บทที่ 652 แสนชุ่มฉ่ำ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

กองกำลัง​ทหาร​ขนาดใหญ่​ได้​หยุด​อยู่​ที่​เขตแดน​ระ​หว่า​งอ​วิ๋น​โจว​และ​ชิงโจว​ โดย​มีศิลาจารึก​หนึ่ง​ตั้ง​ตระหง่าน​อยู่​เส้นทาง​เบื้องหน้า​ ซึ่งบน​นั้น​ถูก​สลัก​ว่า​ ‘ชิงโจว​’ สอง​คำ​เอาไว้​

จีเสวียน​ควบม้า​ตัว​หนึ่ง​ออกจาก​สนามรบ​ พลาง​เกิด​เสียง​เกือกม้า​กุบกับ​ดัง​กึกก้อง​ ครั้น​เขา​มาถึงจุดศูนย์กลาง​ทัพ​แถวหน้า​ ก็​เอียง​ศีรษะ​เหลือบมอง​คน​ที่อยู่​ใต้​ธงของ​ผู้นำ​ทัพ​ ซึ่งเป็น​ผู้นำ​ทัพ​ที่นั่ง​อยู่​บน​หลัง​ม้าอัน​ดู​โดดเด่น​ ก่อน​จะกล่าว​ด้วย​รอยยิ้ม​ว่า​ “ผู้นำ​ทัพ​ชี ท่าน​คิด​ว่า​กองทัพ​หก​หมื่น​นาย​ของ​พวกเรา​ และ​ทหาร​อาสา​อีก​สามหมื่น​นาย​ พอที่จะ​สังหาร​ท่าน​โหราจารย์​ได้​หรือไม่​?”

ชีก่วง​ป๋อ​ผู้นำ​ทัพ​กบฏ​แห่​งอ​วิ๋น​โจว​ กลับ​เงยหน้า​มอง​ท้องฟ้า​ แล้ว​ตอบ​อย่าง​ราบเรียบ​ว่า​

“เดิมที​ศัตรู​ของ​พวกเรา​หา​ใช่ท่าน​โหราจารย์​ไม่”

ตรง​บริเวณ​หว่าง​คิ้ว​บน​ดวง​หน้า​รูปงาม​ของ​เขา​มีอักษร​ 川[1] สลัก​ฝังลึก​อยู่​

จีเสวียน​แหงนหน้า​มอง​ท้อง​นภา​ปราด​หนึ่ง​ ก่อน​จะถอน​สาย​ตากลับ​ เอ่ย​พร้อม​รอยยิ้ม​บาง​ “ท่าน​อาจารย์​ซ่อนตัว​ใน​เมือง​เฉียน​หลง​มาสิบห้า​ปี​ ทั้ง​ยัง​ไม่เคย​เปิดเผย​ความสามารถ​อย่าง​ชัดเจน​ ก็​เปรียบ​ดั่ง​เสือซ่อนเล็บ​ และ​ชุด​อาภรณ์​เรียบง่าย​แต่​ซ่อน​ทอง​[2] ทว่า​อีกไม่นาน​ จงหยวน​รวมถึง​จิ่ว​โจว​ทั้งหมด​ ก็​จะรู้​ถึงนาม​อัน​ยิ่งใหญ่​ของ​ท่าน​แล้ว​”

ชีก่วง​ป๋อ​เป็น​อาจารย์​ระดับ​ก่อ​ปัญญา​ของ​จีเสวียน​ แม้ชื่อเสียง​ของ​คน​ผู้​นี้​จะไม่โดดเด่น​ แต่กลับ​มีความสามารถ​ด้าน​การปกครอง​ใต้​หล้า​สูงส่ง

พื้นเพ​ของ​ชีก่วง​ป๋อ​นั้น​เขา​เกิด​ใน​ตระกูล​ใหญ่​ที่​โด่งดัง​แห่​งอ​วิ๋น​โจว​ ฝึกฝน​ศิลปะ​การต่อสู้​ตั้งแต่​เล็ก​ และ​มีพรสวรรค์​อัน​ยอดเยี่ยม​ เมื่อ​อายุ​สิบ​เจ็ด​ปี​ก็​อยู่​ระดับ​กระดูกเหล็ก​ผิว​ทองแดง​แล้ว​ ทว่า​ไม่รู้​ว่า​เหตุใด​ กลับ​วิจารณ์​วิทยา​ยุทธ​อย่าง​น่า​ผิดหวัง​ว่า​ ‘หยาบช้า​!’

เขา​จึงเลิก​ฝึก​ศิลปะ​การต่อสู้​แล้ว​หันมา​ร่ำเรียน​แทน​ แต่​พอ​ครั้น​อายุ​ยี่สิบ​สามก็​สอบ​ขุนนาง​ระดับ​จวี่​เห​ริน​ผ่าน​ กลับ​ส่าย​หัว​วิจารณ์​เรื่อง​ร่ำเรียน​ว่า​ ‘ข้า​ไม่ได้​ชอบ​สิ่งนี้​!’

จากนั้น​เขา​ก็​ใช้ชีวิต​ให้​ใจสำราญ​นาน​ถึงเจ็ด​ปี​ ทั้ง​กิน​ดื่ม​เที่ยวเล่น​สนุกสนาน​ เมามาย​ใน​หอ​นางโลม​ เรื่อง​ใด​ที่​ผู้คน​ทำ​กัน​เขา​ก็​เคย​ทำ​มาแล้ว​ทั้งนั้น​ หรือ​เรื่อง​ใด​ที่​คน​เขา​ไม่ทำ​กัน​ เขา​ก็​เคย​ทำ​มาแล้ว​

คนใน​ครอบครัว​ทน​ดู​ต่อไป​ไม่ไหว​ คิด​จะขัดเกลา​นิสัย​ เพื่อ​อยาก​ให้​เขา​ทำตัว​ดีกว่า​นี้​ จึงส่งเขา​เข้าร่วม​กองทัพ​

แต่​ใคร​จะไป​รู้​ว่า​ชีก่วง​ป๋อ​ที่​เข้าร่วม​กองทัพ​เพียง​วัน​แรก​ ก็​หลงรัก​ชีวิต​การ​เป็น​ทหาร​ทันใด​ และ​วิจารณ์​ออกมา​ว่า​ ‘น่าสนใจ​!’

หลังจาก​ได้​เข้าร่วม​การ​ปราบปราม​กองโจร​อยู่​หลายครั้ง​ จน​สร้าง​ความดี​ความชอบ​จาก​การ​สู้รบ​ จึงถูก​ผู้บัญชา​การแห่​งอ​วิ๋น​โจว​เลื่อนขั้น​ ซึ่งเพียง​ภายใน​หนึ่ง​ปี​ก็​โดน​เลื่อนขั้น​ไป​สอง​ระดับ​แล้ว​

ในเวลานั้น​สวี่​ผิง​เฟิงเพิ่งจะ​บรรลุเป้าหมาย​ชีวิต​เล็ก​ๆ อย่างหนึ่ง​เท่านั้น​ นั่น​ก็​คือ​ช่วงชิง​ชะตา​บ้านเมือง​ของ​ต้าฟ่ง!​

ทั้ง​ยัง​สานต่อ​เป้าหมาย​เล็กๆ น้อยๆ​ ลำดับ​ต่อมา​ ด้วย​การเสาะหา​ผู้​มีพรสวรรค์​ และ​ปลูกฝัง​ให้​เชื่อฟัง​

ไม่นาน​นัก​สวี่​ผิง​เฟิงก็​สนใจ​ใน​ตัว​เขา​ และ​ไปหา​เขา​ถึงหน้า​ประตู​ ทว่า​ไม่ได้​แสดงท่าที​ชักชวน​อีก​ฝ่ายใน​ทันใด​ กลับ​ประลอง​แผนการ​รบ​บน​โต๊ะ​ทราย​กับ​เขา​

ส่วน​แผนการ​รบ​ที่​ประลอง​ก็​คือ​เหตุการณ์​อัน​น่า​สะเทือนใจ​ของ​จิ่ว​โจว​เมื่อ​ห้า​ปีก่อน​ ก็​ย่อม​เป็น​เหตุการณ์​ที่​เหลือ​ร่องรอย​ใน​ประวัติศาสตร์​อย่าง​สงคราม​ซาน​ไห่​

โดย​สวี่​ผิง​เฟิงเลือก​คุม​กองกำลัง​ใหญ่​ของ​ต้าฟ่ง​และ​ดินแดน​พุทธ​สอง​ฝั่ง ด้าน​ชีก่วง​ป๋อ​คุม​สำนัก​พ่อ​มด​ เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​จาก​ทิศเหนือ​ใต้​ เผ่า​อนารยชน​ฝั่งเหนือ​ รวมถึง​เผ่าพันธุ์​กู่​

รอบ​แรก​ ชีก่วง​ป๋อ​ยืนหยัด​อยู่​ได้​เพียงแค่​ครึ่ง​ชั่ว​ยาม​ ก็​ถูก​บีบ​จน​กลายเป็น​ฝ่าย​แพ้​ที่​หมดสิ้น​ทั้ง​เสบียง​และ​อาวุธ​

จากนั้น​ทั้งสอง​ก็​นัดหมาย​ไว้​ว่า​หลัง​ครึ่ง​เดือน​จะมาประลอง​กัน​อีก​ครา​

ส่วน​ใน​รอบ​ที่สอง​ ชีก่วง​ป๋อ​ยืนหยัด​อยู่​ได้​เพียง​สอง​ชั่ว​ยาม​เท่านั้น​

แล้ว​ทั้งสอง​ก็​ทำการ​นัดหมาย​อีกครั้ง​ว่า​สามเดือน​จากนี้​จะมาประลอง​กัน​ใหม่​

หลัง​ผ่าน​ไป​หนึ่ง​ปี​ ชีก่วง​ป๋อ​ก็​สามารถ​ยืนหยัด​จนถึง​จุด​ตัดสิน​แพ้ชนะ​ของ​ศึกสงคราม​ซาน​ไห่​ได้​ แต่​สุดท้าย​เขา​ก็​ยังคง​พ่ายแพ้​สวี่​ผิง​เฟิงอยู่ดี​

ตอนนั้น​เอง​สวี่​ผิง​เฟิงก็​ถึงค่อย​กล่าวว่า​

“ผู้​ที่​ชนะ​เจ้าหา​ใช่ตัว​ข้า​ แต่​เป็น​เว่ยเยวียน​

“ตาม​ข้า​ไป​ที่​เมือง​เฉียน​หลง​เถิด​ ใน​ยี่สิบ​ปี​นี้​ ข้า​จะให้​เจ้าได้​ประลอง​ยุทธวิธี​กับ​เขา​”

ชีก่วง​ป๋อ​ก็​เข้าร่วม​และ​ติดตาม​ไป​ยัง​เมือง​เฉียน​หลง​อย่าง​ไม่ลังเล​ แล้ว​เริ่ม​ทุ่มเท​ฝึกฝน​ถึงสิบห้า​ปี​

เขา​แทบจะ​เป็น​คน​จัดตั้ง​กองกำลัง​แห่ง​เมือง​เฉียน​หลง​ใน​ปัจจุบันนี้​ด้วย​ตัว​คนเดียว​ ทั้ง​ยัง​คิดค้น​กลยุทธ์​สิบ​อย่าง​ ส่วน​ใน​ด้าน​ปฏิรูป​ของ​เขา​นั้น​ เรียก​ว่า​เป็น​การกวาดล้าง​โรค​ร้าย​กองกำลัง​เมือง​เฉียน​หลง​เลย​ทีเดียว​ ปรับเปลี่ยน​จน​ให้​กลายเป็น​กองกำลัง​ที่​แข็งแกร่ง​ดุจ​พยัคฆ์​ดั่ง​หมาป่า​

ทันใดนั้น​เอง​ชีก่วง​ป๋อ​พลัน​ดึง​บังเหียน​หันไป​ทาง​ทิศเหนือ​ ก่อน​พึมพำ​ว่า​ “ราชครู​ ท่าน​โกหก​ข้า​สินะ​”

ใน​เมื่อ​เว่ยเยวียน​ได้​ตาย​ไป​แล้ว​ ฉะนั้น​อำนาจ​ของ​ผู้นำ​ทัพ​ที่​มอบให้​เขา​ จะยัง​มีประโยชน์​อัน​ใด​?

“ท่าน​อาจารย์​เหตุใด​ถึงกล่าว​เช่นนี้​?”

จีเสวียน​ไม่ทราบ​ถึงคำสัญญา​ระหว่าง​ชีก่วง​ป๋อ​และ​สวี่​ผิง​เฟิงใน​ครั้งนั้น​

ชีก่วง​ป๋อ​จึงเพียง​ส่ายหน้า​เบา​ๆ มอง​ลูกศิษย์​ของ​ตน​พลาง​พูดว่า​ “ลูกศิษย์​เอ๋ย​ ตอนนี้​อยู่​ระดับ​เหนือ​มนุษย์​แล้ว​ ใน​จิ่ว​โจว​อัน​กว้างใหญ่​ คน​อายุ​เท่านี้​ที่อยู่​ระดับ​เหนือ​มนุษย์​มีน้อย​นัก​ การ​ก่อ​จลาจล​ใน​ยาม​นี้​ เหตุใด​ถึงมิใช่ช่วงเวลา​แห่ง​การ​สร้างชื่อเสียง​ของ​เจ้าล่ะ​”

“เช่นนั้น​ท่าน​อาจารย์​คิด​ว่า​หาก​เปรียบเทียบ​ระหว่าง​ข้า​และ​สวี่​หนิง​เยี่ยน​ เป็น​อย่างไร​?” จีเสวียน​ถามด้วย​น้ำเสียง​จริงจัง​

ชีก่วง​ป๋อ​ก็​ตอบ​อย่าง​ราบเรียบ​ว่า​ “เสมือน​คน​ที่​ใช้ความ​ขยัน​มาชดเชย​ความ​โง่เขลา​”

จีเสวียน​อึ้ง​อยู่​สักพัก​ ก่อน​จะเอ่ย​ด้วย​รอยยิ้ม​ขมขื่น​ว่า​ “ท่าน​อาจารย์​เป็น​คน​ที่​พูดตรงไปตรงมา​เสีย​จริง​ ไม่ไว้หน้า​กัน​บ้าง​เลย​”

ชีก่วง​ป๋อ​ก็​ถามกลับ​ต่อ​ “แล้ว​เจ้าคิด​ว่า​ระหว่าง​ข้า​กับ​เว่ยเยวียน​เป็น​อย่างไร​ล่ะ​?”

จีเสวียน​ไม่ได้​ตอบคำถาม​แต่อย่างใด​

ชีก่วง​ป๋อ​ไม่ได้​ใส่ใจ แล้ว​พูด​ด้วย​น้ำเสียง​สงบนิ่ง​ “ตาม​คำกล่าว​ใน​ตำรา​พิชัยสงคราม​ รู้เขารู้เรา​ รบ​ร้อย​ครั้ง​ชนะ​ร้อย​ครั้ง​ เจ้าลูกศิษย์​เอ๋ย​ การ​เผชิญหน้า​กับ​ตัวเอง​ ถึงจะสามารถ​มอง​สถานการณ์​ได้​ทะลุปรุโปร่ง​

“สวี่​ชีอัน​แข็งแกร่ง​กว่า​เจ้า ไม่ว่า​จะด้าน​สติปัญญา​ การ​สู้รบ​ หรือ​กลยุทธ์​ล้วน​ชนะ​เจ้าใน​ทุก​ด้าน​ หาก​เจอ​เขา​ตัวต่อตัว​ ก็​ย่อม​แพ้​อย่าง​ไม่ต้องสงสัย​

“ทว่า​เดิมที​บน​โลก​นี้​ก็​ไม่เคย​มีความยุติธรรม​ เจ้ายัง​มีโอกาส​นะ​ เพราะ​เจ้าได้​ก้าว​เข้าสู่​ระดับ​ขอบเขต​เหนือ​มนุษย์​แล้ว​ แม้จะไม่ดี​เท่า​อีก​ฝ่าย​ แต่​ก็​อยู่​ใน​ระดับ​ขอบเขต​เดียวกัน​ ซึ่งหมายความว่า​ยัง​มีโอกาส​อยู่​”

จีเสวียน​พยักหน้า​เบา​ๆ “ศิษย์​เข้าใจ​แล้ว​”

ทว่า​ชีก่วง​ป๋อ​ไม่ได้​ขานตอบ​อีก​ฝ่าย​ กลับ​มอง​ไป​ทาง​รอง​แม่ทัพ​ที่อยู่​ด้าน​ข้าง​พร้อม​กล่าวว่า​ “สั่งให้​กองกำลัง​ทั้งหมด​เดิน​ไป​ด้านหน้า​!”

ผู้ช่วย​จึงถ่ายทอด​คำสั่ง​ผ่าน​ธงบัญชาการ​แก่​มือ​กลอง​ จากนั้น​เสียง​กลอง​ ‘ตึง​ตึง​’ ก็​ดังสนั่น​ไป​ทั่ว​ทันใด​ กองกำลัง​ทั้ง​เก้า​หมื่น​นาย​เคลื่อน​จึงตัว​ไป​ข้างหน้า​อย่าง​พร้อมเพรียง​ และ​ก้าว​เข้าสู่​เขตแดน​ของ​ชิงโจว​

เวลา​นั้น​เอง​ ใน​ท้อง​นภา​พลัน​เกิด​กระแสลม​พัด​โหมกระหน่ำ​ ชั้น​เมฆรวมตัว​กลายเป็น​มือ​ใหญ่​ยักษ์​ด้วย​ความเร็ว​ที่​ไม่อาจ​มองเห็น​จาก​ตาเปล่า​ แล้ว​ฟาด​ลง​ใส่กองกำลัง​กบฏ​ที่อยู่​เบื้องล่าง​

หลังจาก​ฝ่ามือ​นี้​ฟาด​ใส่ ก็​เสมือน​ว่า​พลัง​ของ​ทั่ว​ฟ้าดิน​ถูก​ทำให้​สั่นคลอน​ลง​

ม้าศึก​แตกตื่น​ เหล่า​ทหาร​หวาดหวั่น​ รูปแบบ​จัด​กองกำลัง​ก็​เกิด​โกลาหล​ไร้​ซึ่งความเป็นระเบียบ​ทันที​ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​กองทหาร​อาสา​ที่อยู่​ด้านหลัง​ วุ่นวาย​ราวกับ​ฝูงอีกา​รวมตัว​ เมื่อ​พวกเขา​เห็นภาพ​เหตุการณ์​นี้​ต่าง​ก็​พา​กัน​ตระหนก​จน​ขา​อ่อนแรง​

ในเวลานั้น​เอง​ กองกำลัง​เก้า​หมื่น​นาย​ก็​เกาะ​ตัว​กัน​เป็น​กลุ่ม​ เพื่อ​สร้าง​ค่าย​กล​กลางอากาศ​ชั้น​แล้ว​ชั้น​เล่า​ โดย​ค่าย​กล​ที่​มีขนาดใหญ่​จะครอบคลุม​ค่าย​กล​ที่​มีขนาดเล็ก​กว่า​ และ​ค่าย​กล​ที่​มีขนาดเล็ก​ก็​รวมตัวกัน​กลายเป็น​ค่าย​กล​ขนาดใหญ่​

ปัง​! ปัง​! ปัง​!

ทว่า​ค่าย​กล​ซึ่งอยู่​ใต้​เมฆที่​รวมตัว​จน​กลายเป็น​ฝ่ามือ​ยักษ์​เริ่ม​พังทลาย​ลง​ทีละ​ชั้น​ๆ และ​แสงที่​ระเบิด​เหนือศีรษะ​เหล่า​กองทหาร​ดู​ดุจ​ดอกไม้ไฟ​

ชั่ว​ขณะที่​ค่าย​กล​แตก​ทลาย​ทีละ​ชั้น​นั้น​ ลำแสง​สีทอง​หนึ่ง​ก็​พุ่ง​ออก​มาจาก​กองกำลัง​ ก่อน​แปร​เปลี่ยนเป็น​เทว​รูปร่าง​ทอง​สิบสอง​กร​ โดย​มือ​กุม​อาวุธ​เวทมนตร์​หลากหลาย​ประเภท​ ทั้ง​ยังมี​วงแหวน​ไฟกำลัง​ลุกโชน​อยู่​ด้านหลัง​ศีรษะ​ และ​รอยตรา​เปลวเพลิง​สีแดง​ประทับ​หว่าง​คิ้ว​

เทว​รูปร่าง​ทอง​องค์​นี้​เสมือน​มนุษย์​ยักษ์​แบก​โลกา​ใน​ยุค​ดึกดำบรรพ์​ เพราะ​แขน​ทั้ง​สิบสอง​กำลัง​แบกรับ​ฝ่ามือ​ขนาดใหญ่​ที่​ค่อยๆ​ ฟาด​ลงมา​อยู่​

ขณะที่​ทั้งสองฝ่าย​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​ไม่ยอม​อ่อนข้อ​ให้​แก่​กันและกัน​นั้น​ จู่ๆ มือ​ยักษ์​ที่เกิด​จาก​หมู่​เมฆเรี่ยวแรง​ก็​พลัน​ถดถอย​ พร้อม​เสียง​สะเทือน​เลื่อน​ลั่น​ ราวกับว่า​การปะทะ​กัน​ครั้งนี้​จะพ่ายแพ้​เทว​รูปร่าง​ทอง​เสียแล้ว​

จากนั้น​บน​ทะเล​เมฆก็​ปรากฏ​สอง​เงาร่าง​กำลัง​ลง​มาจาก​ฟากฟ้า​ โดย​ร่าง​หนึ่ง​สีขาว​อี​กร่าง​สีทอง​ ก่อน​จะหยุด​อยู่​ที่​ตำแหน่ง​ใด​ตำแหน่ง​หนึ่ง​

ซึ่งนั่น​ก็​คือ​สวี่​ผิง​เฟิงที่​กำลัง​นุ่งห่ม​กาสาวพัสตร์​ และ​พระโพธิสัตว์​เจีย​หลัว​ซู่ที่​เผย​หน้าอก​ครึ่งหนึ่ง​

สวี่​ผิง​เฟิงดู​งามสง่าโดดเด่น​ ยิ่ง​ยาม​เขา​ที่อยู่​ใน​ชุด​ขาว​เหาะ​เหิน​ไป​อยู่​เหนือ​ทะเล​เมฆก็​ดู​ดุจดั่ง​เทพ​เซียน​

ส่วน​ด้าน​พระโพธิสัตว์​เจีย​หลัว​ซู่มีรูปโฉม​ที่​น่าเคารพนับถือ​มาก​ รอยสัก​ที่อยู่​ตาม​กล้ามเนื้อ​ยิ่ง​ขับ​เน้น​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​เจ้าตัว​ ซ้ำด้านหลัง​ศีรษะ​ของ​เขา​ยังมี​วงแหวน​ไฟกำลัง​ลุกโชน​ ซึ่งร้อน​จน​แผดเผา​รอบข้าง​

ทั้งที่​เขา​ยืน​อยู่​ตรงนั้น​ แต่​กลิ่นอาย​กลับ​ยิ่งใหญ่​ดั่ง​ภูผา​และ​กว้าง​ดั่ง​ทะเล​ ซึ่งนั่น​แสดงถึง​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​เขา​

ยาม​ทั้งสอง​เผชิญหน้า​กัน​ ท่าน​โหราจารย์​ที่​ผมเผ้า​และ​เครา​เป็น​สีขาว​ ใน​มือ​ก็​ดึง​แผ่น​ทองแดง​แปด​ทิศ​ออกมา​ ซึ่งแผ่น​ทองแดง​นี้​สลัก​รูป​ดวงอาทิตย์​ดวงจันทร์​ภูเขา​แม่น้ำ​ไว้​บริเวณ​ด้านหลัง​ ส่วน​ด้านหน้า​ก็​สลัก​แผนภูมิ​สวรรค์​

“หาก​เทียบ​กับ​รุ่น​ที่หนึ่ง​เมื่อ​ห้า​ร้อย​ปี​ที่แล้ว​ พลัง​ของ​เจ้ายัง​ห่างไกล​นัก​”

พระโพธิสัตว์​เจีย​หลัว​ซู่จดจ้อง​ไป​ยัง​ท่าน​โหราจารย์​ พลาง​กล่าว​วิจารณ์​ด้วย​น้ำเสียง​เรียบ​นิ่ง​

“มัน​ก็​แน่​อยู่แล้ว​!”

สวี่​ผิง​เฟิงยิ้ม​อย่าง​อ่อนโยน​ “แม้ช่วง​รุ่น​ที่หนึ่ง​จะมีความโกลาหล​จาก​กษัตริย์​กับ​ขุนนาง​กังฉิน​ แต่​รากฐาน​ของ​ต้าฟ่ง​ก็​ยัง​มั่น​คงอยู่​ และ​อยู่​ใน​จุดสูงสุด​อีกด้วย​ ทว่า​ต้าฟ่ง​ใน​ตอนนี้​ ประการ​แรก​สูญเสีย​ชะตา​บ้านเมือง​ไป​ถึงครึ่งหนึ่ง​แล้ว​ ประการ​ต่อมา​หลัง​ผ่าน​เหตุการณ์​เว่ยเยวียน​ออก​ปราบปราม​แดน​ทิศ​บูรพา​ ก็​มาเจอภัย​หนาว​ที่​ปกคลุม​ไป​ทั่ว​จงหยวน​อีก​

“พลัง​ของ​ท่าน​อาจารย์​โหราจารย์​ใน​ตอนนี้​ เกรง​ว่า​จะไม่ถึงครึ่ง​ใน​ช่วง​ยาม​ที่​เคย​อยู่​ใน​จุดสูงสุด​ด้วยซ้ำ​”

ท่าน​โหราจารย์​ปัด​เคลื่อนย้าย​แผ่น​ความลับ​สวรรค์​ด้วย​ใบหน้า​ไร้อารมณ์​ และ​ค่อยๆ​ กล่าวว่า​ “ไม่ได้​เอาจริง​มาห้า​ร้อย​ปี​แล้ว​ ขอ​สนุก​กับ​พวก​เจ้าหน่อย​แล้วกัน​”

เฉิน​เซียว​เจอ​ผู้​เป็น​น้องสาว​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ดาดฟ้า​เรือ​อีกครั้ง​ นาง​กำลัง​ฝึกฝน​กระบวนท่า​อาชา​ และ​ดวง​หน้า​เล็ก​นั้น​ไม่มีความ​เอาจริงเอาจัง​แต่อย่างใด​

แต่​เมื่อ​มอง​ไป​มอง​มาก็​ดู​น่ารัก​อยู่​บ้าง​

เฉิน​เซียว​ที่​ไม่มีอะไร​ทำ​ จึงยืน​กอดอก​พิง​ห้อง​โดยสาร​และ​มอง​จาก​ข้างๆ​

ซึ่งนาง​ก็​มองดู​อยู่​ชั่วขณะหนึ่ง​

‘สามารถ​ทำได้​ถึงขนาด​นี้​เชียว​…’ เฉิน​เซียว​ตกตะลึง​ไป​ชั่วขณะ​ เนื่องจาก​ยาม​ที่​เขา​มานั้น​ เด็ก​คน​นี้​กำลัง​ฝึกฝน​กระบวนท่า​อาชา​ และ​น่าจะ​เกิน​สิบห้า​นาที​ไป​แล้ว​แน่ๆ​ นาง​อายุ​น้อย​เพียงเท่านี้​กลับ​สามารถ​ฝึกฝน​กระบวนท่า​อาชา​เกิน​สิบห้า​นาที​ได้​ ช่างเป็น​วรยุทธ์​ที่​มีรากฐาน​วิทยา​ยุทธ​แข็งแกร่ง​ยิ่ง​

เฉิน​เซียว​ก็​พูด​ใน​ใจว่า​สมแล้ว​ที่​เป็น​น้องสาว​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​

หลังจากนั้น​ก็​เปิดปาก​เอ่ย​ว่า​ “หนู​น้อย​คน​นี้​อยู่​ระดับ​หลอม​จิต​แล้ว​หรือ​?”

เขา​ถามหญิงสาว​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ที่อยู่​ด้าน​ข้าง​กำลังกิน​ขนม​วัว​วัว​โถว[​3]

ลี่​น่า​หันไป​มอง​เขา​ปราด​หนึ่ง​ “ระดับ​หลอม​ปราณ​ต่างหาก​”

จากนั้น​นาง​ก็​ชี้ไป​ที่​พลัง​ต่อสู้​ ซึ่งก่อนหน้านี้​ลี่​กู่​ไร้​ซึ่งพลัง​ปราณ​ มีเพียง​พละกำลัง​ที่​ดุร้าย​เท่านั้น​

ขี้โม้​โกหก​แล้ว​! เฉิน​เซียว​ที่​เป็น​คน​ตรงไปตรงมา​ จึงกล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​จริงจัง​ว่า​ “เด็ก​หก​เจ็ด​ปี​อยู่​ระดับ​หลอม​ปราณ​ ข้า​ไม่เคย​พบเห็น​มาก่อน​ ฆ้อง​เงิน​สวี่​ที่อยู่​ระดับ​หลอม​จิต​อย่าง​มั่งคง​ ก็​ตั้ง​ตอน​เขา​อายุ​สิบ​เก้า​ถึงจะสามารถ​ทะลวง​ระดับ​หลอม​ปราณ​ได้​เชียว​นะ​”

ลี่​น่า​ก็​ตอบ​พลาง​เคี้ยว​ขนม​วัว​วัว​โถว​ไป​ด้วย​ “อยู่​ระดับ​หลอม​ปราณ​จริงๆ​ หาก​ไม่เชื่อ​เจ้าก็​ลอง​ทดสอบ​กับ​นาง​ดู​สิ”

เฉิน​เซียว​จึงพลัน​หา​ทหาร​ตัว​โตมา​คน​หนึ่ง​ พลัง​ของ​ทหาร​ตัว​โต​ผู้​นี้​เพิ่ง​เข้าสู่​ระดับ​หลอม​จิต​ เนื่องจาก​เขา​ก็​ไม่ได้​อายุ​น้อย​ๆ แล้ว​ ดังนั้น​ระดับ​หลอม​จิต​จึงถือว่า​อยู่​จุดสูงสุด​ของ​ชีวิต​นี้​

“เจ้าไป​ช่วย​ดู​เด็ก​คน​นั้น​หน่อย​สิ เอา​ให้​มัน​พอดี​แล้วกัน​ อย่า​ทำให้​นาง​บาดเจ็บ​นะ​” เฉิน​เซียว​เอ่ย​กำชับ​

“ขอรับ​!”

ทหาร​ตัว​โต​ทำ​สีหน้า​อย่าง​คน​ไม่มีทางเลือก​ และ​ไป​เล่น​เป็นเพื่อน​เด็กน้อย​ด้วย​ความ​ไม่เต็มใจ​ ทว่า​หัวหน้า​สั่งมา เขา​ก็​ไม่อาจ​ปฏิเสธ​ได้​

เมื่อ​เขา​ก้าว​เท้า​ยาว​ไป​อยู่​เบื้องหน้า​เสี่ยว​โต้​ว​ติง​ ก็​ตบ​หน้าท้อง​ตัวเอง​ พร้อม​พูดว่า​ “เจ้าหนู​ มาตี​ตรงนี้​สิ”

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​จึงเหลือบมอง​อาจารย์​ ซึ่งด้าน​ลี่​น่า​ก็​พยักหน้า​ตอบ​ว่า​ “ถ้าชนะ​จะให้​กิน​ขนม​วัว​วัว​โถว​นะ​”

ดวงตา​ของ​เสี่ยว​โต้​ว​ติง​พลัน​เปล่งประกาย​ แล้ว​ออก​หมัด​ตัดสิน​แพ้ชนะ​ทันที​

ปัง​!

จากนั้น​ทหาร​ร่าง​โต​ก็​ตัว​ลอย​ออก​ไป​ ก่อน​จะกระแทก​กำแพง​ของ​เรือ​ที่อยู่​ข้างๆ​ เฉิน​เซียว​ แล้ว​นอน​ขดตัว​กุม​ท้อง​อยู่​กับ​พื้น​ พร้อม​พ่น​น้ำย่อย​จาก​กระเพาะอาหาร​ออกมา​

!!! เฉิน​เซียว​ถึงกับ​ตกตะลึง​จน​ทำ​อะไร​ไม่ถูก​ พร้อมกับ​อ้าปากค้าง​อยู่​เช่นนั้น​นาน​ไม่หุบ​เสียที​

“ช่างเก่งกาจ​นัก​ ข้า​ขอ​ลอง​บ้าง​!”

เฉิน​เซียว​ย่างก้าว​ไปหา​สวี่ห​ลิง​อิน​ ตัดสินใจ​ไม่ใช้พลัง​ปราณ​ เพราะ​หมาย​จะเทียบเคียง​พละกำลัง​อัน​ดุร้าย​ของ​เด็ก​คน​นี้​

ยาม​นี้​สวี่เอ้อร์​หลา​งนั่ง​อยู่​ข้าง​โต๊ะเขียนหนังสือ​ พลาง​อ่าน​ตำรา​พิชัยสงคราม​ใน​มือ​ พร้อมกับ​ก้มหน้าก้มตา​ศึกษา​แผนที่​ชิงโจว​ไป​ด้วย​

‘ก๊อก​ก๊อก​…’

ทันใดนั้น​เอง​เสียงเคาะ​ประตู​ก็​ดัง​ขึ้น​ ทหาร​นาย​หนึ่ง​ที่อยู่​หน้า​ประตู​ก็​ตะโกน​ว่า​ “ใต้เท้า​สวี่​ น้องสาว​ของ​ท่าน​กำลัง​ต่อสู้​กับ​เหล่า​สหาย​ร่วม​รบ​ขอรับ​”

“ว่า​อย่างไร​นะ​?”

สวี่เอ้อร์​หลา​งถึงขั้น​ตื่นตกใจ​จน​หน้าถอดสี​ รีบ​โยน​ตำรา​พิชัยสงคราม​ทิ้ง​ทันที​ และ​วิ่ง​ไป​เปิด​ประตู​ พูด​อย่าง​โมโห​ว่า​ “เกิด​อะไร​ขึ้น​ ใคร​มัน​บังอาจ​รังแก​น้องสาว​ข้า​”

ทหาร​คน​นั้น​กลับ​ตอบ​อย่าง​ระมัดระวัง​ว่า​ “ปะ​…เป็น​น้องสาว​ท่าน​ต่างหาก​ที่​กำลัง​รังแก​คนอื่น​อยู่​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งจึงเร่ง​ก้าว​ออกจาก​ห้อง​โดยสาร​เรือ​อย่าง​รวดเร็ว​ประหนึ่ง​ดาวตก​ จน​มาถึงดาดฟ้า​เรือ​

ณ บน​ดาดฟ้า​เรือ​นั้น​ มีทหาร​หลาย​สิบ​นาย​กำลัง​นอน​ล้มกลิ้ง​ โดย​เหลือ​แค่​สวี่ห​ลิง​อิน​เพียง​คนเดียว​ จึงดู​เสมือน​กับ​แม่ทัพ​หญิง​ผู้​ไร้​พ่าย​ใน​สนามรบ​

“อุ๊บ​ แหวะ​…”

ตอนนั้น​เอง​นายทหาร​ชั้นสูง​วัยกลางคน​คน​หนึ่ง​ที่​มีรูปร่าง​ท้วม​เตี้ย​ก็​อาเจียน​น้ำย่อย​จาก​กระเพาะอาหาร​ออกมา​ และ​พยายาม​จะลุกขึ้น​ พร้อม​กล่าวว่า​ “พา​ข้า​ลุกขึ้น​ ข้า​ยัง​สู้ต่อ​ได้​”

เหล่า​ทหาร​คนอื่นๆ​ ก็​ดึง​เขา​ให้​ลุกขึ้น​ยืน​พร้อมกับ​กุม​ท้อง​ไป​ด้วย​ ซ้ำยัง​โน้มน้าว​อีก​ฝ่าย​ด้วย​ความหวังดี​ว่า​ “หัวหน้า​ อย่า​สู้เลย​ หาก​ท่าน​โดน​โจมตี​เข้า​อีกครั้ง​ คง​ได้​อาเจียน​อาหาร​ของ​เมื่อคืน​มาหมด​แน่​ เด็ก​คน​นี้​เป็น​น้องสาว​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ ไม่จำเป็น​อย่า​ไป​สู้กับ​นาง​เลย​”

เห็นได้ชัด​ว่า​นายทหาร​ชั้นสูง​วัยกลางคน​ผู้​นั้น​สติ​หลุด​ไป​แล้ว​ เขา​ผลัก​ทหาร​คนอื่นๆ​ ออก​ แล้ว​พูดว่า​

“ข้า​ยัง​สู้ไหว​ ข้า​ยัง​สู้ไหว​ แหวะ​…”

ส่วน​สวี่ฉือจิ้ว​ก็​ยืน​กุม​หน้า​อยู่​หน้า​ประตู​เข้าออก​ของ​เรือ​อย่าง​เงียบๆ​

เส้น​ทางหลวง​อัน​ไกลโพ้น​ภายใน​ค่าย​แห่ง​หนึ่ง​ แสงจาก​ดวงตะวัน​ยามเช้า​ย้อม​ยอดเขา​จน​กลายเป็น​สีแดง​ ด้าน​ห​ลี่​เมี่ยวเจิน​กำลัง​ยืน​อยู่​บน​กำแพง​เตี้ย​ โดย​ใน​มือ​ก็​ถือ​หัว​คน​ที่​ชุ่มไป​ด้วย​เลือด​ พลาง​มอง​กลุ่ม​โจร​กว่า​สอง​ร้อย​คน​ซึ่งเกิด​จาก​การ​รวมตัวกัน​ของ​ผู้ลี้ภัย​ที่อยู่​เบื้องล่าง​

“หัวหน้า​ของ​พวก​เจ้าโดน​ข้า​ฆ่าตาย​ไป​แล้ว​ ตอนนี้​จะเสนอ​สอง​ทางเลือก​ให้​กับ​พวก​แก​ ทางเลือก​แรก​เข้าร่วม​และ​ติดตาม​ข้า​ ซึ่งหลังจากนี้​ก็​จะมีอาหาร​ให้​กิน​ มีสุรา​ให้​ดื่ม​ด้วย​ และ​ทางเลือก​ที่สอง​ก็​คือ​ลง​หลุม​ไป​กับ​เจ้านี่​”

จากนั้น​นาง​ก็​ยก​หัว​คน​ขึ้น​เพื่อ​บอกเป็นนัย​ ส่วน​มือ​อีก​ข้าง​ก็​นำ​กระสอบ​ข้าว​ออก​มาจาก​เศษชิ้นส่วน​หนังสือ​ปฐพี​ทีละ​กระสอบ​

ตอนนั้น​เอง​โจร​คน​หนึ่ง​ที่​ใส่ชุด​ธรรมดา​สามัญก็​ก้าว​ออก​ไป​อย่าง​ใจกล้า​ ก่อน​จะใช้มีดสั้น​กรีด​กระสอบ​เปิด​ดู​ และ​แล้ว​เมล็ดข้าว​ที่​ยัง​ไม่ได้​กะเทาะ​เปลือก​ออก​ ก็​ไหล​ออก​มาจาก​ปาก​กระสอบ​จน​หก​กับ​พื้น​เสียงดัง​

“นั่น​ข้าวสาร​ นั่น​ข้าวสาร​นี่​…”

เสียง​โห่ร้อง​ด้วย​ความดีใจ​ดัง​ขึ้น​ทันใด​

“ท่าน​จอม​ยุทธ์​หญิง​ พวกเรา​ยินดี​ที่จะ​ติดตาม​ท่าน​”

“ต่อไปนี้​ท่าน​คือ​หัว​หน้าใหญ่​ของ​พวกเรา​”

เหล่า​ผู้ลี้ภัย​ที่​ผัน​ตัว​กลายเป็น​โจร​ต่าง​ก็​แย่ง​กัน​พูด​จน​ฟังไม่ได้ศัพท์​

สำหรับ​ผู้ลี้ภัย​ ตราบใดที่​ทำให้​อิ่ม​ท้อง​ได้​ ไม่ว่า​ใคร​จะเป็น​หัวหน้า​ก็ได้​ทั้งนั้น​ เช่นเดียวกับ​ตราบใดที่​ทำให้​อิ่ม​ท้อง​ได้​ จะฆ่าหรือไม่​ฆ่าใคร​ก็​ไม่ใช่เรื่อง​สลักสำคัญ​อีกต่อไป​

ซึ่งจุดประสงค์​ที่​พวกเขา​ฆ่าคน​และ​ปล้นสะดม​ไป​นั้น​ ก็​เพียง​เพราะ​เพื่อให้​ตน​อิ่ม​ท้อง​เท่านั้น​

เมื่อ​มีแนวโน้ม​จะเกิด​สถานการณ์​เช่นนี้​ พอ​ผู้มีอำนาจ​เริ่ม​แบ่ง​ฝ่าย​ ผู้คน​ระดับ​ล่าง​ก็​หา​ได้​เกิด​ความโกลาหล​วุ่นวาย​ไม่

ห​ลี่​เมี่ยวเจิน​พยักหน้า​อย่าง​พอใจ​ แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “จะเป็น​ผู้ใต้บังคับบัญชา​ของ​ข้า​ ก็​ต้อง​รักษา​กฎ​ของ​ข้า​ ตั้งแต่​นี้​เป็นต้นไป​ ห้าม​ปล้น​ชาวบ้าน​ และ​ห้าม​ทำร้าย​คนบริสุทธิ์​ด้วย​

“พวกเรา​จะปล้น​แค่​พวก​พ่อค้า​ที่​รวย​ได้​จาก​การ​ปอกลอก​คนอื่น​กับ​เหล่า​ขุนนาง​ทุจริต​ที่​กลั่นแกล้ง​ประชาชน​เท่านั้น​

“หาก​ใคร​ไม่ปฏิบัติตาม​กฎ​ ก็​จะโดน​ฆ่าอย่าง​ไร้​ความปรานี​!”

ณ ภายใน​ถ้ำหิน​แห่ง​ซินเจียง​ตอน​ใต้​

“อ๊า…”​

เย่​จีเกร็ง​ไป​ทั่ว​ร่าง​พร้อม​ส่งเสียง​ครวญคราง​ ยาม​นี้​ใบหน้า​งามบิดเบี้ยว​เล็กน้อย​ หลังจาก​ผ่าน​ไป​ครึ่ง​ชั่ว​ยาม​การเคลื่อนไหว​ก็​หยุด​ลง​ และ​แล้ว​สถานการณ์​ก็​เงียบสงบ​ทันใด​

การ​พบ​คนรัก​เก่า​อีกครั้ง​หลังจากที่​แยก​จากกัน​มานาน​ ซ้ำยัง​แนบ​อิง​กัน​บน​เตียง​อีก​ โดย​คน​หนึ่ง​กำลัง​เพลิดเพลิน​กับ​ความ​ซาบซ่าน​ที่​ยัง​หลง​เหลืออยู่​ ส่วน​อีก​คน​กลับ​เข้าสู่​สภาวะ​ไร้​ความปรารถนา​ไป​แล้ว​

“ไม่เจอกัน​ตั้ง​นาน​ แต่​ลีลา​ของ​แม่นาง​ฝูเซียง​ยัง​เด็ดดวง​เช่นเคย​เลย​”

สวี่​ชีอัน​เอ่ย​ชมอีก​ฝ่าย​

ทว่า​เย่​จีกลับ​ส่งเสียง​ ‘จิ๊’ แล้ว​พูด​อย่าง​หงุดหงิด​ว่า​ “ไม่เจอกัน​ตั้ง​นาน​ ไฉน​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ไม่ให้​ข้า​แสดง​ความชำนาญ​พิเศษ​ที่​สามารถ​หลับ​ได้​ภายใน​สามวินาที​หลัง​หัว​ถึงหมอน​เล่า​?”

ไม่คิด​เลย​ว่า​นาง​ยัง​จะจำเรื่อง​หยุมหยิม​สมัย​ที่​รู้จัก​กัน​ใหม่​ๆ ได้​ สตรีเพศ​นี่​จู้จี้ตามที่​คิด​ไว้​เลย​จริงๆ​ แม้แต่​ปีศาจ​ก็​ไม่เว้น​สินะ​…จากนั้น​สวี่​ชีอัน​ก็​ยักคิ้วหลิ่วตา​ตอบ​ว่า​ “ก็​ช่วง​นั้น​ข้า​ไม่รู้​ว่า​แม่นาง​ฝูเซียง​เกิดขึ้น​จาก​น้ำ​นี่​ ไม่สิ ฝน​แห่ง​วสันตฤดู​ต่างหาก​”

เย่​จีกะพริบตา​ปริบๆ​ “นี่​มัน​คำพูดคำจา​อะไร​กัน​”

สวี่​ชีอัน​โอบกอด​คน​งาม และ​กล่าว​อย่าง​ฉะฉาน​ “มัน​เป็น​กลอน​น่ะ​ ยาม​หยาดฝน​มาเยือน​เมือง​พลัน​ชุ่มฉ่ำ ทุ่งหญ้า​ขจี​ครั้น​มอง​ใกล้​หา​มีไม่[4]”

หลังจาก​นอน​ไป​สักพัก​ เย่​จีก็​เอ่ย​อย่าง​พอใจ​ว่า​ “ข้า​จะปรนนิบัติ​ยาม​สวี่​หลา​งอาบน้ำ​”

“ไม่ต้อง​รีบร้อน​ ไว้​ทำ​หลังจาก​ข้า​ผ่าน​สนามรบ​อัน​ดุเดือด​มาหลาย​ๆ รอบ​ก่อน​ก็ได้​”

หลังจากนั้น​ผ้าม่าน​ก็​เริ่ม​ปลิด​ปลิว​ พร้อมกับ​ผ้าห่ม​ที่​ขยับ​ขึ้น​ลง​

บริเวณ​ด้านนอก​ถ้ำนั้น​ จิ้งจอก​ขาว​ตัว​น้อย​กำลัง​นั่งยองๆ​ ข้าง​กองไฟ​อยู่​

“เหตุใด​ท่าน​ผู้อาวุโส​ไป๋​จีออกมา​ล่ะ​?” ผู้พิทักษ์​หง​อิง​กล่าว​อย่าง​แปลกใจ​

ไป๋​จีตอบ​เสียงหวาน​ “ท่าน​พี่​เย่​จีบอ​กว่า​มีเรื่อง​ต้อง​หารือ​กับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ เลย​ให้​ข้า​รีบ​ออกมา​ ความจริง​พวกเขา​กำลัง​มีอะไร​กัน​ต่างหาก​ แต่​ไม่อนุญาต​ให้​ข้า​ดู​เท่านั้น​”

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางได้ยิน​เช่นนั้น​ก็​ตกตะลึง​ และ​พลัน​เข้าใจ​ได้​ทันที​ว่า​ทำไม​ห​ลี่​ห​ลิง​ซู่และ​สวี่​ชีอัน​ทั้งสอง​ถึงดู​เกลียด​กัน​

‘พวกเขา​ทั้งสอง​คน​ต่าง​ก็​มีคนรัก​ไป​ทั่ว​จิ่ว​โจว​สินะ​’

น้ำเสียง​ของ​หง​อิง​แหลม​ทันใด​ “มีอะไร​กัน​? ท่าน​ผู้อาวุโส​เย่​จีกับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่…”​

เขา​ทั้ง​เสียใจ​และ​ชิงชัง เพราะ​คิด​ว่า​ท่าน​ผู้อาวุโส​เย่​จีใช้ร่างกาย​เข้า​แลก​ เพื่อ​ตอบ​แทนที่​สวี่​ชีอัน​ให้การ​ช่วยเหลือ​

ไป๋​จีใช้น้ำเสียง​ที่​ฟังดู​อ่อนเยาว์​มาก​ที่สุด​ เพื่อ​พูด​เรื่อง​ที่​ดู​สกปรก​ที่สุด​ “ตอน​ท่าน​พี่​เย่​จีอยู่​ใน​เมืองหลวง​ วัน​ๆ ก็​เอาแต่​มีอะไร​กับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​นะ​”

‘ที่แท้​ก็​เป็น​ชู้รัก​เก่า​นี่เอง​…’ หง​อิง​เข้าใจ​ขึ้น​มาโดยพลัน​ แล้ว​หันไป​มอง​เหมียว​โห​ย่ว​ฟาง “พี่​เหมียว​ มัน​เกิดเรื่อง​อะไร​ขึ้น​กัน​แน่​”

‘ข้า​จะไป​รู้​รึ​ ตอนนั้น​ข้า​ยัง​ไม่ได้​เข้าร่วม​ฝ่าย​เขา​ด้วยซ้ำ​…’ เหมียว​โห​ย่ว​ฟางก็​พูดว่า​ “นี่​มัน​เป็น​เรื่องส่วนตัว​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ ข้า​พูดมาก​ไป​ก็​ไม่ดี​หรอก​”

สวี่​ชีอัน​ที่​กำลัง​แช่น้ำเย็น​ภายใน​อ่าง​ ส่วน​มือ​ก็​กำลัง​ถือ​ยันต์​คุ้ม​กา​ยา​ จากนั้น​เขา​ก็​ส่งเสียง​ผ่าน​จิต​เดิม​ไป​ว่า​ “ราชครู​ ข้า​สวี่​ชีอัน​เอง​นะ​”

ข้า​คือ​สวี่​หลา​งยอดรัก​ของ​เจ้าไง

หลังจาก​ส่งข้อความ​นี้​ไป​ สวี่​ชีอัน​ก็​พลัน​เกิด​ความรู้สึก​ที่​ซับซ้อน​ขึ้น​มา

เพราะ​ดัน​นึก​ขึ้น​ได้​ว่า​แต่ละ​ตัวตน​นั้น​สร้าง​บาดแผล​ทางจิตใจ​ไว้​ให้​เขา​มาก​เลย​ทีเดียว​ อย่างเช่น​ตัวตน​ ‘ปรารถนา​’ หรือ​ตัวตน​ ‘รัก​’ หึง​โหด​พร้อม​ถือ​ขวาน​ไล่​ฟัน​อยู่​เสมอ​

……………………………………………..

[1] 川 อ่าน​ออกเสียง​ว่า​ ชวน​ (Chuān) และ​มีความหมาย​ว่า​แม่น้ำ​ ลำธาร​

[2] ชุด​อาภรณ์​เรียบง่าย​แต่​ซ่อน​ทอง​ เป็น​สำนวน​เปรียบเปรย​ถึงคน​ที่​มีความสามารถ​แต่​ไม่ได้​แสดง​ออกมา​

[3] ขนม​วัว​วัว​โถว​ (窝窝头) เป็น​อาหาร​ประเภท​แป้ง​ทาง​ตอนเหนือ​ของ​จีน​ ซึ่งทำ​มาจาก​แป้งข้าวโพด​และ​ธัญพืช​ที่​ไม่ได้​ขัดสี​ โดย​มีลักษณะ​เป็น​ทรง​กรวย​ มีรู​ตรง​ฐาน​ และ​สีเหลือง​นวล​น่ากิน​

[4] มาจาก​บางส่วน​ใน​กลอน​《早春呈水部张十八员外》 ผู้ประพันธ์​ก็​คือ​กวี​สมัย​ราชวงศ์​ถังนาม​ว่า​หา​นอ​วี้​ ซึ่งเป็น​การเขียน​บรรยาย​ความงาม​ของ​ช่วงต้น​ฤดูใบไม้ผลิ​

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท