมือนข้า!”
“รับรองว่าองค์หญิงต้องพอพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองคนล้วนไม่สังเกตเห็น ฮ่องเต้ พระสนมเต๋อเฟย รวมถึงพวกคนตระกูลอิ๋น ความสนใจตอนนี้แอบจดจ่ออยู่กับพวกเขา เมื่อเห็นทั้งสองคนหัวเราะพูดคุยกันเอง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าดีใจมากเท่าไหร่
แม้แต่จี้หยวนยังแปลกใจอยู่บ้าง เบิกตาทิพย์มองไป เห็นปราณบนตัวทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นเริ่มประสานกันในเวลาอันสั้น
‘เจ้าเด็กคนนี้หยอดเก่งนัก!’