บทที่ 691 กำลังเสริม (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สาเหตุ​ที่​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางวาง​คันธนู​ลง​และ​สังเกต​พบ​ว่า​คน​เหล่านี้​มีปัญหา​ มิได้​อาศัย​สติปัญญา​ แต่​เพราะ​ไร้​ซึ่งการ​ตอบสนอง​จาก​ลางสังหรณ์​ใน​สถานการณ์​อันตราย​ของ​ชาว​ยุทธ์​

นั่น​บ่งชัด​ว่า​กองทัพ​อสูร​เหิน​ฟ้ากลุ่ม​นี้​ไม่มีเจตนา​เป็น​ปรปักษ์​

“ไม่ใช่รึ​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งยก​มือขึ้น​ยับยั้ง​หัวหน้า​กองร้อย​ที่​กำลังจะ​บังคับ​พา​ตัว​เขา​จากไป​ แล้ว​หันไป​มอง​เหมียว​โห​ย่ว​ฟาง

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางเอ่ยถึง​ลักษณะพิเศษ​ของ​คน​กลุ่ม​นั้น​พร้อมทั้ง​อธิบาย​ว่า​

“พวกเขา​มิใช่ศัตรู​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งได้ยิน​ดังนั้น​ก็​ตั้ง​ข้อ​วินิจฉัย​ทันที​

“คน​ของ​ซินเจียง​ตอน​ใต้​หรือ​”

สีผิว​ดำคล้ำ​ ผม​หยักศก​ เครื่องแต่งกาย​สีเขียว​อม​ฟ้าผสม​กับ​ผ้า​หนัง​สัตว์​

ไม่ว่า​จะจาก​บันทึก​ใน​ตำรา​หรือ​การ​เห็นด้วย​ตา​ตัวเอง​ (หมายถึง​ลี่​น่า​) สวี่เอ้อร์​หลา​งก็​สามารถ​สรุป​ได้​ว่า​ผู้มาเยือน​เป็น​คน​ซินเจียง​ตอน​ใต้​

‘คน​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ หรือว่า​…’ เหมียว​โห​ย่ว​ฟางตบ​ศีรษะ​แล้ว​เอ่ย​ด้วย​ความดีใจ​เป็น​ที่สุด​ว่า​

“ข้า​เข้าใจ​แล้ว​!”

เขา​ทิ้ง​คันธนู​โดย​ไม่ได้​อธิบาย​แล้ว​ยืน​บน​เชิงเทิน​ ก่อน​ยก​แขน​โบกมือ​ทั้งคู่​ไป​ยัง​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ซึ่งใกล้​เข้ามา​ทุกที​ด้วย​ความตื่นเต้น​

เมื่อ​เห็น​การ​ตอบสนอง​ พล​ทะยาน​ซึ่งเป็น​ผู้นำ​ก็​ควบคุม​อสูร​บิน​ได้​ออกจาก​ขบวน​แล้ว​ร่อน​ถลา​ลง​บน​ยอด​กำแพงเมือง​ ส่วน​พล​ทะยาน​ที่​เหลือ​ก็​บินวน​เฝ้าระวัง​โดย​รักษา​ระยะห่าง​อยู่​เหนือ​ยอด​กำแพงเมือง​

‘ฟิ้ว​ ฟิ้ว…’​

ลม​โหม​จาก​การ​กระพือ​ของ​ปีก​พังผืด​พัดพา​กรวด​หิน​ดินทราย​ออก​ไป​ อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​ลง​จอด​บน​ถนน​ก่อน​ค่อยๆ​ เก็บ​ปีก​พังผืด​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางโผ​เข้าไป​ถามด้วย​น้ำเสียง​เร่งร้อน​ว่า​

“พวก​ท่าน​คือ​คน​เผ่าพันธุ์​กู่​ใช่ไหม​”

ชาย​วัยกลางคน​ซึ่งอยู่​บน​หลัง​ของ​อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​เอ่ยปาก​ว่า​

“ข้า​มีนาม​ว่า​ถ่าโม่ เป็น​ผู้บัญชาการ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​ฝ่าย​ซิน​กู่​ ได้รับ​คำสั่ง​จาก​ฉุน​เยียน​ให้​มาสนับสนุน​ชิงโจว​

“ฝ่าย​ซิน​กู่​บรรลุ​ข้อตกลง​กับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​แล้ว​”

ภาษาราชการ​แห่ง​ที่ราบลุ่ม​ภาค​กลาง​ไม่เข้าเกณฑ์​มาตรฐาน​เป็น​อย่างยิ่ง​ เหมียว​โห​ย่ว​ฟางฟังอยู่​สามรอบ​จึงจะเข้าใจ​

‘เป็น​เขา​เชิญมาจริงๆ​…’ เหมียว​โห​ย่ว​ฟางถอนหายใจ​ด้วย​ความ​โล่งอก​ เขา​และ​สวี่​ชีอัน​แยกกัน​ระหว่างทาง​ที่จะ​ไป​เผ่าพันธุ์​กู่​ กองทัพ​เผ่าพันธุ์​กู่​ปรากฏตัว​เวลานี้​และ​ไม่มีท่าที​เป็น​ศัตรู​กับ​ทหาร​อารักขา​ของ​ต้าฟ่ง​ด้วย​

ไม่ว่า​จะคิด​กี่​ตลบ​ก็​คิดได้​เพียง​ว่า​คน​เหล่านี้​คือ​ผู้​ช่วยชีวิต​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​โยกย้าย​มา

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางหันไป​พยักหน้า​ให้​สวี่เอ้อร์​หลา​ง แสดงถึง​ความปลอดภัย​เชื่อถือได้​ จากนั้น​จึงโบกมือ​อีกครั้ง​

สวี่เอ้อร์​หลา​งมายัง​ข้าง​กาย​ของ​เหมียว​โห​ย่ว​ฟาง ภายใต้​การ​คุ้มกัน​อย่าง​ระแวดระวัง​ของ​หัวหน้า​กองร้อย​

“ข้า​เคย​บอก​ท่าน​แล้ว​ ข้า​กับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​แยกกัน​ระหว่างทาง​ไป​เผ่าพันธุ์​กู่​” เหมียว​โห​ย่ว​ฟางอธิบาย​สั้น​ๆ แล้ว​เอ่ย​อย่าง​ฮึกเหิม​ว่า​

“พวกเขา​คือ​กำลัง​เสริม​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​หา​มา”

กำลัง​เสริม​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​หา​มา…หัวหน้า​กองร้อย​ตะลึงงัน​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางตะโกน​เสียงก้อง​ เมื่อ​เข้าหู​ทหาร​อารักขา​ที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​ พวกเขา​ซึ่งเต็มไปด้วย​ความ​เป็น​ปรปักษ์​และ​ระแวดระวัง​อยู่​แต่เดิม​จึงพา​กัน​ตกตะลึง​

สวี่เอ้อร์​หลา​งพินิจ​ชาว​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ที่อยู่​บน​หลัง​อสูร​ยักษ์​ ผิว​ของ​เขา​สีดำคล้ำ​ ริมฝีปาก​ค่อนข้าง​หนา​ รูปร่าง​ผอม​แต่​ไม่ซูบ​เซียว​ ตรงกันข้าม​ กล้ามเนื้อ​กลับ​ตึง​แน่น​แทบจะ​มีแรง​ระเบิด​

สวี่เอ้อร์​หลา​งแววตา​เป็นประกาย​วาบ​ เขา​เอ่ย​ถามอย่าง​สุขุม​ว่า​

“พี่ใหญ่​ของ​ข้า​ให้​ท่าน​มาหรือ​”

“ท่าน​ผู้​นี้​คือ​ลูกพี่ลูกน้อง​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่”​ เหมียว​โห​ย่ว​ฟางเอ่ย​แทรก​

เมื่อ​ถ่าโม่ได้ยิน​ แววตา​ที่​มีต่อ​สวี่เอ้อร์​หลา​งก็​เปลี่ยนไป​เป็น​ความเคารพ​เจือ​ด้วย​ความ​ประจบ​เอาใจ​

“ใช่ขอรับ​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งพยักหน้า​ แล้ว​เอ่ย​อย่าง​เป็นกันเอง​ว่า​

“พวก​ท่าน​หา​ที่นี่​เจอ​ได้​อย่างไร​”

ใน​สถานการณ์​ปกติ​ พี่ใหญ่​จะต้อง​ให้​กำลัง​เสริม​ของ​เผ่าพันธุ์​กู่​ไป​เมือง​ชิงโจว​ และ​ติดต่อ​กับ​เจ้าหน้าที่​ระดับสูง​ของ​ชิงโจว​ก่อน​ ไม่มีเหตุผล​ที่จะ​ตรง​มาอำเภอ​ซงซาน​เป็นอันขาด​

เขา​แสร้งทำ​สอบถาม​ไป​เรื่อย​ ทว่า​ความจริง​แล้ว​กำลัง​หยั่งเชิง​ปฏิกิริยา​ตอบสนอง​ของ​ถ่าโม่ซึ่งเรียก​ตัวเอง​ว่า​เป็น​ฝ่าย​ซิน​กู่​ผู้​นี้​

“ฆ้อง​เงิน​สวี่​สั่งให้​พวกเรา​มาขอรับ​ เขา​ยัง​ให้​แผนที่​อำเภอ​ซงซาน​มาชุด​หนึ่ง​ด้วย​” ถ่าโม่เอ่ย​พลาง​หยิบ​แผนที่​ชุด​หนึ่ง​ออกจาก​อก​ “แม้ข้า​จะเคย​มาต้าฟ่ง​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ แต่​ระหว่างทาง​ก็​ยัง​หลง​ เดิม​ควรจะ​มาถึงตั้งแต่​เมื่อคืน​แล้ว​”

เขา​เหลือบมอง​ธงต้าฟ่ง​ที่​ยอด​กำแพงเมือง​และ​เอ่ย​ด้วย​ความ​ดีอกดีใจ​

“โชคดี​ที่​ไม่สาย​เกินไป​”

‘พี่ใหญ่​ให้​พวกเขา​มาอำเภอ​ซงซาน​…รอด​แล้ว​ อำเภอ​ซงซาน​ได้รับ​ความช่วยเหลือ​แล้ว​ ชาวบ้าน​รอด​แล้ว​…’ สวี่เอ้อร์​หลา​งหลับตา​ ร่างกาย​สั่นเทา​เล็กน้อย​

เขา​ออกแรง​หายใจเข้า​ลึก​ๆ สะกดอารมณ์​ทั้งหมด​ไว้​ยัง​ก้นบึ้ง​หัวใจ​ ก่อน​พยักหน้า​เบา​ๆ พลาง​ว่า​

“พี่ใหญ่​รู้​ได้​อย่างไร​ว่า​ข้า​อยู่​ที่​อำเภอ​ซงซาน​”

นี่​สอดคล้อง​กับ​ลีลา​การทำงาน​ของ​พี่ใหญ่​จริงๆ​

เพียงแต่​ไม่รู้​พี่ใหญ่​รู้​ได้​อย่างไร​ว่า​เขา​ประจำการ​อยู่​ที่​อำเภอ​ซงซาน​

ถ่าโม่ส่าย​หัว​ แสดงออก​ว่า​ไม่รู้​

เขา​ถามต่อว่า​

“เช่นนั้น​พวกเรา​ลง​จอด​ได้​แล้ว​หรือยัง​”

เมื่อ​เห็น​สวี่​ซินเหนียน​พยักหน้า​ เขา​จึงเงยหน้า​แล้ว​ผิวปาก​อย่าง​แรง​

กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ที่​บินวน​อยู่​บน​ท้องฟ้า​ได้รับ​คำสั่ง​ก็​ลด​ระดับความสูง​ลง​อย่าง​เป็นระบบ​และ​ร่อน​ลง​จอด​ที่​ด้าน​บนสุด​ของ​กำแพงเมือง​อย่าง​มั่นคง​ แต่​เนื่องจาก​มีจำนวน​มากเกินไป​ อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​ส่วนใหญ่​จึงได้​แต่​ลง​จอด​ที่​ด้านล่าง​ของ​กำแพงเมือง​

ทหาร​นาย​หนึ่ง​ซึ่งอยู่​ห่าง​ออก​ไป​ขยับ​เข้ามา​ใกล้​ด้วย​ความระแวดระวัง​พร้อม​อาวุธ​ใน​มือ​ แล้ว​เอ่ย​ถามว่า​

“ใต้เท้า​สวี่​ ข้า​ได้ยิน​แม่ทัพ​เหมียว​บอ​กว่า​ พวกเขา​เป็นกำลัง​เสริม​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​เชิญมาหรือ​ขอรับ​

“พี่​ พวก​พี่น้อง​ต่าง​อยาก​รู้มาก​ว่า​จริง​หรือไม่​”

สวี่​ซินเหนียน​ปราย​สายตา​ผ่าน​เขา​ จึงเห็น​นายทหาร​สอง​สามคน​ซึ่งได้รับบาดเจ็บ​และ​รวมตัวกัน​อยู่​ใน​ระยะไกล​มอง​มาที่​ตน​ด้วย​ความ​กระตือรือร้น​

สวี่​ซินเหนียน​ถอน​สาย​ตากลับ​แล้ว​มอง​นายทหาร​หนุ่ม​ก่อน​ออกแรง​พยักหน้า​

“ใช่แล้ว​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​ฝ่าย​ซิน​กู่​เหล่านี้​เป็นกำลัง​เสริม​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​เชิญมา”

ใบหน้า​นายทหาร​หนุ่ม​พลัน​สั่นเทา​ ร่างกาย​สั่นสะท้าน​ด้วย​ความตื่นเต้น​ นัยน์​ตากลับ​มีน้ำตา​คลอหน่วย​ไหลริน​ลงมา​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางกระโดด​ขึ้น​เชิงเทิน​ กวาดสายตา​ผ่าน​อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​ที่​ยอด​กำแพงเมือง​จาก​ซ้าย​ไป​ขวา​ จากนั้น​จึงมอง​ต่ำ​ไป​ยัง​อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​เบื้องล่าง​ซึ่งมีมากกว่า​

ใน​แววตา​ของ​เขา​มีประกาย​ระยิบระยับ​

เขา​พลัน​สูด​หายใจเข้า​ลึก​ ข่ม​กลั้น​ความ​เปรี้ยว​ฝาด​ที่​จมูก​แล้ว​คำราม​ลั่น​

“พี่น้อง​ทั้งหลาย​ กำลัง​เสริม​ของ​พวกเรา​มาถึงแล้ว​ ฆ้อง​เงิน​สวี่​เชิญกำลัง​เสริม​มาให้​พวกเรา​ พวกเรา​ก็​มีกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​แล้ว​เช่นกัน​”

น้ำ​เสียงสะท้อน​ก้อง​อย่าง​ต่อเนื่อง​

อารมณ์​ฮึกเหิม​พลัน​ระเบิด​ขึ้น​ใน​หัวใจ​ของ​ทหาร​อารักขา​และ​ทหาร​อาสา​ ตามมา​ด้วย​คลื่นเสียง​อึกทึก​

บางคน​พึมพำ​ทั้ง​น้ำตา​อาบ​แก้ม​ว่า​ “มีทางรอด​แล้ว​”

บางคน​หน้า​แดงก่ำ​พร้อม​คำราม​เสียงดัง​ด้วย​ความ​ฮึกเหิม​

บางคน​เต้นรำ​โห่ร้อง​ไม่หยุด​ด้วย​ความดีใจ​

หลัง​ทหาร​อาสา​ใน​เมือง​รับทราบ​สถานการณ์​ก็​พา​กัน​วิ่ง​ไป​ตาม​ถนน​ตรอก​ซอกซอย​เพื่อ​เล่า​สู่กัน​ฟังด้วย​ความ​ฮึกเหิม​

และ​บอก​ชาวบ้าน​ใน​เมือง​ว่า​กำลัง​เสริม​มาแล้ว​ เป็นกำลัง​เสริม​ที่​ฆ้อง​เงิน​สวี่​พา​มา

ชั่ว​ขณะนั้น​ เสียง​โห่ร้อง​ด้วยความยินดี​ดังก้อง​ไป​ทุก​อณู​ของ​อำเภอ​เล็ก​ๆ

สวี่​ซินเหนียน​สูด​หายใจ​ลึก​ ระงับอารมณ์​ตื่นเต้น​แล้ว​เอ่ย​ว่า​

“ท่าน​ถ่าโม่ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ฝ่าย​ซิน​กู่​เดินทาง​มาไกล​ เดิม​ควร​จัดหา​ที่พัก​ให้​พวก​ท่าน​ ทว่า​ความ​รวดเร็ว​เด็ดขาด​นั้น​สำคัญ​ยิ่ง​ โอกาส​ใน​สงคราม​อาจ​หายวับ​ใน​พริบตา​”

ถ่าโม่ตบ​อก​

“ใต้เท้า​สวี่​มีสิ่งใด​จะสั่งการ​”

ขณะที่​จัว​เฮ่าหรา​น​ได้รับ​รายงาน​จาก​หน่วย​สอดแนม​ เขา​กำลัง​เล่น​สนุก​อยู่​กับ​โสเภณีใน​กระโจม​ทหาร​ สตรี​เหล่านี้​ส่วนหนึ่ง​ถูกจับ​ระหว่าง​เดินทัพ​ บางส่วน​เป็น​สาวงาม​ที่​ถูก​ฉุด​มาจาก​เขต​ต่างๆ​ เมื่อ​ครั้ง​แนว​ป้องกัน​แรก​ของ​ชิงโจว​ถูก​ยึดครอง​

แม้จะเป็น​แม่ทัพ​ใหญ่​ชีก่วง​ป๋อ​ก็​มิอาจ​แทรกแซง​เรื่อง​การ​ฉุด​ผู้หญิง​มากับ​ค่าย​ได้​

เนื่องจาก​เดิมที​โสเภณีใน​กองทัพ​เอง​ก็​เป็น​ส่วนสำคัญ​ที่​ขาดไม่ได้​ใน​กองทัพ​ทหาร​

สำหรับ​ผู้กุมอำนาจ​แล้ว​ โสเภณีใน​ค่ายทหาร​มีความจำเป็น​ทั้ง​ด้าน​การ​เพิ่ม​ขวัญ​กำลังใจ​และ​แก้ปัญหา​ความ​กลัดกลุ้ม​ทุกข์ใจ​ของ​เหล่า​ทหาร​ใน​สนามรบ​

ซึ่งไม่เป็นผลดี​ต่อ​การศึก​และ​ส่งผลกระทบ​เด่นชัด​เป็นพิเศษ​ด้วย​

กองทัพ​ขี่​อสูร​บิน​ได้​หลาย​ร้อย​รึ​?!

ทันทีที่​ได้ยิน​ข่าว​ ปฏิกิริยา​แรก​ของ​จัว​เฮ่าหรา​น​คือ​การ​ตรวจสอบ​ข่าว​ลวง​เกี่ยวกับ​สถานการณ์​ทางการทหาร​

ชิงโจว​มีกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ขนาด​นี้​ตั้งแต่​เมื่อไร​กัน​

นิทานปรัมปรา​ชัด​ๆ

ทันใดนั้น​เขา​ก็​ดึง​กางเกง​ขึ้น​และ​วิ่ง​ออกจาก​ค่ายทหาร​ไป​พร้อมกับ​อาวุธ​ใน​มือ​ ก่อน​เหิน​ขึ้น​กลางอากาศ​แล้ว​ทอดสายตา​ไป​ยัง​กำแพงเมือง​

หลังจาก​เห็นด้วย​ตา​ตัวเอง​ เขา​จึงจำต้อง​ยอมรับ​ข่าว​ที่​ ‘ไร้สาระ​’ นี้​

ด้าน​บนสุด​ของ​กำแพงเมือง​เต็มไปด้วย​อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​ยืน​เก็บ​ปีก​พังผืด​อยู่​

“ชิงโจว​มีกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ขนาด​นี้​ตั้งแต่​เมื่อใด​กัน​”

จัว​เฮ่าหรา​น​กำหมัด​ทั้งสอง​ข้าง​แน่น​ กล้ามเนื้อ​ใบหน้า​กระตุก​

เมือง​กำลังจะ​แตก​อยู่​รอมร่อ​ จู่ๆ ทหาร​อารักขา​ก็​เชิญกองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​จำนวน​หลาย​ร้อย​มาเป็นกำลัง​เสริม​ จัว​เฮ่าหรา​น​โกรธ​จน​อก​แทบ​ระเบิด​ เขา​ลงมา​อย่าง​รวดเร็ว​แล้ว​กลับ​ไป​ยัง​ค่ายทหาร​ คำสั่ง​แรก​ที่​สั่งการ​คือ​การ​ล่าถอย​

ใน​ค่าย​ทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​เขา​มีกอง​ทหารม้า​เพียง​สามสิบ​กว่า​นาย​ ไม่มีทาง​ต่อต้าน​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​ทหาร​อารักขา​ได้​เลย​

ไม่ว่า​จะยอมรับ​หรือไม่​ สถานการณ์​ก็​กลับ​พลิกผัน​แล้ว​ ยาม​นี้​คน​ที่​ควร​หลบหนี​คือ​พวกเขา​

ไม่มีทาง​อื่น​นอกจาก​ล่าถอย​

ค่ายทหาร​โกลาหล​ใน​ฉับพลัน​ ทหาร​ที่​เหลือ​อีก​สอง​สามร้อย​นาย​ทิ้ง​ทุกอย่าง​ใน​มือ​ ละทิ้ง​เสบียง​ทั้งหมด​ แล้ว​ขี่​ม้าเร็ว​ห้อ​ตะบึง​จน​ฝุ่นตลบ​ออกจาก​ค่ายทหาร​ ภายใต้​การนำ​ของ​จัว​เฮ่าหรา​น​

กอง​ทหารม้า​สามสิบ​กว่า​นาย​ของ​ทัพ​จูเชวี่ย​ทะยาน​ล่าถอย​ด้วย​ความ​รวดเร็ว​

แต่​ที่​เหนือ​ความคาดหมาย​ของ​จัว​เฮ่าหรา​น​ก็​คือ​ ขณะที่​ด้าน​ของ​ตน​เพิ่งจะ​ล่าถอย​ เสียงคำราม​กึกก้อง​ก็​ดัง​มาจาก​ด้านหลัง​

เหล่า​ทหารม้า​หันกลับ​ไป​มอง​ด้วย​ความ​ตระหนก​ บน​ท้องฟ้า​ด้านหลัง​ กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ดำทะมึน​ถาโถมกัน​เข้ามา​ประหนึ่ง​เมฆดำมืด​

อสูร​ยักษ์​เกล็ด​ดำ​กระพือปีก​พังผืด​ไล่ตาม​กอง​ทหารม้า​อย่าง​รวดเร็ว​ เหล่า​ปรมาจารย์​ซิน​กู่​ซึ่งอยู่​บน​หลัง​ของ​มัน​คำราม​เสียง​ยาว​

ชั่วพริบตา​ ม้าศึก​ซึ่งได้รับ​การฝึกฝน​มาอย่าง​ดี​สูญเสีย​การควบคุม​โดยสิ้นเชิง​และ​คุกเข่า​ลง​บน​พื้น​ขณะ​กำลัง​วิ่ง​ควบ​ ทั้งคน​ทั้ง​ม้ากลิ้ง​ตกลง​พร้อมกัน​ เป็น​ภาพ​ที่​โกลาหล​ยิ่งนัก​

เหล่า​ปรมาจารย์​ซิน​กู่​บ้าง​ก็​ขว้าง​ลูกกระสุน​ปืนใหญ่​และ​ถังเชื้อเพลิง​ บ้าง​ก็​ดึง​สาย​ธนู​ระดม​ยิง​ใส่กองทัพ​ที่​พ่ายแพ้​เบื้องล่าง​

“สวี่​ซินเหนียน!”​

จัว​เฮ่าหรา​น​เงยหน้า​มอง​ฟ้าพลาง​แผดเสียง​

ทหาร​กล้า​ทั้ง​หก​พัน​นาย​บาดเจ็บ​ล้มตาย​อยู่​ที่​อำเภอ​ซงซาน​ ความ​ชาญฉลาด​ชั่ว​ครึ่ง​ชีวิต​ของ​เขา​ถูก​ทำลาย​ลง​ใน​วันนั้น​เอง​

ครึ่ง​ชั่ว​ยาม​ให้หลัง​

ภายใน​เมือง​เวิ่ง​พังทลาย​ลง​ครึ่งหนึ่ง​ สวี่​ซินเหนียน​นั่ง​อยู่​หลัง​โต๊ะ​ยาว​พร้อม​มอง​ไป​รอบ​ฝูงชน​แล้ว​ยิ้ม​พลาง​ว่า​

“กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​กวาดล้าง​กอง​ทหารม้า​ข้าศึก​ไป​สามร้อย​นาย​และ​จับ​เชลย​ไป​ยี่สิบ​แปด​คน​ กวาดล้าง​ทหารม้า​ของ​ทัพ​จูเชวี่ย​ไป​ยี่สิบ​ จับเป็น​เชลย​สามคน​ ส่วน​อีก​แปด​หนี​ไป​ได้​

“จัว​เฮ่าหรา​น​และ​รอง​แม่ทัพ​ของ​เขา​หนี​ไป​อย่าง​ไร้​ร่องรอย​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งไม่คิดไม่ฝัน​เลย​ว่า​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​จะจับ​เชลย​ที่​เป็น​จอม​ยุทธ์​ขั้น​สี่ได้​ เพราะ​มัน​ยาก​เกินไป​ ทว่า​ผลลัพธ์​ที่​ได้​ใน​ตอนนี้​นั้น​น่ายินดี​ยิ่งนัก​

ทหาร​อารักขา​ใน​สนาม​เหลือ​เพียง​หัวหน้า​กองร้อย​สอง​นาย​ จู๋จวิน​ เหมียว​โห​ย่ว​ฟาง รวมถึง​ถ่าโม่ผู้​เป็น​หัวหน้า​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ฝ่าย​ซิน​กู่​

เมื่อ​ได้ยิน​ ‘รายงาน​’ ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​งแล้ว​ สีหน้า​ของ​ทุกคน​จึงเต็มไปด้วย​ความดีใจ​ ปัด​ความ​แพ้​พ่าย​ออก​ไป​สิ้น​

“ข้า​ผู้เฒ่า​คิดไม่ถึง​จริงๆ​ ว่า​ ฆ้อง​เงิน​สวี่​ซึ่งตัว​อยู่​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ จะสามารถ​วางแผน​เผด็จศึก​และ​คว้า​ชัยชนะ​ชี้ขาด​โดย​อยู่​ห่างไกล​เป็น​พัน​ลี้​ได้​”

“ไร้สาระ​ ท่าน​ไม่คิด​บ้าง​เล่า​ว่า​ฆ้อง​เงิน​สวี่​เป็น​ถึงปรมาจารย์​ด้าน​ตำรา​พิชัยสงคราม​ของ​พวกเรา​เชียว​นะ​”

หัวหน้า​กองร้อย​สอง​นาย​ต่อ​ความ​กัน​ไปมา​ด้วย​ความ​ฮึกเหิม​ ใน​คำพูด​นั้น​ สวี่​ชีอัน​ได้รับ​การ​เคารพ​ยกย่อง​เป็น​เทพ​ไป​แล้ว​

กระทั่ง​จู๋จวิน​ผู้​เคร่งขรึม​ยัง​เผย​รอยยิ้ม​บน​ใบหน้า​

สวี่เอ้อร์​หลา​งมอง​ถ่าโม่แล้ว​ยิ้ม​พลาง​ว่า​

“กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ของ​ฝ่าย​ซิน​กู่​จัดการ​เรื่อง​จวนตัว​ของ​ต้าฟ่ง​แล้ว​ อีก​ประเดี๋ยว​ข้า​จะเขียน​สาส์น​ฉบับ​หนึ่ง​ให้​ท่าน​นำ​มัน​ไป​ที่​เมือง​ชิงโจว​ เรื่อง​พันธมิตร​ มอบให้​สมุหเทศาภิบาล​หยาง​ไป​จัดการ​เป็นอัน​ใช้ได้​”

พันธมิตร​ระหว่าง​เผ่าพันธุ์​กู่​และ​ต้าฟ่ง​ ปัจจุบัน​ยังคง​เป็น​ ‘สัญญาปากเปล่า​’ ต้อง​ให้​หยาง​กง​ส่งหนังสือ​ถึงราชสำนัก​และ​ได้รับ​เอกสาร​ตอบ​ตกลง​จาก​ราชสำนัก​อย่าง​เป็นทางการ​ก่อน​จึงจะเริ่ม​มีผล​

จาก​มุมมอง​ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​ง นี่​เป็น​ความต้องการ​ของ​ราชสำนัก​อยู่แล้ว​ แต่​กระบวนการ​ที่​ยัง​ต้อง​ทำ​ก็​ควร​กระทำ​

“หาก​สมุหเทศาภิบาล​หยาง​รู้​ว่า​ฆ้อง​เงิน​สวี่​นำ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ห้า​ร้อย​ตัว​กลับมา​ชิงโจว​ จะต้อง​ดีใจ​แทบ​คลั่ง​แน่​”

รอย​ยิ้มมุมปาก​ของ​จู๋จวิน​ล้ำลึก​ขึ้น​เรื่อยๆ​

ถ่าโม่ราวกับ​จะนึก​บางอย่าง​ได้​จึงเอ่ย​ว่า​

“ลืม​บอก​ไป​ นอกจาก​ฝ่าย​ซิน​กู่​ของ​พวกเรา​แล้ว​ ยังมี​พี่น้อง​ลี่​กู่​ ซือ​กู่​ และ​อั้น​กู่​ด้วย​”

ทันใดนั้น​ เสียง​พูดคุย​หัวเราะ​ใน​เมือง​เวิ่ง​ก็​เงียบ​ลง​

สวี่​ซินเหนียน​หายใจ​กระชั้น​ ก่อน​ยัน​โต๊ะ​ลุกขึ้น​ยืน​

“ยังมี​อีก​รึ​ จำนวน​เท่าไร​ แล้ว​พวกเขา​อยู่​ที่ไหน​”

ถ่าโม่ครุ่นคิด​ครู่หนึ่ง​จึงเอ่ย​ว่า​

“เมื่อ​รวม​สามฝ่าย​เข้าด้วยกัน​แล้ว​ น่าจะ​มีประมาณ​หนึ่ง​พัน​กว่า​คน​กระมัง​

“ส่วน​จะอยู่​ที่ไหน​นั้น​ข้า​ไม่รู้​ หลังจาก​พวกเรา​ออกจาก​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ก็​แยกกัน​ เพราะ​อย่างไร​เสีย​พล​ทะยาน​ก็​บรรทุก​คน​มาก​ขนาด​นั้น​ไม่ไหว​”

เผ่าพันธุ์​กู่​สามฝ่าย​รวมกัน​ยังมี​อีก​หนึ่ง​พัน​กว่า​คน​…สวี่​ซินเหนียน​และ​คนอื่นๆ​ ตื่นเต้น​ขึ้น​มา

ผู้ใด​ก็​ตามที่​ผ่าน​ประสบการณ์​ยุทธการ​ด่าน​ซาน​ไห่​ก็​น่าจะ​เข้าใจ​ว่า​นักรบ​ของ​เผ่าพันธุ์​กู่​ยาก​จะต่อกร​เพียงใด​

แม้เผ่าพันธุ์​กู่​จะมีประชากร​ไม่มาก​ มิอาจ​เทียบ​กับ​กองทัพ​ใหญ่​ที่​มีหลาย​แสน​ของ​ต้าฟ่ง​ ทว่า​อาศัย​ไสยศาสตร์​กู่​ที่​แปลกประหลาด​และ​ยาก​จะต่อกร​ ทำให้​กองทัพ​ต้าฟ่ง​เคย​ได้รับความเดือดร้อน​มากมาย​ใน​ยุทธการ​ด่าน​ซาน​ไห่​

หาก​สามารถ​ใช้ประโยชน์​จาก​พวกเขา​ได้​ เผ่าพันธุ์​กู่​พัน​กว่า​คน​นี้​รวม​กับ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​อีก​ห้า​ร้อย​ จะต้อง​เปล่งประกาย​ใน​สนามรบ​ได้​อย่าง​แน่นอน​

ใบหน้า​ของ​สวี่​ซินเหนียน​แดงก่ำ​ด้วย​ความตื่นเต้น​ นิ้วมือ​ที่จับ​พู่กัน​สั่นเทา​เล็กน้อย​

“ข้า​จะเขียน​สาส์น​ถึงสมุหเทศาภิบาล​หยาง​เดี๋ยวนี้​”

จากนั้น​จึงหันมา​เอ่ย​กับ​รอง​แม่ทัพ​ว่า​ “เจ้าตาม​ถ่าโม่กลับ​ไป​เมือง​ชิงโจว​ด้วย​”

ในไม่ช้า​ ถ่าโม่ซึ่งมีธงต้าฟ่ง​อยู่​บน​หลัง​ก็​ออกจาก​อำเภอ​ซงซาน​ เขา​ขี่​อสูร​บิน​เกล็ด​ดำ​โดยลำพัง​ บิน​ตรง​ไป​ยัง​เมือง​ชิงโจว​

สอง​วัน​ต่อมา​ ภายใน​ห้องโถง​ใหญ่​ของ​ที่ทำการ​สมุหเทศาภิบาล​

หยาง​กง​ก้ม​มอง​แผนที่​ซึ่งกาง​อยู่​บน​โต๊ะ​ พลาง​จ้องเขม็ง​ไป​ยัง​อักษร​ ‘อำเภอ​ซงซาน​’ แล้ว​เอ่ย​เสียง​เข้ม​ว่า​

“พวกเรา​ต้อง​เตรียมใจ​ให้​พร้อม​สำหรับ​การ​สูญเสีย​อำเภอ​ซงซาน​”

ห​ลี่​มู่ไป๋​รวมถึง​เหล่า​นายทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​รู้สึก​หนักใจ​

แม้หน่วย​สอดแนม​ที่​ส่งออก​ไป​จะยัง​ไม่มีสาส์น​ตอบ​กลับมา​ ทว่า​เมื่อ​เปรียบเทียบ​การ​วาง​กำลัง​ทหาร​ใน​อำเภอ​ซงซาน​รวมทั้ง​การ​จัด​ทัพ​ของ​ศัตรู​แล้ว​ ช่างคาดเดา​ผลลัพธ์​ได้​ง่ายดาย​นัก​

ห​ลี่​มู่ไป๋​ถอนหายใจ​

“กำลัง​เสริม​พร้อม​เดินทาง​แล้ว​ ขอ​เพียง​หน่วย​สอดแนม​ส่งข้อมูล​โดยละเอียด​กลับมา​ ก็​จะส่งกำลัง​เสริม​ไป​อำเภอ​ซงซาน​และ​ยึด​เมือง​คืน​มาได้​ทันที​”

ตาม​สภาพการณ์​โดยรวม​ของ​แนว​ป้องกัน​ที่สอง​ ทุก​คนวางแผน​ที่จะ​รักษา​อำเภอ​ซงซาน​ไว้​เป็น​อันดับ​แรก​ เหตุผล​นั้น​ง่าย​มาก​ เพราะ​เมื่อ​ตง​ห​ลิง​กลายเป็น​จุดยุทธศาสตร์​สำคัญ​ ก็​ไม่ต้อง​กังวล​ว่า​จะรุก​หรือ​ถอย​แล้ว​

หว่าน​จวิ้น​ถูก​กองกำลัง​หลัก​ของ​ทัพ​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ปิดล้อม​ ทั้ง​ยังมี​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​บิน​วนเวียน​อยู่​ด้านบน​ หาก​ต้องการ​คลี่คลาย​สถานการณ์​ยากลำบาก​ของ​หว่าน​จวิ้น​ ไม่รู้​จะต้อง​เพิ่ม​กำลัง​ทหาร​จำนวน​เท่าใด​ และ​ยัง​ไม่แน่​ด้วยว่า​จะรักษา​ไว้​ได้​

ตรงกันข้าม​ การ​ยึด​คืน​อำเภอ​ซงซาน​ต่างหาก​ จึงเป็น​การกระทำ​อัน​ชาญฉลาด​ที่สุด​

กองทัพ​ศัตรู​เพิ่ง​ยึดครอง​อำเภอ​ซงซาน​ได้​ไม่นาน​ ทัพ​ใหญ่​อวิ๋น​โจว​มิอาจ​มาประจำการ​ที่​อำเภอ​ซงซาน​ได้​ใน​ระยะเวลา​อัน​สั้น​ การ​ส่งทหาร​ไป​ในเวลานี้​จึงมีหวัง​อย่างยิ่ง​ที่จะ​ยึด​อำเภอ​ซงซาน​กลับมา​

จากนั้น​ก็​จัด​ป้อมปราการ​ทัพ​ที่​อำเภอ​ซงซาน​แล้ว​พลีชีพ​ปกป้อง​ เพื่อ​รักษา​ฐาน​ที่มั่น​สุดท้าย​ของ​แนว​ป้องกัน​ที่สอง​

“เอ้อร์​หลา​งเชี่ยวชาญ​ตำรา​พิชัยสงคราม​อย่าง​ลึกซึ้ง​และ​มิใช่คน​คร่ำครึ​ล้าหลัง​ เขา​ไม่ควร​สละ​ชีวิต​อยู่​เมือง​นี้​” ห​ลี่​มู่ไป๋​อธิษฐาน​ใน​ใจ

หยาง​กง​มอง​ฝูงชน​รอบ​ๆ

“ทุกท่าน​มีกลยุทธ์​อย่างไร​ใน​การ​รับมือ​กับ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​”

นายทหาร​ฝ่าย​เสนาธิการ​ผู้​หนึ่ง​เอ่ย​ว่า​

“วิธีการ​ที่​ดี​ที่สุด​ใน​การ​รับมือ​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ ย่อม​เป็นการ​มีอสูร​เหิน​เวหา​กองทัพ​หนึ่ง​”

หลังจาก​ชะงัก​ไป​ครู่หนึ่ง​จึงเอ่ย​ว่า​ “นอกจากนี้​ การ​ดัดแปลง​หน้าไม้​ยักษ์​ให้​ยิง​ขึ้นไป​ใน​อากาศ​ก็​อาจ​ยับยั้ง​กองทัพ​อสูร​เหิน​เวหา​ได้​ ภายใต้​สถานการณ์​ที่​เรา​และ​ศัตรู​ไม่มีความเหลื่อมล้ำ​กัน​ด้าน​กำลัง​รบ​ การ​ให้​ยอด​ฝีมือ​ขั้น​สี่ออก​โจมตี​ก็​เป็น​แผนการ​ที่​ดี​”

ขณะ​กำลัง​พูด​อยู่​นั้น​ เจ้าพนักงาน​นาย​หนึ่ง​ก็​เข้ามา​ด้วย​ความรีบร้อน​แล้ว​เอ่ย​เสียงดัง​ว่า​

“ใต้เท้า​สมุหเทศาภิบาล​ นอกเมือง​มีพล​ทะยาน​ผู้​หนึ่ง​ถือ​ธงต้าฟ่ง​มา บอ​กว่า​เป็น​คน​ของ​เผ่าพันธุ์​กู่​ขอรับ​”

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท