บทที่ 690 กำลังเสริม (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

หยาง​กง​ยก​ถ้วย​ชามาจิบ​น้ำชา​ที่​ร้อน​จัด​อึก​หนึ่ง​ ก่อน​เอ่ย​ช้าๆ ว่า​

“หาก​คิด​จะจัดการ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็​มิใช่เรื่อง​ยาก​ ให้​จางเซิ่น​ร่วมมือ​กับ​ยอด​ฝีมือ​ใน​กองทัพ​และ​ไล่​ตี​แตก​ไป​ทีละ​จุด​ก็​สิ้นเรื่อง​”

ทหาร​สามัญและ​จอม​ยุทธ์​ระดับ​ล่าง​ไม่มีทาง​รับมือ​กับ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ได้​ แต่​ไม่ใช่เรื่อง​ยาก​เลย​ที่​ยอด​ฝีมือ​ขั้น​สี่ซึ่งเหาะ​เหิน​เดินอากาศ​ได้​จะจัดการ​กับ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​

ห​ลี่​มู่ไป๋​หันไป​เหลือบมอง​สหาย​รัก​แล้ว​เอ่ย​เตือน​ว่า​

“กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็​มียอด​ฝีมือ​ ยิ่งไปกว่านั้น​ มาตร​การตอบโต้​ง่ายๆ​ เช่นนี้​ พวกเรา​คิดได้​แล้ว​ทัพ​กบฏ​จะคิดไม่ถึง​หรือ​ ไม่แน่​ว่า​อาจ​เป็น​อุบาย​เชิญท่าน​ลง​อ่าง​อย่างหนึ่ง​ก็ได้​”

การ​ให้​ยอด​ฝีมือ​ขั้น​สี่ออกจาก​กองบัญชาการ​สูงสุด​และ​ต่อสู้​กับ​ศัตรู​ตามลำพัง​นั้น​อันตราย​ร้ายแรง​เกินไป​ ไม่แน่​ว่า​อาจ​จากไป​ไม่หวนกลับ​

“หาก​พวกเรา​มีกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็ดี​สิ”

นายทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​เอ่ย​ด้วย​ความ​ปลดปลง​

“บางที​ พวกเรา​อาจ​ขอ​กำลัง​เสริม​จาก​คน​เถื่อน​ และ​ขอให้​แมงมุมปีกนก​ของ​ฝ่าย​พฤกษา​สุวรรณ​ลง​ใต้​ไป​ช่วย​สนับสนุน​ได้​”

ผู้พูด​ไม่มีเจตนา​หาก​แต่​สะกิดใจ​ผู้ฟัง​ นายทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​ทาง​ด้าน​ซ้าย​ผู้​หนึ่ง​หัวใจ​กระตุก​วูบ​ ทว่า​ความคิด​นี้​ก็​ถูก​หักล้าง​อย่าง​รวดเร็ว​

“ข้อคิดเห็น​ของ​ท่าน​แตกต่าง​จาก​การร้อง​ขอให้​ราชสำนัก​ระดมพล​อินทรี​หาง​แดง​อย่างไรเล่า​ อีก​ทั้ง​ชายแดน​ทางเหนือ​ก็​ห่าง​จาก​ชิงโจว​เป็น​แสน​ลี้​ จะมาทัน​ได้​อย่างไร​”

“ให้​ซุน​เสวียน​จีช่วย​ดี​หรือไม่​ เขา​เป็น​โหร​ระดับ​สาม หาก​เขา​รับผิดชอบ​เรื่อง​ ‘การขนส่ง​’ ได้​ ก็​น่าจะ​เป็นไปได้​นะ​”

“หาก​ซุน​เสวียน​จีไป​แล้ว​ ผู้ใด​จะยับยั้ง​จีเสวียน​ล่ะ​ เฮ้อ​ คิดไม่ถึง​ว่า​จะมีจอม​ยุทธ์​ขั้น​สามรุ่นเยาว์​ผู้​หนึ่ง​อยู่​ใน​ทัพ​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ด้วย​”

“ทว่า​แผนการ​ขอ​กำลัง​เสริม​จาก​คน​เถื่อน​นั้น​ อันที่จริง​ก็​มีความเป็นไปได้​ แต่​ตาม​ขั้นตอน​แล้ว​ต้อง​ส่งจดหมาย​ถึงราชสำนัก​ก่อน​ จากนั้น​ราชสำนัก​จึงจะส่งทูต​ขึ้น​เหนือ​ แม้คน​เถื่อน​จะตอบรับ​ด้วย​ความยินยอมพร้อมใจ​ แต่​กว่า​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​ฝ่าย​พฤกษา​สุวรรณ​จะลง​ใต้​เพื่อ​เข้าร่วม​สงคราม​ก็​เป็นเรื่อง​ภายหลัง​ต้น​วสันตฤดู​แล้ว​”

“น้ำ​ที่อยู่​ห่างไกล​มิอาจ​ดับ​ความกระหาย​ได้​นะ​”

“ท่าน​ทั้งหลาย​วิสัยทัศน์​สั้น​เกินไป​แล้ว​ ตอนนั้น​ที่​ปลด​ประจำการ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​เนื่องจาก​แผ่นดิน​สงบสุข​จึงไม่ต้อง​ใช้กองกำลัง​ ทว่า​หลัง​การ​สู้รบ​ที่​เมือง​จิ้งซาน​ ทุกท่าน​ก็​ควรจะ​ระแวดระวัง​ได้​แล้ว​”

“หาก​เว่ยกง​ยังอยู่​ เขา​คง​รีบ​ฝึก​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​นาน​แล้ว​เป็นแน่​”

“หาก​พวกเรา​มีกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็ดี​สิ”

ห​ลี่​มู่ไป๋​เคาะ​โต๊ะ​ขัดจังหวะ​หัวข้อ​สนทนา​เปล่าประโยชน์​นี้​แล้ว​เอ่ย​เสียง​เข้ม​ว่า​

“ตงห​ลิง​ถูก​ทำลาย​แล้ว​ ทหาร​อารักขา​ภายใต้​การนำ​ของ​ซุน​เสวียน​จีได้​เปลี่ยน​ทัพ​กบฏ​เป็น​จุดยุทธศาสตร์​ และ​คุมเชิง​กัน​อยู่​ทาง​ทิศเหนือ​และ​ใต้​ หว่าน​จวิ้น​ถูก​ปิดล้อม​ ทัพ​กบฏ​ตัดสินใจ​จะใช้ความสามารถ​ใน​การตรวจจับ​ของ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ดึง​กองกำลัง​ส่วนหนึ่ง​ออกมา​ปิดล้อม​ฐาน​ที่มั่น​ แล้ว​ใช้กองกำลัง​หลัก​โจมตี​ฐาน​ที่มั่น​ของ​กองกำลัง​เสริม​ นี่​นับ​เป็น​สงคราม​ที่​ค่อยๆ​ ผลาญ​กำลัง​ของ​ศัตรู​ และ​จะไม่เกิดเรื่อง​ไม่คาดฝัน​ใน​ระยะเวลา​อัน​สั้น​

“แต่​หาก​ไม่สนใจ​เป็นเวลา​นาน​ ช้าเร็ว​หว่าน​จวิ้น​จะสิ้น​เสบียง​และ​อาวุธ​”

เขา​ชะงัก​ครู่หนึ่ง​ ก่อน​มอง​เหล่า​ทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​ด้วย​หน้านิ่วคิ้วขมวด​แล้ว​เอ่ย​ว่า​

“หาก​มิอาจ​หา​ทางแก้ไข​สถานการณ์​ยากลำบาก​ของ​หว่าน​จวิ้น​ได้​ เช่นนั้น​ก็​ต้อง​คิด​หาทาง​รักษา​อำเภอ​ซงซาน​ไว้​”

นายทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​รอบข้าง​ตะลึงงัน​ ก่อน​ตอบสนอง​โดย​การ​หันมา​ทาง​หยาง​กง​

“หัวหน้า​ หาก​ข้า​จำไม่ผิด​ จนถึง​ตอนนี้​อำเภอ​ซงซาน​ยัง​ไม่มีข่าวดี​ส่งมาเลย​นะ​ ยิ่ง​ไม่มีจดหมาย​ขอ​กำลัง​เสริม​มาด้วย​”

หยาง​กง​พยักหน้า​

“เทียบ​กับ​ตง​ห​ลิง​และ​หว่าน​จวิ้น​แล้ว​ อำเภอ​ซงซาน​มีความสำคัญ​เป็นรอง​ ทัพ​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ต้อง​โจมตีสอง​ที่​แรก​ก่อน​เป็นแน่​”

ห​ลี่​มู่ไป๋​ส่งเสียง​ ‘อืม​’

“อำเภอ​ซงซาน​ครอบครอง​ชัยภูมิ​และ​เสบียงอาหาร​บริบูรณ์​ ทั้ง​ยังมี​จู๋จวิน​และ​เอ้อร์​หลา​งนั่ง​รักษาการณ์​ คิด​ว่า​คง​ป้องกัน​ไว้​ได้​ ทว่า​ดู​จาก​สถานการณ์​ปัจจุบัน​ที่​ตง​ห​ลิง​แตก​และ​หว่าน​จวิ้น​ถูก​ปิดล้อม​แล้ว​

“ก้าว​ต่อไป​ของ​ทัพ​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ก็​คือ​อำเภอ​ซงซาน​นี่​ละ​”

ขณะที่​เอ่ย​อยู่​นั้น​ เจ้าพนักงาน​คน​หนึ่ง​ก็​รีบร้อน​เข้ามา​พร้อมกับ​สาส์น​ลับ​ใน​มือ​ แล้ว​เอ่ย​เสียง​สูงว่า​

“ใต้เท้า​สมุหเทศาภิบาล​ มีรายงาน​ด่วน​จาก​อำเภอ​ซงซาน​ขอรับ​”

หยาง​กง​รีบ​เอ่ย​ว่า​ “ส่งมา”

เจ้าพนักงาน​จึงส่งสาส์น​ลับ​ขึ้นไป​

ทันทีที่​หยาง​กง​เปิด​ออก​อ่าน​ สีหน้า​ก็​พลัน​ดำ​ดิ่ง​

ห​ลี่​มู่ไป๋​และ​คนอื่นๆ​ เห็น​ดังนั้น​ก็​เย็นเยือก​หัวใจ​ “ใน​สาส์น​ว่า​อย่างไร​”

หยาง​กง​เอ่ย​อย่าง​ชัดถ้อยชัดคำ​ว่า​

“กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​บุก​โจมตี​อำเภอ​ซงซาน​ เอ้อร์​หลา​งขอ​กำลัง​เสริม​”

หลังจาก​ชะงัก​ไป​ครู่หนึ่ง​ จู่ๆ สีหน้า​ของ​เขา​ก็​ย่ำแย่​ขึ้น​มา

“นี่​เป็น​สาส์น​เมื่อ​สามวันก่อน​”

จาก​อำเภอ​ซงซาน​ใช้ม้าเร็ว​ห้อ​ตะบึง​มาถึงเมือง​ชิงโจว​ต้อง​ใช้เวลา​สามวัน​

อำเภอ​ซงซาน​

ดวงตะวัน​เจิดจ้า​ แต่กลับ​ไม่นำพา​ความร้อน​มาแม้แต่น้อย​ สวี่เอ้อร์​หลา​งยืน​อยู่​ยอด​กำแพงเมือง​พลาง​คว้า​เศษหิน​ที่​ปะปน​โลหิต​ของ​ทหาร​อารักขา​และ​ควัน​ดินปืน​ขึ้น​มา

เขา​มอง​ไป​รอบ​ๆ โดย​ไม่แสดง​สีหน้า​ ยอด​กำแพงเมือง​เต็มไปด้วย​หลุม​ระเบิด​เป็น​รอยแตก​กระดำกระด่าง​จน​แทบ​ไม่เหลือ​สภาพเดิม​

ทหาร​ถูก​ห่อ​ด้วย​ผ้า​กระสอบ​และ​ผ้าฝ้าย​เนื้อ​ละเอียด​กระจัดกระจาย​อยู่​ประปราย​ ไม่เห็น​ร่าง​ที่​สมบูรณ์​แม้แต่​คนเดียว​

และ​ผู้​ที่​รั้ง​อยู่​ด้าน​บนสุด​ของ​กำแพง​ คือ​ผู้​ที่​ได้รับบาดเจ็บ​น้อยที่สุด​ใน​บรรดา​ทหาร​อารักขา​ของ​อำเภอ​ซงซาน​

เดิม​อำเภอ​ซงซาน​มีทหาร​อารักขา​สอง​พัน​นาย​ บัดนี้​เหลือ​เพียง​ห้า​ร้อย​นาย​ คนอื่นๆ​ ได้​เสียชีวิต​ใน​สงคราม​ด้วย​การบุก​และ​ตั้ง​รับ​อัน​โหดร้าย​

สามวัน​ผ่าน​ไป​นับตั้งแต่​การบุก​โจมตี​ของ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​

วิธีการ​โจมตี​ของ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​นั้น​แสน​ง่ายดาย​ คือ​การขว้าง​กระสุน​ปืนใหญ่​และ​กระปุก​น้ำมันเชื้อเพลิง​มายัง​ยอด​กำแพงเมือง​ เหล่า​ทหาร​อารักขา​กระทำ​กับ​ทัพ​ศัตรู​ที่​ล้อม​เมือง​อย่างไร​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็​รับมือ​กับ​ทหาร​อารักขา​เช่นนั้น​

แนวทาง​อัน​แสน​ง่ายดาย​แต่กลับ​อันตราย​ถึงชีวิต​

ทหาร​อารักขา​สละ​ชีวิต​ทางตรง​ไป​เกือบ​พัน​คนใน​วัน​แรก​ ด้านบน​ของ​กำแพงเมือง​ถูก​กระสุน​ปืนใหญ่​ระเบิด​เป็น​หลุม​นับ​พัน​ ก้อนอิฐ​ก้อนหิน​ถูก​เผา​เกรียม​ถ้วน​ทั่ว​

เมื่อ​เวลา​พลบค่ำ​ ข้าศึก​จึงถอยกลับ​

หลัง​ผ่าน​หนึ่ง​วัน​อัน​สิ้นหวัง​เช่นนี้​ ขวัญ​กำลังใจ​ของ​ทหาร​อารักขา​ก็​ทรุด​ฮวบ​ และ​คิด​ว่า​เมือง​จะต้อง​ถูก​ทำลาย​ใน​วันพรุ่งนี้​แน่​แล้ว​ จิตใจ​จึงล่องลอย​ไม่เป็น​ส่ำ

สวี่เอ้อร์​หลา​งส่งคน​ไป​เก็บ​กระจก​ทองเหลือง​จาก​ทุก​ครัวเรือน​ใน​เมือง​ตลอด​ทั้งคืน​ และ​เรียก​รวม​ช่างฝีมือ​มาปรับ​แปลง​คันศร​ยักษ์​เป็น​หน้าไม้​ทรงพลัง​ที่​สามารถ​ยิง​ขึ้นไป​ใน​อากาศ​ได้​

เมื่อ​เข้า​วัน​ที่สอง​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็​บุก​โจมตี​อีกครั้ง​ กระจก​ทองเหลือง​ที่​วาง​ไว้​ทั่ว​ยอด​กำแพงเมือง​ได้​หักเห​แสงแดด​จน​ทำให้​กอง​ทหารม้า​และ​อสูร​เหิน​เวหา​ตา​เกือบ​บอด​

ทหาร​อารักขา​จึงฉวยโอกาส​ยิง​ธนู​หน้าไม้​ อสูร​เหิน​เวหา​ร่วง​ไป​สิบสอง​ตัว​ และ​ขับไล่​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ได้​สำเร็จ​ ผลลัพธ์​อัน​น่ายินดี​นี้​ทำให้​ขวัญ​กำลังใจ​ของ​ทหาร​อารักขา​เพิ่มพูน​ขึ้น​มาก​

แต่​สวี่เอ้อร์​หลา​งรู้ดี​ว่า​การเคลื่อนไหว​ครั้งนี้​สามารถ​โจมตี​คู่ต่อสู้​ได้​เพราะ​ความ​คาดไม่ถึง​เท่านั้น​ หลัง​เวลา​สายัณห์​ กระจก​ทองเหลือง​ก็​จะไม่เป็นผล​อีกต่อไป​

ดังนั้น​ ภายหลัง​กองทัพ​ข้าศึก​ถอนกำลัง​ เขา​จึงให้​ทหาร​อารักขา​ด่า​ประจาน​จัว​เฮ่าหรา​น​ที่​ยอด​กำแพงเมือง​ ตั้งใจ​ดูหมิ่น​สมาชิก​ครอบครัว​หญิง​ของ​อีก​ฝ่าย​ หลังจาก​ก่น​ด่า​ไป​หนึ่ง​ชั่ว​ยาม​ จัว​เฮ่าหรา​น​ซึ่งถูก​ยั่วยุ​จึงนำ​กองกำลัง​เข้า​โจมตีเมือง​ ทั้งสองฝ่าย​ต่อสู้​กัน​อีกครั้ง​และ​สูญเสีย​กัน​ทั้งคู่​

จัว​เฮ่าหรา​นก​ลับ​ไป​ด้วย​ความพ่ายแพ้​ หลัง​ตะวัน​รอน​ เนื่องจาก​ทหารราบ​ของ​ทัพ​ข้าศึก​เกิด​การ​สูญเสีย​อย่าง​หนัก​ หลังจาก​ระดม​ทิ้ง​ระเบิด​อย่าง​เร่งรีบ​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​จึงล่าถอย​ไป​

ตก​กลางคืน​ สวี่เอ้อร์​หลา​งก็​เกณฑ์​กองกำลัง​อาสา​มารวมตัว​กว่า​พัน​คน​ และ​สั่งให้​จู๋จวิน​พร้อม​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางนำ​ขบวน​ตี​ค่าย​ สุดท้าย​ก็​เหลือ​รอด​กลับมา​เพียง​สามร้อย​กว่า​คน​เท่านั้น​

จนถึง​ขณะนี้​ กองกำลัง​ทหาร​อัน​เกรียงไกร​ของ​ทั้งสองฝ่าย​ถูก​ทำลาย​เกือบ​สิ้น​

“ข้า​ได้​ส่งคน​ไป​ขอ​กำลัง​เสริม​จาก​เมือง​ชิงโจว​แล้ว​ ต่อไป​ก็​ขึ้นอยู่กับ​ว่า​กำลัง​เสริม​ของ​ใคร​จะมาถึงก่อน​กัน​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งเอ่ย​เสียงต่ำ​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางซึ่งอยู่​ข้าง​กาย​ยิ้ม​ไม่ออกมา​สามวัน​แล้ว​ เขา​โค้ง​หลัง​คำนับ​แล้ว​กระซิบ​ ‘อืม​’ ทันใดนั้น​ก็​รู้สึก​ถึงความผิดปกติ​อีกครั้ง​ จึงขมวดคิ้ว​พลาง​ว่า​

“แม้กองทัพ​ของ​จัว​เฮ่าหรา​น​จะได้รับ​ความเสียหาย​และ​เหลืออยู่​เพียง​ไม่กี่​ร้อย​คน​ ทว่า​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ยังคง​สภาพ​สมบูรณ์​ หาก​การ​โจมตี​ทุกคืน​พวกเรา​ยังคง​ได้​แต่​พ่ายแพ้​ เกรง​ว่า​จะยืนหยัด​อยู่​ไม่ทันการ​มาถึงของ​กำลัง​เสริ​ม…”

ทันใดนั้น​เขา​ก็​เบิก​ตาโต​ ราวกับ​เข้าใจ​อะไร​บางอย่าง​

สวี่เอ้อร์​หลา​งยิ้ม​พลาง​ว่า​ “หาก​กำลัง​เสริม​ของ​พวกเรา​มาก่อน​ เช่นนั้น​แม้จัว​เฮ่าหรา​น​จะยึด​อำเภอ​ซงซาน​ได้​ ก็​จะถูก​บีบ​ให้​ล่าถอย​เนื่องจาก​กำลังคน​ไม่พอ​ อำเภอ​ซงซาน​ก็​จะยังคง​เป็น​ของ​พวกเรา​”

ทว่า​ทหาร​อารักขา​ที่นี่​และ​ชาวบ้าน​ใน​เมือง​ก็​จะกลายเป็น​หมาก​ที่​ถูก​ทอดทิ้ง​…เหมียว​โห​ย่ว​ฟางมุมปาก​กระตุก​ “หาก​ถึงขั้น​นั้น​จริง​ ข้า​จะพา​ท่าน​ถอย​ไป​ก่อน​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งเอ่ย​เสียง​เบา​ว่า​

“เช่นนั้น​ก็​ขายหน้า​นัก​แล้ว​ พี่ใหญ่​ปกป้อง​ด่า​นอ​วี้​หยาง​คนเดียว​ ข้า​กลับ​วิ่งหนี​หาง​จุก​ก้น​”

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางพลัน​ขมวดคิ้ว​ ใน​ใจก็​พูดว่า​เรื่อง​นี้​ไม่ได้​ขึ้นอยู่กับ​ท่าน​ หาก​ถึงเวลา​แล้ว​ท่าน​ไม่ไป​ ข้า​จะตี​ท่าน​จน​สลบ​เสีย​

ต่อมา​จึงได้ยิน​สวี่เอ้อร์​หลา​งเอ่ย​ด้วย​รอยยิ้ม​ขมขื่น​ว่า​

“ข้า​เพียง​ปลดปลง​ครู่หนึ่ง​เท่านั้น​ ข้า​ไม่ดื้อ​หรอก​ แพ้ชนะ​เป็นเรื่อง​ธรรมดา​ใน​การทหาร​ จักรพรรดิ​เกา​จู่ก่อ​จลาจล​ใน​ตอนนั้น​ ก็​มีหลาย​ต่อ​หลายครั้ง​ที่​เขา​พ่ายแพ้​

“หาก​เป็นความ​ดื้อรั้น​จริงๆ​ ก็​ไม่มีต้าฟ่ง​ใน​ตอนนี้​แล้ว​ ผู้​มีวิสัยทัศน์​ย่อม​ทน​ต่อ​ช่วงเวลา​อัปยศ​ชั่วขณะ​ได้​

“แต่​ข้า​ก็​เข้าใจ​พวก​วีรบุรุษ​ใน​หนังสือประวัติศาสตร์​ที่​ยอม​ตาย​ดีกว่า​ล่าถอย​ ทหาร​ที่​ตรากตรำ​ร่วมกับ​ข้า​ล้วน​อยู่​ที่นี่​ แล้ว​ข้า​มีหน้า​ที่ไหน​ไป​เอาตัวรอด​”

ขณะที่​เขา​กำลัง​พูด​ บน​ท้องฟ้า​อัน​ไกลโพ้น​ก็​ปรากฏ​เป็น​นก​ฝูงใหญ่​

ฝูงนก​เข้ามา​ใกล้​อย่าง​รวดเร็ว​ ตาม​ด้วย​เสียงคำราม​ทรงพลัง​อึกทึก​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางและ​สวี่เอ้อร์​หลา​งหน้าถอดสี​ พวก​คนป่วย​คนเจ็บ​ที่นั่ง​พัก​อยู่​ด้านบน​กำแพงเมือง​ก็​สังเกต​ได้​ถึงความเคลื่อนไหว​บน​ท้องฟ้า​ และ​ลุกขึ้น​ด้วย​ความ​หวาดผวา​

พวกเขา​มอง​ไป​ยัง​ฝูงอสูร​บิน​ได้​ดำทะมึน​นั่น​ด้วย​แววตา​สิ้นหวัง​และ​สีหน้า​ซีดเผือด​

“มาอีกแล้ว​ มาอีกแล้ว​…”

“จำนวนมาก​ขนาด​นี้​ นี่​ นี่​จะให้​พวกเรา​ป้องกัน​อย่างไร​”

อารมณ์​สิ้นหวัง​แพร่กระจาย​ไป​ใน​หมู่​ทหาร​อารักขา​

“ใต้เท้า​สวี่​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​มาอีก​กลุ่ม​หนึ่ง​แล้ว​ รักษา​อำเภอ​ซงซาน​ไว้​ไม่ได้​แล้ว​ พวกเรา​ถอย​เถอะ​”

หัวหน้า​กองร้อย​นาย​หนึ่ง​วิ่ง​มาด้วย​ความ​ตื่นตระหนก​

ตอนที่​เอ่ย​คำ​เหล่านี้​ สายตา​ของ​เขา​จ้องเขม็ง​ไป​ที่​สวี่เอ้อร์​หลา​ง ใน​แววตา​ประกอบด้วย​อารมณ์​ซับซ้อน​ ทั้ง​วิงวอน​ สิ้นหวัง​ และ​ความหวัง​ที่จะ​มีชีวิตรอด​

สวี่เอ้อร์​หลา​งพลัน​แววตา​ดำมืด​ ปวดหัว​จน​แทบ​ระเบิด​

ใช่แล้ว​ ในแง่​ของ​กำลัง​เสริม​ จะมีกองทัพ​ประเภท​ใด​ที่​มีความเร็ว​ใน​การ​เดินทาง​เทียบเคียง​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ได้​เล่า​

แล้ว​เขา​ยัง​คิด​ไป​เทียบ​ความเร็ว​กับ​ทัพ​อวิ๋น​โจว​อีก​ เทียบ​ได้​อย่างไร​กัน​

‘ตูม​!’

สวี่เอ้อร์​หลา​งต่อย​กำแพง​อย่าง​แรง​ แล้ว​กัดฟัน​เอ่ย​ว่า​

“หาก​ไม่กำจัด​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ ก็​มิอาจ​ปกป้อง​ชิงโจว​ไว้​ได้​”

เขา​ตระหนัก​ดี​ว่า​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ที่​รวดเร็ว​ประหนึ่ง​ฟ้าร้อง​เหล่านี้​ เป็นหนึ่ง​ใน​ปัจจัยสำคัญ​ที่​ส่งผล​ต่อ​ชัยชนะ​หรือ​ความพ่ายแพ้​ใน​การต่อสู้​ของ​ชิงโจว​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางปลด​คันธนู​บน​หลัง​ลง​ แล้ว​ตั้ง​ลูกธนู​ง้างศร​พร้อมกับ​ดึง​สาย​ ก่อน​เล็ง​ไป​ยัง​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​พลาง​เอ่ย​ว่า​

“พา​ใต้เท้า​สวี่​ไป​ก่อน​ ข้า​จะยิง​ไอ้​เดรัจฉาน​นี่​ลงมา​สัก​สอง​สามตัว​ก่อน​ ถอนทุน​คืน​ได้​ค่อย​ว่า​กัน​”

ในเวลานั้น​เอง​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ก็​เข้ามา​ใน​ระยะ​ยิง​ของ​เขา​พอดี​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางหรี่​รูม่านตา​ ขยาย​กำลัง​สายตา​จนถึง​ขีดสุด​ แล้ว​เล็ง​ไป​ยัง​อสูร​เหิน​เวหา​ตัว​ที่​บิน​นำหน้า​

แล้ว​เขา​ก็​ผงะ​ใน​ทันใด​ เนื่องจาก​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​กลุ่ม​นี้​แตกต่าง​จาก​ฝูงที่​โจมตี​ก่อนหน้า​

อสูร​บิน​ได้​ของ​ทัพ​กบฏ​อวิ๋น​โจว​เป็น​วิหค​ยักษ์​สีแดง​ ทั่ว​ร่างกาย​ปกคลุม​ไป​ด้วย​ขน​สีแดง​เพลิง​งดงาม​

ส่วน​สัตว์ประหลาด​ที่​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​กลุ่ม​นี้​นั่ง​อยู่​นั้น​ ลำตัว​ปกคลุม​ด้วย​เกล็ด​สีดำ​ คอ​ยาว​ รูปร่าง​เรียว​ยาว​เหมือน​กิ้งก่า​ สิ่งที่​กระพือ​อยู่​ก็​มิใช่ปีก​ขนนก​ หาก​เป็น​ปีก​ที่​มาจาก​พังผืด​

นอกจากนี้​ นักรบ​ที่​ขี่​อสูร​บิน​ได้​นี้​ก็​มิใช่ทหาร​สวม​ชุด​เกราะ​ แต่​เป็น​กลุ่มคน​ที่​สวม​ชุด​แปลก​ๆ จนถึง​สวม​ชุด​หนัง​สัตว์​

บน​หลัง​ของ​อสูร​บิน​ได้ตัว​ที่​บิน​นำ​ มีชาย​ผิวคล้ำ​ผม​หยักศก​และ​สวม​ชุด​สีเขียว​อม​ฟ้านั่ง​อยู่​ เขา​โบกมือ​ให้​ฝูงชน​ที่อยู่​ด้านบน​กำแพงเมือง​ด้วย​รอยยิ้ม​ราวกับ​เป็น​การทักทาย​ด้วย​ความอบอุ่น​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางส่งเสียง​ ‘เอ๊ะ​’ แล้ว​คลาย​สาย​ธนู​

“ทำไม​รึ​”

สายตา​ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​งไม่ดี​เท่า​จอม​ยุทธ์​ เมื่อ​เห็น​ดังนั้น​เขา​จึงขมวดคิ้ว​สอบถาม​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางตอบกลับ​ด้วย​ใบหน้า​สับสน​

“คน​กลุ่ม​นี้​ค่อนข้าง​แปลก​พิกล​”

………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท