บทที่ 382 เซอร์ไพร์สยิ่งใหญ่ (1)
ค่าประสบการณ์ฝึกสอนทำให้ไป๋เยี่ยทึ่งมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นค่าประสบการณ์แค่พันกว่าแต้ม แต่ตอนนี้ไป๋เยี่ยก็กำลังขาดแคลนมันมาก
เพราะว่าการเพิ่มค่าประสบการณ์กลายเป็นเรื่องยากสำหรับไป๋เยี่ยแล้ว เรียกได้ว่ามันทวีคูณความยากขึ้นมาพอสมควรเลย
ทว่าเมื่อไป๋เยี่ยเปลี่ยนความคิด เขาก็ต้องทึ่งกว่าเดิม
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เพราะว่าจู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกอะไรขึ้นได้
ครั้งนี้ทีมกู้ภัยฉุกเฉินมีสมาชิกทั้งหมดกว่าสองร้อยคน แต่ละคนจะให้ค่าประสบการณ์หนึ่งพันแต้ม นั่นหมายความว่าทั้งสองร้อยคนนี้จะให้ค่าประสบการณ์ราวๆ สองแสนแต้ม!
โอ้พระเจ้า!
ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็แทบน้ำตาไหล
เขารู้สึกปลื้มปริ่มขึ้นมาเล็กน้อย
มันเป็นแบบนี้จริงๆ ค่าประสบการณ์หนึ่งพันแต้มต่อคนหนึ่งคน มันอาจจะดูไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนกว่าสองร้อยคน มันกลับกลายเป็นเยอะมาก
แต่ไป๋เยี่ยก็คิดว่ามันดูไม่สมจริงสักเท่าไหร่
เพราะมันก็เหมือนกับช่วงที่ค่าประสบการณ์ตันและนำค่าประสบการณ์เหล่านี้มาอัปเลเวลทักษะไม่ได้
ไป๋เยี่ยเปิดหน้าจอโปร่งแสงขึ้นมาทันที และพบว่าบนหน้าจอมีข้อความเขียนว่า [ทักษะการแพทย์ฉุกเฉินเลเวล 6: 85000/100000]
ตอนนี้ต้องการค่าประสบการณ์อีกหนึ่งหมื่นห้าพันแต้ม
ไป๋เยี่ยกำลังตั้งตารอว่าค่าประสบการณ์ฝึกสอนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เขาอัปเกรดขึ้นเลเวลเจ็ดได้ในทันทีหรือไม่
เลเวลเจ็ดคืออะไร
เลเวลเจ็ดเป็นเลเวลทักษะระดับดาวเคราะห์ เป็นระดับที่นำพาโลกไปสู่อนาคตใหม่ได้
ไป๋เยี่ยยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งตื่นเต้น!
เลเวลเจ็ด เลเวลเจ็ด เลเวลเจ็ด!
หลังจากตื่นรู้ในแต่ละครั้ง เขาก็จะบูรณาการความรู้ได้มากมาย
มันเทียบเท่ากับการจัดระเบียบองค์ความรู้ใหม่ก็ว่าได้
ไป๋เยี่ยจึงคิดว่าหากเขาอัปเกรดตนเองขึ้นเลเวลเจ็ดได้ เขาจะได้รับความรู้เยอะมากแน่นอน
นี่มันสวัสดิการสุดโกงชัดๆ!
อย่างไรเสีย ถ้าคุณแค่มองเห็นเลเวลทักษะและค่าประสบการณ์ได้ คุณก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนทั่วไปอยู่ดี
ข้อแตกต่างที่ไป๋เยี่ยมีเพียงอย่างเดียวคือ เขาเร่งความเร็วในการดูดซึมความรู้และประสบการณ์ผ่านระบบสมาชิกตลอดชีพได้
แต่เพราะความรู้ที่ศึกษาได้นั้นมีอยู่อย่างจำกัด มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำตัวให้เชี่ยวชาญในความรู้ทุกแขนงเมื่อถึงคราวที่ต้องอัปเลเวลทักษะ
ตอนนี้ไป๋เยี่ยเพิ่งจะอัปเลเวลทักษะขึ้นมา หลังจากอัปแล้วเขาก็จะได้รับสวัสดิการต่างๆ
ความรู้และประสบการณ์ที่ขาดหายไปจะถูกเติมเต็มทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้ไป๋เยี่ยมีศักยภาพสมกับเลเวล และบรรลุความแข็งแกร่งที่จะได้รับจากการก้าวเข้าสู่เลเวลนั้น!
ไป๋เยี่ยคิดได้เช่นนั้นก็พลันรู้สึกว่าตนช่างโชคดีที่มีระบบนี้
วันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยมาที่กองทัพแต่เช้า ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดคือการพัฒนาทักษะของทหารเหล่านี้
มีสมาชิกทีมกู้ภัยไม่ถึงห้าคนจากสองร้อยกว่าคนที่มีพัฒนาการ ซึ่งส่วนใหญ่ดูจะยังไม่พัฒนามากนัก
ตอนนี้ไป๋เยี่ยกำลังหาเวลาทำสิ่งต่างๆ
สุดยอดบัฟจากฉายากิตติมศักดิ์ ‘นักวิชาการฉางเจียง’ ทำให้ผู้เรียนได้รับค่าประสบการณ์มากขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์
บวกกับความเก่งกาจของไป๋เยี่ย ทำให้สิ่งที่เขาบรรยายออกไปบังเกิดผล
ทุกคนพัฒนาได้รวดเร็วมาก
และตอนนี้ทุกคนก็เคารพนับถือไป๋เยี่ยมากขึ้นด้วย ทุกครั้งที่ทุกคนเจอหน้าไป๋เยี่ยก็จะเรียกว่าอาจารย์ไป๋ หรือไม่ก็ศาสตราจารย์ไป๋อย่างสนิทสนม
เพราะตอนที่แนะนำตัวครั้งแรก เฉินเจิ้นปั่งได้บอกทุกคนว่าไป๋เยี่ยเป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่วิทยาลัยแพทย์ยูเนียนของมหาวิทยาลัยชิงหวา
คนธรรมดาย่อมไม่มีทางได้รับเกียรติเช่นนี้แน่นอน!
พวกเขาจะปฏิเสธการบรรยายจากคนแบบนี้ได้ไง
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาชีพครูก็ไม่มีสิ่งเป็นเท็จ เพราะถ้าคุณไม่มีอะไรอยู่ในหัวก็คงสอนใครไม่ได้อย่างแน่นอน ซึ่งผู้เรียนคือคนที่สัมผัสถึงความจริงข้อนี้ได้มากที่สุด
การปลดสวีเสี่ยวเฉียนออกจากอาชีพและกองทัพก็ดูจะไม่ส่งผลอะไรกับการฝึกเลย
ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่พูดถึงมันเลยสักคำ
เรื่องราวของสวีเสี่ยวเฉียนสร้างชื่อเสียงให้กับไป๋เยี่ยในกองทัพมาก
ทุกคนเข้าใจดีว่าไป๋เยี่ยเป็นคนเก่ง หากจะกล่าวว่าใครไม่ควรถูกคาดโทษมากที่สุด คนคนนั้นก็คงเป็นไป๋เยี่ยแน่นอน
หลังจากที่สวีเสี่ยวเฉียนจากไป เฉินจวินก็ควบตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมฝึกไปด้วย
ทว่าเฉินจวินก็ทำมันออกมาได้ไม่เต็มที่นัก เพราะว่าคุณสมบัติพิเศษของหัวหน้าทีมกู้ภัยคือจะต้องเป็นคนมีความสามารถและมีความเป็นมืออาชีพ
มีเพียงคนประเภทดังกล่าวเท่านั้นที่จะดึงจุดแข็งและความพิเศษของทีมกู้ภัยออกมาได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีการกำหนดว่าใครจะเป็นหัวหน้าของทีมนี้
ไป๋เยี่ยไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้ ทั้งไม่ได้เข้าไปกังวลหรือสนใจด้วย ใครจะได้เป็นหัวหน้าทีมฝึกก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา
เฉินเจิ้นปั่งมาหาไป๋เยี่ยอีกครั้งพร้อมทั้งขอให้จ้าวหู่ชิวที่ยังมีความขุ่นเคืองในใจเป็นคนเข้าไปเชิญไป๋เยี่ยเอง
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศในห้องทำงานมากขึ้นแล้ว แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังไม่ค้นตัวไป๋เยี่ยเลย
ขนาดจ้าวหู่ชิวยังไม่พูดอะไรเลย แล้วคนอื่นจะไปพูดอะไรได้
เฉินเจิ้นปั่งเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “มาแล้ว เสี่ยวเยี่ยนั่งลงสิ เสี่ยวหลิว ไปรินชามา”
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเบิกตากว้างพลางกวาดตามองไปทางจ้าวหู่ชิวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ชายร่างสูงใหญ่คนนี้จะหมุนตัวเดินออกประตูไปพร้อมกับเหลือบมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาคล้ายกับว่ากำลังมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นก็ปานนั้น
เฉินเจิ้นปั่งวางมาดเข้มสมกับเป็นทหารตามเคย ทว่าท่าทีแปลกประหลาดนั้นกลับทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกประหลาดใจ
ไป๋เยี่ยจึงค่อยๆ เอ่ยปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ “อะแฮ่ม บัญชามาได้เลยครับท่าน”
เฉินเจิ้นปั่งเองก็นิ่งไป เขาลูบใบหน้าของตนเอง นี่รอยยิ้มเรามันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่ามันจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติกันนะ
เฉินเจิ้นปั่งกระแอมก่อนจะหายใจเข้าและเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย วันนี้ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ และมันเป็นเรื่องเร่งด่วน”
“ผมคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผมก็ยังคงรู้สึกว่าคุณเหมาะกับการเป็นหัวหน้าทีมฝึกมากที่สุดแล้ว”
“ลองคิดดูสิ การเป็นหัวหน้าทีมฝึกไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ อนาคตก็สดใส ผมสัญญากับคุณในนามของเฉินเจิ้นปั่งเลย”
คำพูดของเฉินเจิ้นปั่งก็เปรียบดั่งคำสั่งของทหาร คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน
ทั้งสองคนในห้องตกอยู่ในความเงียบ
เงียบกระทั่งได้ยินเสียงหายใจของไป๋เยี่ย
น่าสนใจจริงๆ!
เฉินเจิ้นปั่งจ้องมองไป๋เยี่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย โดยหวังว่าจะได้เห็นบางอย่าง
แต่ถึงกระนั้นท่าทีของไป๋เยี่ยก็ทำให้เขาแอบผิดหวัง
เพราะเฉินเจิ้นปั่งไม่เห็นอาการใดๆ บนสีหน้าของไป๋เยี่ยเลย