“ไม่ถูกต้อง?”
หลวนอวี้ที่ที่เดินตามเขามาติดๆ ได้ยินก่อนใคร ถามกลับอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “อะไรไม่ถูกต้อง”
อิ่งจือ ป๋าจี้ ฉุนเยียนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาสองคนเล็กน้อย ก็ส่งสายตาซักถามมาทางสวี่ชีอันเช่นกัน
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น ต้องไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะมันง่ายเกินไป สวี่ผิงเฟิงรู้ถึงความสำคัญของเผ่าพันธุ์กู่ และการเลือกของเผ่าพันธุ์กู่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการตัดสินผลของสงครามในที่ราบภาคกลาง
อิทธิพลที่สำคัญเช่นนี้ ส่งแค่ลูกศิษย์มาเพียงคนเดียว มาทำสัญญาปากเปล่า พ่นเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้เผ่าพันธุ์กู่ไม่สามารถปฏิเสธได้…ใช่ เงื่อนไขเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้เผ่าพันธุ์กู่ตอบรับที่จะเป็นพันธมิตร หากไม่มีตนเองเข้าไปแทรกแซง ป่านนี้เผ่าพันธุ์กู่คงจะเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวอย่างราบรื่นไปแล้ว
แต่ สวี่ผิงเฟิงรู้ว่าเขาอยู่ในซินเจียงตอนใต้
อีกทั้ง การเดินทางท่องยุทธภพเพื่อรวบรวมปราณมังกรของเขาครั้งนี้ เป็นการอาศัยไสยศาสตร์กู่ที่แข็งแกร่งอย่างประหลาด สวี่ผิงเฟิงจะต้องรู้เรื่องนี้
ในฐานะคนที่คิดวางแผนร้ายต่อที่ราบภาคกลางทุกวิถีทาง ไสยศาสตร์กู่ที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ มีหรือเขาจะไม่สนใจ?
สวี่ผิงเฟิงอาจจะไม่รู้ว่าเจ็ดยอดกู่คืออะไร แต่เขาต้องเดาได้อย่างแน่นอนว่าไสยศาสตร์กู่ของข้ามาจากการสนับสนุนของผู้อาวุโสเทียนกู่ ข้าผู้มีความสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์กู่ก็อยู่ในซินเจียงตอนใต้ แล้วเผ่าพันธุ์กู่ก็มีความสำคัญขนาดนี้ เขาส่งแค่ลูกศิษย์มาพูดเกลี้ยกล่อมเผ่าพันธุ์กู่แค่เพียงคนเดียว…นี่มันไม่ใช่แนวทางปฏิบัติของสวี่ผิงเฟิง
สวี่ชีอันวิเคราะห์ในใจอยู่ครู่หนึ่ง ข้อสรุปที่ได้คือ
ถ้าสวี่ผิงเฟิงไม่มีเป้าหมายอื่น เขาก็ต้องมีวิธีควบคุมเผ่าพันธุ์กู่ ทำให้หลังจากการสร้างพันธมิตรล้มเหลว เผ่าพันธุ์กู่ไม่กล้าไปจากซินเจียงตอนใต้ การคาดคะเนตามแนวความคิดนี้ วิธีบังคับเผ่าพันธุ์กู่ของสวี่ผิงเฟิงก็เดาได้ไม่ยากแล้ว…จี๋เยวียน
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันหันหลังกลับ เดินกลับไปข้างๆ แม่ย่าเทียนกู่ พูดว่า
“แม่ย่า ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่า ตอนนั้นผู้อาวุโสเทียนกู่ร่วมมือกับสวี่ผิงเฟิงขโมยชะตาบ้านเมือง เพื่อซ่อมแซมรูปปั้นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ปิดผนึกเทพเจ้ากู่”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพเจ้ากู่ ท่าทางประจบประแจงของหลวนอวี้ที่วิ่งตามมาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ฉุนเยียนและผู้นำคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าจริงจัง มองหน้าเขาและแม่ย่าแห่งเทียนกู่
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้าอย่างสงบ
“ถูกต้อง แรงผลักดันทั้งหมดของเผ่าพันธุ์กู่ก็เพื่อปิดผนึกเทพเจ้ากู่”
หลวนอวี้กอดแขนข้างหนึ่งของสวี่ชีอัน
“เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
ภาษาที่ราบภาคกลางไม่ได้มาตรฐาน แต่น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟัง มีเสน่ห์ดึงดูดตามแบบฉบับของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่
“จี๋เยวียน เป้าหมายของศิษย์คนโตของท่านโหราจารย์ก็คือจี๋เยวียน”
สวี่ชีอันไม่ได้ปกปิด พูดตรงประเด็นว่า “หากอวิ๋นโจวและเผ่าพันธุ์กู่ล้มเหลวในการสร้างพันธมิตร มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะต้องวางแผนทำให้ตราผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ต้องสั่นคลอน”
ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเยียนส่ายหน้าเล็กน้อย “ตราผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนทั่วไปจะสามารถทำให้สั่นคลอนได้ แม้แต่แม่ย่าก็ไม่สามารถทำให้สั่นสะเทือนได้”
ผู้นำหลายคนพยักหน้า มองไปที่สวี่ชีอัน คิดว่าเขาคิดมากเกินไป
สีหน้าสวี่ชีอันเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“พวกเจ้าอย่าได้อย่าเพิกเฉยต่อคำพูดของข้า ตราผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโชคชะตา นี่คือสาเหตุที่ผู้อาวุโสเทียนกู่ต้องการที่จะขโมยชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่ง”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขากวาดตามองผู้นำทุกคน
“การควบคุมโชคชะตาของโหรดีกว่าลัทธิขงจื๊อ”
ใบหน้าของหลวนอวี้และคนอื่นๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สวี่ชีอันพูดต่อว่า “สวี่ผิงเฟิง อาจจะไม่ต้องการทำให้ตราผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์สั่นสะเทือน แต่เขาต้องมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน จะประมาทไม่ได้ รีบไปจี๋เยวียนเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ผู้นำหลายคนทยอยลอยขึ้นตามลม มุ่งไปทางจี๋เยวียน สีหน้าไม่ดี
…
‘ยิ่งใหญ่จนทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย…’
ในป่าบุพกาลที่ลึกเข้าไป เก่อเหวินเซวียนกำลังกระโจนอยู่ในป่าทึบที่เต็มไปด้วยอากาศพิษ หวนนึกถึงการต่อสู้ที่ได้สังเกตการณ์เมื่อไม่นานมานี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกสะเทือนใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ได้เห็นสวี่ชีอันเอาชนะผู้นำของเผ่าพันธุ์กู่ทั้งห้าท่าน สิ่งแรกที่พรั่งพรูออกมาจากใจของเก่อเหวินเซวียนก็คือ ความโกรธเคืองและความผิดหวังท้อแท้ ทั้งห้าท่านฝีมือเหนือธรรมดา แต่กลับถูกคนแซ่สวี่ควบคุม ไม่ได้สูญเสียอะไรมากก็สามารถปราบได้แล้ว
จากนั้น ความโกรธเคืองและความผิดหวังท้อแท้ก็ถูกความกลัวเข้ามาแทนที่ เกิดความรู้สึกอยากจะถอนตัวอย่างยิ่ง
ไปจากซินเจียงตอนใต้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย
แต่เขายังคงมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ เรื่องสร้างพันธมิตรล้มเหลวไปแล้ว เริ่มแผนการต่อไปได้
ในสมองของเก่อเหวินเซวียนมีเสียงกำชับของอาจารย์ก่อนออกเดินทางดังขึ้นมา
‘ถ้าหากสวี่ชีอันทำลายแผนการ สร้างพันธมิตรไม่สำเร็จ ก็ให้นำของที่ข้ามอบให้เจ้าไปจี๋เยวียน’
“อาจารย์มีแผนการล้ำเลิศ แผนหนึ่งล้มเหลว ก็วางอีกแผนการหนึ่ง จะไม่มีวันกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน...”
เก่อเหวินเซวียนอาศัยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว เดี๋ยววิ่งห้ออยู่ในป่าทึบ เดี๋ยวก็กระโดดอยู่บนยอดต้นไม้
แมลงมีพิษและสัตว์มีพิษสองข้างทางต่างกลัวจะหลบเขาไม่ทัน พากันหลบหลีกเสียงดังกรอบแกรบ
สิ่งที่เก่อเหวินเซวียนถนัดก็คือการจัดการ ตัวเขาซึ่งเป็นเพียงขั้นห้าสลายแรง นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหก เดิมทีไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของป่าบุพกาลได้
แต่อย่าลืมว่า ขั้นเก้าของระบบโหรเรียกว่า ‘แพทย์’ แพทย์และพิษนั้นเป็นของคู่กัน เขากินยาเม็ดแก้พิษก่อน จึงทำให้เขาไม่กลัวอากาศพิษ จากนั้นก็ทาผงยาขับไล่แมลงมีพิษที่ตัว จึงสามารถอาศัยขอบเขตการปกคลุมจากกำลังของตู๋กู่เข้าสู่จี๋เยวียน หากเป็นขอบเขตอื่น เขายังไม่ทันเข้าใกล้จี๋เยวียนก็คงถูกหนอนกู่และอสูรกู่ฆ่าตายแล้ว
ต้นไม้บริเวณรอบๆ เริ่มค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ บนพื้นดินปรากฏดินสีดำบริเวณกว้างหลายผืน เหมือนจุดด่างดำเป็นจุดๆ
เมื่อเก่อเหวินเซวียนผ่านป่าไม้ผืนนี้ เบื้องหน้าก็ปรากฏหุบเขารอยแยก ความกว้างของหุบเขารอยแยกยากที่จะประเมิน เก่อเหวินเซวียนทอดสายตามองไปไกลสุดสายตา แต่มองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามของหุบเขารอยแยก
ริมหุบเขารอยแยกไม่สูงชันมันเป็นเนินที่ลาดลงไปเรื่อยๆ
“พืชเริ่มมีรูปร่างพิกลพิการ…”
เก่อเหวินเซวียนอยู่บนริมหุบเขารอยแยก มองลงมา เห็นพุ่มไม้เตี้ยๆ ขึ้นอยู่ตรงเนินลาดทางด้านล่างซ้าย ใบของพุ่มไม้ดูเหมือนมือของทารก ดอกไม้บานกลางพุ่มไม้ ลักษณะคล้ายใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็ก
ป่าบุพกาลนอกหุบเขารอยแยก แม้จะเป็นพืชกลายพันธุ์เหมือนกัน แต่รูปร่างภายนอกไม่ได้พิกลพิการขนาดนั้น
เก่อเหวินเซวียนปลดถุงผ้าที่แขวนไว้ที่เอวออก คอยระวังภัยรอบๆ ตัวไปพร้อมกับหยิบอาวุธเวทมนตร์ออกมาทีละชิ้น
เกราะคันฉ่องที่หล่อจากทองเหลืองแขวนไว้ที่หน้าอก แสงสีเหลืองอ่อนกระจายตัว ให้ความรู้สึกหนาและหนัก นี่เป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นเลิศที่ใช้ป้องกันตัว
จากนั้นก็กลืนยาเม็ดแก้พิษ ทาผงยาที่ทำให้ที่แมลงมีพิษสะอิดสะเอียน แล้วต่อจากนั้น เขาก็อมใบไม้ที่แกะสลักจากหยกสีขาว ปลายลิ้นเกิดรสเผ็ด ทำให้จิตใจของเขาตื่นตัว ใช้ในการป้องกันซินกู่ควบคุมจิตเดิม
อาวุธเวทมนตร์ชิ้นที่สามคือธงสีดำเหมือนหมึกด้ามหนึ่ง มันส่งกลิ่นเหม็นของศพออกมาทำให้คนสะอิดสะเอียน ด้ามธงทำจากกระดูกคนตาย วัสดุของผืนธงทำจากหนังคน ที่ดำก็เนื่องจากแช่อยู่ในเลือดสดๆ นานเกินไป
ธงผืนนี้ชื่อว่าธงรวบวิญญาณ มีความสามารถในการเรียกวิญญาณ เลี้ยงผี และควบคุมศพ
อาวุธเวทมนตร์เหล่านี้อาจารย์เป็นผู้มอบให้ทั้งหมด ทุกชิ้นล้วนมีราคาไม่น้อย มีความคุ้มค่าสูงยิ่ง
“จริงสิ ต้องเตรียมป้องกันฉิงกู่ด้วย”
สุดท้ายเก่อเหวินเซวียนหยิบเข็มเงินออกมาชุดหนึ่ง ใช้ปลายนิ้วคลึง แล้วฝังลงไปที่ท้องน้อย เอว และหลังเป็นต้น อย่างแม่นยำ
วัตถุประสงค์ในการฝังเข็ม ไม่ใช่เป็นการปิดกั้นพิษฉิง แต่เป็นการสกัดกั้นสมรรถนะบางส่วน ทำให้เวลาที่เขาถูกพิษจะได้ไม่เกิด “ความสนใจ” นับเป็นการตอนตัวเองระยะสั้น
ผลข้างเคียงก็คือ ในอีกหกเดือนข้างหน้า เขาอาจจะไม่มีความสนใจใดๆ ต่อผู้หญิงเลย
ขอเพียงเหี้ยมโหดกับตัวเองมากพอ ก็จะไม่มีใครสามารถเอาชนะเจ้าได้
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว เก่อเหวินเซวียนก็เดินไปตามเนินลาด มุ่งไปยังส่วนลึกของจี๋เยวียน
หลังจากเดินลงไปเป็นเวลาครึ่งเค่อ เสียงลมที่แหลมและเศร้าก็ดังขึ้น เก่อเหวินเซวียนใช้มือข้างเดียวยันพื้นตีลังกา หลบการโจมตีจากด้านข้าง
หลังจากยืนมั่นคงแล้ว เมื่อหันไปมอง ผู้ที่โจมตีคืองูเกล็ดดำขนาดเล็ก ยาวเพียงหนึ่งฉื่อ ที่หน้าผากมีเขาเล็กๆ สองข้าง รูม่านตาตั้งสีทองเต็มไปด้วยความดุร้าย
เมื่อโจมตีพลาด งูตัวเล็กก็ดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วแปลงร่างเป็นลูกธนูมีเสียง พุ่งไปที่เก่อเหวินเซวียน
ขั้นห้าสลายแรงเก่อเหวินเซวียนพลิกฝ่ามือดึงมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง แล้วตัดมันทิ้ง
‘ฉับ…’
งูตัวเล็กขาดเป็นสองท่อน บิดตัวไปมาบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง บริเวณที่ถูกตัดขาดมีเมือกที่เหนียวและข้นเหมือนใยไหมยืดออกมา ดูเหมือนต้องการพยายามจะเชื่อมติดกัน
ลี่กู่ มีกำลังทั่วไป…เก่อเหวินเซวียนมองงูตัวเล็กที่ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตายสนิท
ในเวลานี้ เสียงลมก็รวมตัวกันอย่างหนาแน่น ทั้งทางด้านซ้ายและขวา ด้านล่างเนินลาด มีห่าธนูยิงมาทั้งมากและถี่
หึ่งๆๆ…ห่าธนูชนเข้ากับม่านแสงของเกราะคันฉ่องที่หนุนขึ้นมา ทำให้เกิดรัศมีเป็นระลอกคลื่น
เก่อเหวินเซวียนต้านทานห่าธนู ก้มหน้าก้มตาวิ่งหนี ทิ้งฝูงงูไว้ด้านหลัง
เฉพาะ “ห่าธนู” กลุ่มนั้น หากไม่มีเกราะคันฉ่อง เขาคาดว่าคงจะสาหัสทีเดียว ถึงแม้จะสามารถอาศัยกระดูกเหล็กผิวทองแดงหนีออกมาได้ ก็ต้องได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง
และนี่เพิ่งเข้าสู่จี๋เยวียน
น่าเสียดายที่ในจี๋เยวียนไม่สามารถใช้วิชามองปราณได้ จึงไม่สามารถหาทางหลบเลี่ยงอันตรายข้างหน้าล่วงหน้าได้ การใช้วิชามองปราณในจี๋เยวียน ย่อมต้องเห็นชะตากรรมของเทพเจ้ากู่ การจับตาดูชะตากรรมของขั้นสูงสุด จะทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนในทันที…เก่อเหวินเซวียนระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เดินต่อไปอย่างรักษาระดับความเร็วแบบไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป
เขาคลำทางต่อไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ระหว่างทางได้หลบหลีกการโจมตีของแมลงมีพิษและสัตว์ร้ายจำนวนมาก แสงรอบๆ ตัวก็ค่อยๆ มืดลง
จู่ๆ เก่อเหวินเซวียนก็ได้กลิ่นที่ทั้งหวานทั้งเลี่ยน หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดขยายขึ้นมาทันที เขารู้ว่าตัวเองได้รับพิษฉิงเข้าแล้ว
หัวใจที่เต้นผิดปกติทำให้เขาวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่ก็มีอาการเพียงเท่านี้ พิษฉิงที่รุนแรงไม่สามารถทำให้เขาเกิดความเพ้อฝันใดๆ ร่างกายครึ่งท่อนล่างมั่นคงดุจภูเขาไท่ซาน จิตใจไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เขามองไปรอบๆ ก็เห็นอสูรกู่ที่ปล่อยพิษฉิงใส่ตนเอง มันเป็นสัตว์ที่มีขนสีดำทั้งตัว รูปร่างคล้ายสุนัข
เมื่อเห็นเก่อเหวินเซวียนมองมาทางมัน มันจึงหมุนตัว หันก้นให้คนชุดขาว คิดจะใช้ ‘อาวุธลับ’ ของตัวเองดึงดูดฝ่ายตรงข้าม…เก่อเหวินเซวียนกระตุกมุมปาก เดินอ้อมทางด้านข้างสีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนมองไม่เห็น และไม่ได้ถูกดึงดูดจากอาวุธลับของ “สุนัขดำ” ตัวนี้
แล้วเดินไปตามเนินลาดต่อไป เวลาต่อมาในระหว่างทาง เขาก็พบกับการโจมตีจากอั้นกู่ การล่าสังหารจากลี่กู่ การยั่วยวนจากฉิงกู่ และการควบคุมจากซินกู่ แล้วยังพบกับศพเดินได้กลุ่มหนึ่ง แต่ก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยตลอดทาง
ในที่สุดเขาก็มาถึงบริเวณพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง
แสงบริเวณนี้มืดสลัวมากแล้ว ราวกับยามพลบค่ำที่ม่านราตรีกำลังจะปกคลุม
จากบริเวณพื้นที่ราบเดินตรงไป ก็จะเป็นหน้าผาสูงชันจริงๆ แล้ว ด้านล่างหน้าผามีเทพเจ้ากู่นอนอยู่
บริเวณนี้คือจุดสิ้นสุดของเนินลาด
เก่อเหวินเซวียนเห็นรูปปั้นสูงใหญ่ชิ้นหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ที่ริมหน้าผา
เขาสวมชุดคลุมยาว และสวมมงกุฎแห่งปราชญ์ทรงสูงบนศีรษะมือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ก้มหน้าเล็กน้อย มองจี๋เยวียนที่อยู่ด้านล่าง
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์…ในสมองของเก่อเหวินเซวียนมีชื่อนี้ผ่านเข้ามา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนน้อมและระวังตัว
“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปิดผนึกเทพเจ้ากู่จริงๆ ด้วย”
เขารู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นรูปปั้นของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่นี่จริงๆ ในใจก็ยังคงหวั่นไหวอยู่ดี
“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยเก่อเหวินเซวียนขอคารวะ”
เขาจัดระเบียบเสื้อผ้า ก้มตัวกุมหมัดไว้ที่อกแสดงความเคารพรูปปั้นของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
“ล่วงเกินแล้ว…”
เก่อเหวินเซวียนปลดถุงผ้าออกอีกครั้ง แล้วหยิบของออกมาสองชิ้น คือแผ่นทองแดงแปดทิศ และเกล็ดปลาที่กระจายแสงขาวจางๆ ออกมา
ในที่หลบซ่อนที่อยู่ข้างหลังเขาห่างออกไปสิบกว่าเมตร มีลิงขนสีเหลืองที่สวมกำไลลูกปัดหลากสีที่ข้อมือตัวหนึ่ง มองการกระทำนี้อยู่อย่างเงียบๆ
ไม่ได้ห้าม และไม่ได้เข้าใกล้
…………………………………………………