บทที่ 694 ด่านถามใจตนแห่งพุทธศาสนา

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ลั่วอวี้เหิงยก​ขา​เรียว​ขาว​ไว้​ตรง​หน้าท้อง​ของ​เขา​ แล้ว​กะพริบ​ดวงตา​งาม พลาง​เอ่ย​อ้อมค้อม​อย่าง​เศร้าสร้อย​ว่า​ “เรื่อง​ที่​เหตุใด​ผู้คน​ถึงทำร้าย​สวี่​หลา​งได้​ลงคอ​ ก็​เพราะ​สวี่​หลา​งเป็น​คน​ไร้​น้ำใจ​ไร้​คุณธรรม​ไงเล่า​ เห็น​กัน​ชัด​ๆ อยู่​ว่า​มีข้า​แล้ว​ ก็​ยัง​จะไป​พัวพัน​กับ​มู่หนาน​จือ​ ซ้ำยัง​พา​นาง​ออก​ท่อง​ยุทธ​ภพ​อีก​

“หาก​ในอนาคต​หลัง​ข้า​ให้กำเนิด​บุตร​ เจ้าคง​ได้​ทิ้ง​ภรรยา​เพื่อ​หนี​ไป​อยู่​กับ​หญิง​แพศยา​นั่นแน่​”

ระหว่าง​ที่​พูด​นั้น​ นาง​ก็​พลัน​กวักมือ​เรียก​กระบี่​เหล็ก​ที่​มีสนิม​ด่าง​หลาย​จุด​ ก่อน​จะเล็ง​ปลาย​กระบี่​ที่​ท้องน้อย​ของ​ตน​ สะอึกสะอื้น​กล่าวว่า​ “เช่นนั้น​ข้า​จะฆ่าลูก​ของ​เจ้าเสีย​ จบสิ้น​สอง​ชีวิต​ใน​หนึ่ง​ร่าง​”

ตอนนั้น​เอง​สวี่​ชีอัน​ก็​คิดถึง​ราชครู​คน​เดิม​ที่​เคย​เย็นชา​ห่างเหิน​ขึ้น​มาเล็กน้อย​ นวด​คลึง​หว่าง​คิ้ว​ด้วย​ความ​ปวดหัว​ “ท่าน​ราชครู​ สมอง​ของ​ท่าน​มีปัญหา​หรือไม่​”

จากนั้น​กระบี่​แหลมคม​แสน​เยียบ​เย็น​ก็​มาจ่อ​อยู่​บริเวณ​ลำคอ​กะทันหัน​ ท่ามกลาง​ความมืด​ นัยน์ตา​คู่​นั้น​ดู​เยือกเย็น​ดุจ​น้ำแข็ง​ พร้อม​ยิ้มมุมปาก​อย่าง​เย็นชา​ “เจ้าพูดว่า​อัน​ใด​นะ​ ข้า​ไม่ค่อย​ได้ยิน​”

“ท่าน​ราชครู​ เหมือนว่า​สมอง​ของ​ข้า​จะมีปัญหา​นิดหน่อย​ อาจ​เป็น​เพราะ​โดน​ท่าน​ตี​จน​เกิด​ความเสียหาย​ หลังจาก​ท่าน​เขย่าขวัญ​จิต​เดิม​ของ​ข้า​แตก​กระเจิง​ไป​ ได้​รวบรวม​วิญญาณ​ของ​ข้า​ดี​ๆ บ้าง​หรือไม่​” สวี่​ชีอัน​พลิกแพลง​คำพูด​ทันที​

สีหน้า​และ​อารมณ์​ของ​ลั่วอวี้เหิง​พลัน​เปลี่ยน​ ก่อน​จะทิ้ง​กระบี่​เหล็ก​ แล้ว​ขยี้​ศีรษะ​ของ​สวี่​ชีอัน​แทน​ “ว่าง่าย​ดี​นี่​!”

สติฟั่นเฟือน​ไป​แล้ว​ อีก​ยี่สิบ​สี่ชั่วโมง​ให้หลัง​จะขอ​บอกลา​เจ้าล่ะ​นะ​…สวี่​ชีอัน​รับมือ​ด้วย​การ​ฝืนยิ้ม​

ด้วย​การแสดงออก​ของ​ลั่วอวี้เหิง​ ทำให้​เขา​รู้​ว่า​ผู้นำ​เต๋า​คน​นี้​มีความปรารถนา​อัน​แรงกล้า​ และ​หวาดระแวง​ต่อ​มู่หนาน​จือ​อย่างยิ่ง​

นอกจาก​จะขี้หึง​รุนแรง​แล้ว​ ยัง​คิด​จะหมายหัว​หญิง​อื่น​ของ​เขา​อีกด้วย​ ทว่า​บุคลิก​อื่นๆ​ ก็​ล้วน​ระแวดระวัง​และ​หวั่นเกรง​ต่อ​เทพ​ดอกไม้​ทั้งสิ้น​

ดูท่า​ใน​สายตา​ของ​ท่าน​ราชครู​ หนาน​จือคง​เป็น​ศัตรู​ด้าน​ความรัก​ที่​แข็งแกร่ง​มาก​ที่สุด​สินะ​ ส่วน​หญิง​อื่น​ไม่คณา​มือ​ท่าน​เท่าไร​ และ​เทพ​ดอกไม้​น่าจะเป็น​คนเดียว​ที่​สามารถ​ทำให้​ท่าน​ราชครู​สูญเสีย​ความมั่นใจ​ใน​ความงาม​สตรี​ของ​ตน​ได้​…ขณะที่​ใน​ใจคิด​เช่นนี้​ สวี่​ชีอัน​ก็​แอบ​เหล่​ตา​มอง​ยัย​ตัว​ร้าย​ที่อยู่​ด้าน​ข้าง​

ซึ่งยัย​ตัว​ร้าย​ก็​ขยิบตา​ให้​อีก​ฝ่าย​

จากนั้น​สวี่​ชีอัน​ก็​ดึง​สาย​ตากลับ​ พลาง​พูด​ใน​ใจว่า​ ไม่เป็นไร​ แม้ว่า​เจ้าจะไม่งามเท่า​นาง​ แต่​เจ้าก็​อวบอั๋น​ดู​เย้ายวน​หนา​

ระหว่าง​ที่​เขา​หลับตา​ไม่ได้​สนใจ​ขา​ขาวนวล​กำลัง​ถูบริเวณ​หน้าท้อง​ และ​เริ่ม​ทบทวน​กลยุทธ์​ศึกสงคราม​ของ​อา​ซูหลัว​ใน​ครานั้น​

ข้า​ไม่เคย​เอื้อม​ถึงระดับ​เต๋า​แยก​ขันธ์​มาก่อน​ จึงไม่รู้​ว่า​อา​ซูหลัว​มิได้​อ่อน​ให้​ แต่​เมื่อ​มานึกย้อน​ตอนนี้​ ก็​ราวกับว่า​พลัง​ระดับ​เต๋า​แยก​ขันธ์​ไม่ได้​แกร่งกล้า​อย่าง​ที่​คาด​เอาไว้​ ถึงโจมตี​ใส่ข้า​รุนแรง​กว่า​นี้​อีก​ขั้น​ ทว่า​มัน​ก็ได้​แค่นั้น​

มาคิดดู​ใน​ตอนนี้​ มัน​ก็​ดู​มีเรื่อง​ลับลมคมใน​อย่าง​ชัดเจน​

และ​สำหรับ​เรื่อง​พลัง​ต่อสู้​ของ​เทพ​อารักษ์​ขั้น​สาม อา​ซูหลัว​ก็​ไม่ได้​อ่อนข้อ​ให้​แต่อย่างใด​ อีก​ทั้ง​เขา​ต้องการ​จะจัดการ​ข้า​จริงๆ​ …ทว่า​หาก​เขา​เริ่ม​ปลดปล่อย​สายเลือด​แห่ง​อสูร​ขึ้น​มาเล่า​?

หาก​กา​ยา​จิต​ของ​เทพ​อารักษ์​ขั้น​สามรวม​เข้ากับ​สายเลือด​แห่ง​อสูร​ เกรง​ว่า​คง​สามารถ​จับ​ข้า​ห้อย​เฆี่ยนตี​ได้​โดยง่าย​ ซึ่งก็​เป็นการ​สามารถ​อธิบาย​ได้​อย่าง​แม่นมั่น​ว่า​เหตุใด​เขา​ถึงนับถือ​ศาสนาพุทธ​ อำลา​อดีต​ และ​ไม่ยอม​ปลดปล่อย​สายเลือด​แห่ง​อสูร​จนกว่า​จะไม่เหลือ​หนทาง​อื่น​

แต่กระนั้น​ก็​ยัง​รู้สึก​ไม่เต็มใจ​อยู่​เล็กน้อย​…

แม้ว่า​เขา​และ​ซุน​เสวียน​จีจะเอาชนะ​อา​ซูหลัว​ได้​ แต่​ก็​เพราะ​การ​ร่วมใจ​กัน​ต่อสู้​เป็น​อย่าง​ดี​ และ​ใช้ประโยชน์​จาก​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​เพื่อ​ก่อให้เกิด​ ‘การ​โจมตี​ขั้น​ปางตาย​’ ที่​ทำให้​อีก​ฝ่าย​พลัง​อ่อนแอ​ลง​ ทว่า​สุดท้าย​หลังจาก​แย่งชิง​ขา​ทั้งสอง​ของ​เสิน​ซูได้​ ก็​ยัง​ทำได้​เพียงแค่​หนี​อยู่ดี​

ดูเหมือนว่า​การอาศัย​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ เจดีย์​พุทธะ​ และ​วิธี​อื่นๆ​ จะทำให้​ชนะ​ไป​ได้​อย่าง​หวุดหวิด​

ใน​สายตา​คนนอก​ ไม่ใช่ว่า​อา​ซูหลัว​มิได้​แข็งแกร่ง​ แต่​เป็น​เพราะ​สวี่​ชีอันเป็น​คน​เจ้าเล่ห์เพทุบาย​มาก​เกิน​ต่างหาก​

ทว่า​เรื่อง​นี้​อย่างไร​ก็​ไม่สามารถ​โน้มน้าว​ให้​คน​ของ​เขา​เชื่อได้​ เพราะ​ใน​สถานการณ์​นั้น​ ส่วนใหญ่​ซุน​เสวียน​จีจะคอย​ช่วย​โจมตี​ขณะ​กลัวหัวหด​อยู่​บน​ท้องฟ้า​ ส่วน​ตน​ที่​ร่าง​อยู่​ใน​ขั้น​สามก็​รับหน้าที่​ขัดขวาง​อา​ซูหลัว​เพียงลำพัง​เป็นเวลา​นาน​มาก​

วันนี้​หลังจาก​ประมือ​กับ​ท่าน​น้า​ ก็​น่าแปลกใจ​ที่​ยอด​ฝีมือ​ระดับสูง​ขั้น​สอง​ไม่อาจ​ต้านทาน​จอม​ยุทธ์​ขั้น​สามได้​

แล้ว​เหตุใด​เขา​ถึงใช้เวลา​ใน​การขัดขวาง​อา​ซูหลัว​นาน​ขนาด​นั้น​?

นึกไม่ถึง​ว่า​เขา​จะแสร้ง​แสดง​ต่อหน้า​ข้า​…จากนั้น​สวี่​ชีอัน​ก็​พลัน​ส่งเสียง​จิ๊ปาก​ อา​ซูหลัว​ไม่ใช่แค่​แสร้ง​แสดง​กับ​เขา​ แต่​ยัง​แสดง​ได้​แนบเนียน​ดี​อีกด้วย​

ประการ​แรก​ ยาม​ทั้งสอง​ต่อสู้​กัน​นั้น​ อา​ซูหลัว​หมาย​จะจัด​กา​รส​วี่​ชีอัน​จริงๆ​ แต่​สุดท้าย​ก็​เป็น​สวี่​ชีอัน​ที่​ชนะ​ด้วย​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ ซึ่งสามารถ​เรียก​ได้​ว่า​เอาชนะ​ไป​ได้​อย่าง​หวุดหวิด​

ใน​สถานการณ์​เช่นนี้​ โดยปกติ​แล้ว​คน​มัก​เกิด​ความรู้สึก​ว่าที่​ตนเอง​ชนะ​ไป​นั้น​เป็น​ดู​เก่งกาจ​ยิ่งยวด​ เพราะ​ฝ่าย​ศัตรู​ดู​แข็งแกร่ง​เป็นอย่างมาก​

ไหน​เลย​จะสงสัย​เรื่อง​อา​ซูหลัว​แสร้ง​แสดง​ได้​เล่า​?

คำถาม​คือ​ ทำไม​อา​ซูหลัว​ต้อง​แสร้ง​แสดง​กับ​ข้า​ด้วย​…อย่าง​แรก​ เขา​ไม่มีทาง​เป็น​ฝ่ายพันธมิตร​แน่​ เพราะ​เมื่อ​เข้าสู่​ร่ม​กาสาวพัสตร์​ ธาตุ​ทั้ง​สี่ล้วน​ว่างเปล่า​ ก็​ไม่มีโอกาส​ที่จะ​มีความคิด​จะทรยศ​หักหลัง​ฝ่าย​ตัวเอง​ด้วยซ้ำ​

พระโพธิสัตว์​และ​พระอรหันต์​แห่ง​สำนัก​พุทธ​มิได้​โง่เขลา​ หาก​อา​ซูหลัว​ทำตัว​มีปัญหา​ ก็​เป็น​ไม่ได้​ที่จะ​ส่งเขา​มาอารักขา​ที่​ซินเจียง​ตอน​ใต้​

ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ คำตอบ​ก็​น่าจะ​มีอยู่​อย่าง​เดียว​ นั่น​ก็​คือ​ภายใน​สำนัก​พุทธ​เกิด​ความขัดแย้ง​กัน​ ศึก​ระหว่าง​พุทธ​มหายาน​และ​พุทธ​หินยาน​ร้ายแรง​กว่า​ที่​ข้า​คิด​เอาไว้​ ดังนั้น​จึงต้องการ​ศัตรู​ภายนอก​อย่าง​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​นี้​เพื่อ​เปลี่ยน​ความขัดแย้ง​?

คำอธิบาย​นี้​นับว่า​ใช้ได้​ เพียงแต่​ยัง​รู้สึก​ว่า​ขาด​อะไร​บางอย่าง​ไป​

พรุ่งนี้​ต้อง​ไป​ที่​ภูเขา​สือ​ว่าน​ก่อน​ เมื่อ​จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​จะกลับมา​ ก็​จะได้​นำ​เรื่อง​เหล่านี้​บอก​กับ​นาง​ ดู​ซิว่าน​างจะมีความเห็น​ว่า​อย่างไร​ หาก​ท่าน​น้า​สามารถ​สังเกตเห็น​ได้​ถึงรายละเอียด​นี้​ จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​ก็​ย่อม​สังเกตเห็น​ด้วยเช่นกัน​ ทว่าน​างกลับ​มิได้​พูด​ออกมา​…ไม่ใช่ว่า​ไม่พูด​ แต่​ข้า​ที่​สามารถ​แย่งชิง​ชิ้นส่วน​ของ​เสิน​ซูกลับมา​ได้​ นาง​ก็​ย่อม​ยัง​รู้สึก​ใจหายใจคว่ำ​อยู่​

หลังจาก​ช่วย​ฟื้นฟู​อาณาจักร​หมื่น​ปีศาจ​ เชลยศึก​อย่าง​ตู้​เอ้อร์​หรือ​อา​ซูหลัว​ถอด​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ดอก​สุดท้าย​ และ​ศึกสงคราม​แห่ง​ภูเขา​สือ​ว่าน​จบ​ลง​ ก็​อาจ​เกิด​ความ​สั่นสะเทือน​ไป​ทั้ง​จิ่ว​โจว​…

ระหว่าง​ที่​ความคิด​กำลัง​ล่องลอย​อยู่​นั้น​ เขา​ก็​สัมผัส​ได้​ถึงลิ้น​น้อย​ๆ ที่​ทั้ง​อุ่น​และ​เปียก​เลีย​แก้ม​หลาย​ครา​

“อะไร​เนี่ย​!”

ยาม​สวี่​ชีอัน​หันหน้า​กลับ​ไป​ ก็​เห็น​ดวง​หน้า​งามอยู่​ข้าง​เตียง​

ยัย​ตัว​ร้าย​แลบลิ้น​ออกมา​เลีย​ริมฝีปาก​ ก่อนที่​ดวง​หน้า​งามนั้น​จะเผย​รอยยิ้ม​พราว​เสน่ห์​ แล้ว​เชิด​คาง​ขาว​ดุจ​หิมะ​ขึ้น​ พูดจา​ยั่วยวน​ว่า​ “มาบำเพ็ญ​คู่​กัน​เถิด​”

สวี่​ชีอัน​พลิกตัว​กด​อีก​ฝ่าย​ลง​ทันที​ “กา​ยา​จิต​ขั้น​สามของ​ข้า​มิได้​อ่อนแอ​นะ​ เตรียมใจ​ร่ำไห้​หรือยัง​ล่ะ​”

วัน​ต่อมา​ ภายใน​เจดีย์​พุทธะ​

ขณะที่​สวี่​ชีอัน​กำลัง​พนมมือ​ โดย​นั่งขัดสมาธิ​อยู่​ข้างๆ​ ผู้เฒ่า​พระ​ถ่าห​ลิง​ ก่อน​เอ่ย​เสียงทุ้ม​ว่า​

“ไต้​ซือ​ ข้า​บรรลุ​ธรรม​แล้ว​”

ยาม​ที่​เขา​พูด​ประโยค​นี้​ ใบหน้า​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ดู​ปราศจาก​ความปรารถนา​ทางโลก​ใดๆ​

ผู้เฒ่า​พระ​ถ่าห​ลิง​มอง​เขา​ แล้ว​พยักหน้า​อย่าง​ปลื้ม​ปีติ​ “ดี​!”

มู่หนาน​จือ​ที่​อุ้ม​ไป๋​จีอยู่​ด้าน​ข้าง​ ก็​ยิ้ม​เย็นชา​กล่าว​ “ไต้​ซือ​ เขา​บรรลุ​ธรรม​มาสอง​รอบ​แล้ว​ล่ะ​”

สวี่​ชีอัน​จ้องมอง​นาง​ชั่วครู่หนึ่ง​ ก่อน​ดึง​เทพ​ดอกไม้​ไป​อีก​ฝั่ง เทพ​ดอกไม้​ก็​เดินโซเซ​โดน​ลาก​ไป​ที่​ซอก​มุมหนึ่ง​ โดย​มีสีหน้า​บึ้งตึง​ “ใคร​อนุญาต​ให้​เจ้าแตะ​ตัว​ข้า​”

ไป๋​จียก​อุ้งเท้า​ตะปบ​ใส่สวี่​ชีอัน​ พลาง​เกาะ​แขน​มู่หนาน​จือ​แน่น​ และ​พูด​ตะโกน​ว่า​ “ปล่อย​นะ​ ปล่อย​!”

ยาม​นี้​มัน​จึงดูเหมือน​ลูก​ที่​ยืนหยัด​ปกป้อง​อยู่​ข้าง​มารดา​

สวี่​ชีอัน​ชัก​มือ​กลับ​ และ​ส่งเสียง​ ‘เฮอะ​’ พร้อม​ใช้หัวไหล่​ดุน​นาง​ “หึงหวง​หรือ​?”

มู่หนาน​จือ​ตอบกลับ​ด้วย​รอยยิ้ม​เย็นยะเยือก​ “หึงหวง​? เจ้าประเมิน​ตัวเอง​สูงเกินไป​แล้ว​ คิด​ว่า​เป็น​เรื่องจริง​หรือ​ที่​สตรี​ทั่ว​ใต้​หล้า​ล้วน​หลงรัก​เจ้าจน​ถอนตัว​ไม่ขึ้น​?

ไป๋​จีพูด​เสียง​เจื้อยแจ้ว​เสริม​ “นั่นสิ​ๆ”

ไม่หรอก​ๆ ความชื่นชอบ​ที่​เหล่า​สตรี​มอบให้​ข้า​ ล้วน​เทียบ​ห​ลี่​ห​ลิง​ซู่ไม่ติด​หนึ่ง​ใน​สิบ​ส่วน​ด้วยซ้ำ​ เขา​สิถึงนับว่า​เป็น​ขาใหญ่​ที่​มีหญิง​อยู่​ทั่ว​ทุก​มุมใต้​หล้า​…สวี่​ชีอัน​มอง​ไป๋​จี แล้ว​พูด​พึมพำ​ว่า​ “พรุ่งนี้​ข้า​ต้อง​ไป​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ ช่วง​เวลานี้​ เจ้าก็​อย่า​ออกมา​ล่ะ​”

มู่หนาน​จือ​พลัน​ตา​แดงฉาน​ และ​จดจ้อง​ไป​ที่​เขา​

“ทำไม​ รังเกียจ​ว่า​ข้า​จะไป​ขัดขวาง​การ​บำเพ็ญ​คู่​ของ​พวก​เจ้าหรือ​?”

จากนั้น​นาง​ก็​สูด​ลม​หายใจเข้า​ลึก​ๆ ก่อน​เอ่ย​วาจา​เหน็บแนม​ว่า​ “ยัง​มิได้​ไถ่ถามเลย​ว่าการ​บำเพ็ญ​คู่​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​กับ​ราชครู​เป็น​อย่างไรบ้าง​ คิดดู​แล้ว​คง​ดูดดื่ม​กัน​มาก​ละ​สิท่า​ ถึงไม่ยินดี​แยก​จากกัน​แม้เพียง​เวลา​สั้น​ๆ”

อย่างไร​มัน​ก็​ว่างเปล่า​ไร้​ซึ่งสิ่งใด​อยู่ดี​…สวี่​ชีอัน​ทำ​สีหน้า​จริงจัง​ “มิใช่เช่นนั้น​ เจ้าอาจ​ไม่รู้​ว่า​บุคลิก​ใน​ตอนนี้​ของ​ลั่วอวี้เหิง​คือ​ ‘ร้าย​’ ที่​มาจาก​คำ​ว่า​ร้ายกาจ​ เมื่อคืน​นาง​บังคับ​ข้า​ให้​เอา​เจ้าออกจาก​เจดีย์​พุทธะ​ และ​ต้องการ​จะฆ่าเจ้าด้วยมือ​ตัวเอง​”

สีหน้า​มู่หนาน​จือ​เปลี่ยน​ทันที​

จากนั้น​สวี่​ชีอัน​ก็​เอ่ย​ต่อ​ “ข้า​ย่อม​ไม่เห็นด้วย​อยู่แล้ว​ จึงทะเลาะ​กับ​นาง​ไป​ยกใหญ่​”

มู่หนาน​จือ​ก็​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​กล่าว​ด้วย​ความหงุดหงิด​และ​โมโห​ “นาง​ทำร้าย​เจ้าหรือ​?”

สวี่​ชีอัน​พยักหน้า​อย่าง​อัด​อึดใจ​ กุมมือ​มู่หนาน​จือ​ แล้ว​พูด​เสียงอ่อน​

“ข้า​เป็น​คน​หนัง​หนา​ไม่เป็นอะไร​หรอก​ แต่​เจ้าไม่เหมือนกัน​ และ​ข้า​จะไม่มีทาง​ปล่อย​ให้​นาง​ทำร้าย​เจ้าอย่าง​แน่นอน​”

ความโกรธ​ใน​ใจของ​มู่หนาน​จือ​ลดลง​ไป​ครึ่ง​ส่วน​ จากนั้น​ก็​ดึง​มือ​กลับ​เบา​ๆ ก่อน​เอ่ย​ฮึดฮัด​ว่า​

“ข้า​และ​เจ้าต่าง​เป็น​ผู้บริสุทธิ์​ไร้​มลทิน​ อย่า​พูดจา​อุตริ​เช่นนี้​”

นาง​เม้มริมฝีปาก​ เพื่อ​ปิด​ซ่อน​รอยยิ้ม​ตรง​มุมปาก​ที่​เผ​ยอขึ้น​

สวี่​ชีอัน​รู้ดี​ว่า​ควร​หยุด​เมื่อ​ได้เปรียบ​ ก่อน​จะพูด​เสริม​ว่า​

“แต่​ไป๋​จีต้อง​ออก​ไป​กับ​ข้า​ เพราะ​ข้า​ต้อง​ใช้มัน​เพื่อ​ติดต่อ​กับ​จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​”

มู่หนาน​จือ​กล่าว​อย่าง​กังวล​ “แต่​เจ้าบอ​กว่า​ลั่วอวี้เหิง​ร้ายกาจ​มาก​นี่​ นาง​จะไม่ทำให้​ไป๋​จีลำบากใจ​เอา​หรอก​หรือ​”

สวี่​ชีอัน​รับ​ไป๋​จีจาก​อ้อม​อก​ของ​นาง​ มาอุ้ม​ใน​อ้อมแขน​ แล้ว​กล่าว​ด้วย​ใบหน้า​ไร้อารมณ์​

“ข้า​คิด​ว่า​มัน​อยู่​มาได้​ถึงอายุ​เท่านี้​ก็​น่าจะ​รับมือ​ไหว​”

ไป๋​จีตัว​สั่นสะท้าน​ รีบ​ปรับ​แก้​การ​พูด​ของ​ตน​ทันใด​ “ข้า​ชอบ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ที่สุด​เลย​”

สาย​ไป​แล้ว​…จากนั้น​สวี่​ชีอัน​ก็​อุ้ม​ไป๋​จีลง​มายัง​ชั้นสอง​ ซึ่งที่นี่​มีรูปปั้น​เทพ​อารักษ์​วาง​เรียงราย​กัน​อยู่​ โดย​มีทั้ง​ลักษณะ​หน้าบึ้ง​ถลึงตา​มอง​ ท่าทาง​หมาย​โจมตี​ และ​ลักษณะ​เคร่งขรึม​ดู​น่ากลัว​

ซึ่งรูปปั้น​เหล่านี้​มีค่าย​กล​ล้อมรอบ​ที่​ถูก​สร้าง​ขึ้น​โดยเฉพาะ​ และ​ยัง​ได้รับ​วิชา​พุทธะ​อีกด้วย​ เมื่อ​รวม​กับ​เจดีย์​พุทธะ​ชั้น​สาม มัน​เลย​ถูก​ใช้เป็น​กรง​ผนึก​ผู้​บำเพ็ญพรต​ที่​แข็งแกร่ง​มาก​ที่สุด​

ชั้นสอง​ยัง​มีพลัง​ ‘คุมขัง​’ แพร่กระจาย​อยู่​ด้วย​ ถึงขนาดที่​สามารถ​สร้าง​ผลกระทบ​ขั้น​สอง​ได้เวลา​เพียง​สั้น​ๆ

ส่วน​ไฉซิ่งเอ๋อร์​ที่​นั่งขัดสมาธิ​ตรงกลาง​ระหว่าง​รูปปั้น​ทั้งสอง​ เดิมที​นาง​เป็น​หญิง​รูป​โฉมงามแม้จะออกเรือน​แล้ว​ ทว่า​ยาม​นี้​ช่างดู​น่าสงสาร​ เนื่อง​การ​การ​จองจำ​เป็นเวลา​นาน​ทำให้​นาง​อ่อนแอ​ลง​เรื่อยๆ​ ซึ่งทำให้​ผู้คน​ที่​พบเห็น​เกิด​ความเห็นใจ​

ยาม​นี้​นาง​มีใบหน้า​ขาวซีด​ซูบผอม​ และ​ปล่อย​ผม​ดำ​สยาย​ยุ่งเหยิง​

ครั้น​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางมาอยู่​ข้างๆ​ ก็​จะรับหน้าที่​เป็น​ทหาร​ประ​จำคุก​ คอย​ให้อาหาร​ตามเวลา​ที่​กำหนด​ไว้​ และ​ยัง​เปลี่ยน​ถังของเสีย​ให้​เสมอ​

นอกจากนี้​ ทุกๆ​ เจ็ด​วัน​ไฉซิ่งเอ๋อร์​จะมีโอกาส​ออก​ไป​ทำกิจกรรม​ข้างนอก​หนึ่ง​ครั้ง​ และ​สามารถ​อาบน้ำ​ขัด​ตัว​ได้​

แต่​หลังจาก​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางออก​ไป​ หน้าที่​หาอาหาร​ก็​ตก​มาอยู่​ที่​มู่หนาน​จือ​ ส่วน​การ​เปลี่ยน​ถังของเสีย​ ก็​จะเป็น​ผู้เฒ่า​พระ​ถ่าห​ลิง​ที่​รับผิดชอบ​ทำให้​

ถึงอย่างไร​สำหรับ​ถ่าห​ลิง​ เพียงแค่​ใช้ความคิด​แวบเดียว​ ก็​สามารถ​เคลื่อนย้าย​สิ่งของ​ต่างๆ​ ใน​เจดีย์​ออก​ไป​ได้​แล้ว​ ยกเว้น​แขน​ที่​ขาด​ของ​เสิน​ซูเท่านั้น​

“คิดไม่ถึง​ว่า​ ชีวิต​ที่​ถูก​จองจำ​มาเป็นเวลา​นาน​ จะทำให้​พลัง​ปราณ​ของ​เจ้าค่อยๆ​ ไร้​เล่ห์เหลี่ยม​ และ​มีตบะ​มากขึ้น​” สวี่​ชีอัน​ยิ้ม​กล่าว​

ไฉซิ่งเอ๋อร์​ลืมตา​ขึ้น​ จดจ้อง​ไป​ที่​เขา​ ก่อน​จะเอ่ย​อย่าง​ไร้​ความ​ถ่อมตน​แต่​ก็​ไม่หยิ่งผยอง​

“นอกจาก​จะฝึก​ลมหายใจ​แล้ว​ ก็​ไม่มีเรื่อง​อะไร​ให้​ทำ​ คนอื่นๆ​ ที่​ทำ​แบบ​เดียว​กับ​ข้า​ก็​ย่อม​มีตบะ​มากขึ้น​ได้​ทั้งนั้น​”

หลังจาก​นิ่งเงียบ​ไป​ชั่วขณะหนึ่ง​ ดวง​หน้า​นาง​ก็​อ่อนโยน​ลง​เล็กน้อย​ ก่อน​ถามขึ้น​ว่า​ “ช่วงนี้​คุณชาย​ห​ลี่​เป็น​อย่างไรบ้าง​?”

สวี่​ชีอัน​พยักหน้า​

“เขา​จัดตั้ง​กองกำลัง​ผู้ลี้ภัย​ เตรียม​ไป​ต่อสู้​ที่​ชิงโจว​แล้ว​ ใน​ระหว่าง​นี้​ที่​เจ้ารอ​อยู่​ใน​เจดีย์​พุทธะ​ ภัย​หนาว​ได้​แพร่กระจาย​ไป​ทั่ว​ ชาว​จงหยวน​ต่าง​ต้อง​พลัดถิ่น​อย่าง​คน​สิ้นเนื้อประดาตัว​ และ​กบฏ​เมือ​งอ​วิ๋น​โจว​ที่​กำลัง​ขึ้น​เหนือ​ไป​โจมตีชิง​โจว​ สถานการณ์​สงคราม​ใน​ยาม​นี้​จึงนับว่า​อับจน​หนทาง​”

ไฉซิ่งเอ๋อร์​นิ่งเงียบ​ไป​สักพัก​หนึ่ง​ จากนั้น​ก็​ยิ้ม​ขมขื่น​กล่าวว่า​ “เปลี่ยน​เจดีย์​พุทธะ​เล็ก​ๆ แห่ง​นี้​ให้​กลาย​เป็นที่​ลี้ภัย​สิ”

จะให้​เป็นที่​ลี้ภัย​ก็​ไม่เลว​ ทว่า​ครึ่ง​ประโยค​แรก​ เจ้าควรจะ​ถามถ่าห​ลิง​ก่อน​ว่า​เห็นด้วย​หรือไม่​…สวี่​ชีอัน​เลิก​พูด​เรื่องไร้สาระ​ แล้ว​นำ​แผนที่​หนัง​สัตว์​ครึ่ง​ส่วน​ออก​มาจาก​อ้อมแขน​

“เจ้าลองดู​สิ นี่​คือ​แผนที่​ครึ่ง​ส่วน​ที่​บรรพบุรุษ​ทิ้ง​ไว้​ให้​เจ้าอันนั้น​ใช่หรือไม่​”

ไฉซิ่งเอ๋อร์​ยื่นมือ​ออก​ไป​รับ​ แล้ว​คลี่​ออก​เพื่อ​มอง​ให้​ชัด​ๆ

“เหมือนว่า​จะใช่ นี่​เป็น​วัสดุ​แผนที่​แบบ​เดียว​กันที่​เจ้าตำหนัก​จาก​ตระกูล​ไฉเอา​ไป​ใน​ครั้งนั้น​”

“แล้ว​เจ้าเคย​เห็น​อีก​ครึ่งหนึ่ง​ของ​แผนที่​นี้​หรือไม่​?” สวี่​ชีอัน​ถาม

ไฉซิ่งเอ๋อร์​ฝืนยิ้ม​ “ฆ้อง​เงิน​สวี่​คิด​ว่า​ ข้า​มีคุณสมบัติ​พอที่จะ​รู้เรื่อง​นี้​หรือ​?”

สวี่​ชีอัน​ถามต่อ​ “สำหรับ​เรื่อง​บรรพบุรุษ​ตระกูล​ไฉของ​พวก​เจ้า เจ้ารู้​อะไร​อีก​บ้าง​?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์​ส่ายหน้า​ “ตอนนี้​ตระกูล​ไฉสามารถ​สืบเสาะ​พื้นเพ​ของ​บรรพบุรุษ​ได้​ ว่า​มาจาก​ซินเจียง​ตอน​ใต้​ จากนั้น​ก็​ประสบ​พบ​เจอ​เหตุการณ์​ฆ่ายก​บ้าน​ ซึ่งส่วน​รายละเอียด​ก็​สูญหาย​ไป​นาน​แล้ว​”

นี่​นาง​ดู​ผมบาง​ลง​อยู่​หน่อย​ๆ นะเนี่ย​…สวี่​ชีอัน​รับ​แผนที่​หนัง​สัตว์​กลับคืน​อย่าง​จนปัญญา​

หาก​สามารถ​ทำให้​สวี่​ผิง​เฟิงสนใจ​ได้​ ก็​ย่อม​ไม่ธรรมดา​ นาย​ท่าน​แห่ง​สุสาน​ใหญ่​คือ​ใคร​กัน​แน่​ แล้ว​สวี่​ผิง​เฟิงสังเกตเห็น​…ของ​ตระกูล​ไฉได้​อย่างไร​ เฮ้อ​ ใน​ตอนนี้​ เรื่อง​นี้​อย่า​เพิ่ง​รีบร้อน​ดีกว่า​ ค่อยเป็นค่อยไป​แล้วกัน​

ภายใน​ห้องนอน​ที่​ถูก​ตกแต่ง​อย่าง​เรียบง่าย​นั้น​ ลั่วอวี้เหิง​หาว​อย่าง​เกียจคร้าน​ ก่อน​จะนำ​กางเกงใน​และ​ตู้​โต​ว​ผืน​สะอาด​จาก​กระเป๋า​ใบ​เล็ก​ที่​ใช้เก็บ​ของ​ออกมา​ จากนั้น​ก็​ใส่อย่าง​เชื่องช้า​ แล้ว​นำ​เสื้อคลุม​ขนนก​มาสวม​ทับ​

นาง​เล่น​หมวก​ดอกบัว​ใน​มือ​ พลาง​มอง​ไป​ยัง​เจดีย์​เล็ก​ๆ อัน​แสน​ประณีต​ที่อยู่​บน​โต๊ะ​ แล้ว​กระตุก​ยิ้มมุมปาก​ “นี่​น่ะ​หรือ​จอม​ยุทธ์​ขั้น​สาม?”

นาง​วาง​ทิ้ง​หมวก​ดอกบัว​ไว้​บน​โต๊ะ​ ก่อน​จะออกจาก​ห้องนอน​ไป​

เนื่องจาก​คนวัยหนุ่มสาว​ใน​เผ่า​ต้อง​ออก​ไป​ทำสงคราม​ จำนวน​คน​ขึ้น​เขา​ไป​ล่าสัตว์​จึงมีน้อยลง​เยอะ​มาก​ แต่​หลง​ถูที่​มีสถานะ​เป็น​หัวหน้า​เผ่า​ก็​ต้อง​ขึ้น​เขา​มาทำงาน​อีก​ครา​อย่าง​เลี่ยง​ไม่ได้​

ใน​เผ่า​ลี่​กู่​นั้น​ หัวหน้า​เผ่า​ก็​คือ​ผู้​ที่​กุมอำนาจ​สูงสุด​ และ​ยัง​เป็น​คน​ที่​ต้อง​รับผิดชอบ​มาก​ที่สุด​อีกด้วย​

เมื่อ​เผชิญ​กับ​ปัญหา​กำลังคน​ไม่พอ​ และ​เสบียงอาหาร​ก็​ยัง​ขาดแคลน​ไป​ด้วย​ หัวหน้า​เผ่า​หลง​ถูจึงถูก​บังคับ​ให้​ขึ้น​เขา​ไป​ล่าสัตว์​

ลั่วอวี้เหิง​ที่​มาถึงลาน​ด้านนอก​ ก็​เห็น​สวี่ห​ลิง​อิน​และ​ลี่​น่า​กำลัง​นั่งยองๆ​ อยู่​ใต้​ร่มเงา​ของ​ต้นไม้​ และ​จุด​กองไฟ​ขึ้น​มา โดย​รอบข้าง​กองไฟ​ก็​มีหนู​หก​ตัว​ที่​ถูก​ถลก​หนัง​ล้าง​จน​สะอาด​วาง​แทรก​อยู่​ด้วย​

“เมื่อ​พวกเรา​กิน​หนู​เสร็จ​ มันเทศ​ที่อยู่​ใต้​กองไฟ​ก็​คง​สุก​พอดี​”

ลี่​น่า​กล่าว​เสียงกึกก้อง​ “จะรอ​หรือไม่​”

“ร​อสิ​!” เสี่ยว​โต้​ว​ติง​เช็ด​น้ำลาย​

จากนั้น​ลี่​น่า​ก็​สั่งการ​ใช้ลูกศิษย์​ “เจ้าไป​เอา​ถุงใส่น้ำ​มาให้​อาจารย์​หน่อย​ ข้า​หิว​น้ำ​”

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​มอง​นาง​อย่าง​ระแวดระวัง​ “ชะ…เช่นนั้น​ท่าน​อย่า​แอบ​กิน​นะ​”

หลังจาก​ผู้​เป็น​อาจารย์​รับปาก​ เสี่ยว​โต้​ว​ติง​ถึงสาวเท้า​ก้าว​เข้าไป​ยัง​ลาน​ด้วย​ขา​สั้น​ๆ ของ​นาง​

“คารวะ​ท่าน​ราชครู​” เมื่อ​ลี่​น่า​เห็น​ลั่วอวี้เหิง​ ก็​กล่าว​ทักทาย​ด้วย​ความเคารพ​

นาง​มิได้​เป็น​คน​ซื่อบื้อ​ไร้​สมอง​อย่าง​สวี่ห​ลิง​อิน​ กอปร​กับ​ตระหนัก​ได้​ถึงความ​แข็งแกร่ง​ของ​คน​ตรงหน้า​ จึงรู้​ถึงระดับ​พลัง​ห่าง​ชั้น​ต่อกัน​

ไม่นาน​มานี้​ เรื่อง​ที่​ลั่วอวี้เหิง​กับ​สวี่​ชีอัน​พยายาม​ทุ่มเท​กัน​ใน​เหว​ลึก​นั้น​ กลายเป็น​ตำนาน​คู่​บำเพ็ญ​กวาดล้าง​เหว​ลึก​ ซึ่งแพร่กระจาย​ไป​ทั่ว​เผ่าพันธุ์​กู่​

ลั่วอวี้เหิง​พินิจ​มอง​ลี่​น่า​ “เจ้าคือ​คน​คน​นั้น​ คน​ที่​ครอบครอง​เศษชิ้นส่วน​หนังสือ​ปฐพี​”

ลี่​น่า​ตกตะลึง​ไป​ครู่หนึ่ง​ คิดไม่ถึง​ว่า​ท่าน​ราชครู​จะรู้​ถึงสถานะ​ของ​ตน​

ลั่วอวี้เหิง​ไม่หยุด​จังหวะ​ฝีเท้า​ และ​ย่างกราย​ต่อไป​ยัง​ด้านนอก​

สายตา​ของ​ลี่​น่า​มองตาม​นาง​ไป​ สัมผัส​อัน​เฉียบแหลม​ก็​รับรู้​ได้​ว่า​วันนี้​ท่าน​ราชครู​มีบางอย่าง​ผิดปกติ​ไป​

ทันทีที่​นาง​ดึง​สายตา​กลับมา​ มอง​หนู​ย่าง​ที่​ใกล้​จะสุก​พร้อม​กิน​อย่าง​ใจจดใจจ่อ​…แต่​จู่ๆ ก็​พบ​ว่า​รอบ​กองไฟ​กลับ​ว่างเปล่า​

‘หนู​ล่ะ​ ไม่มี?!’

ลี่​น่า​ลุกขึ้น​ยืน​อย่าง​ลนลาน​ทำตัว​ไม่ถูก​ มอง​รอบข้าง​ทุก​สี่ทิศ​ ‘หนู​เล่า​? หนู​ย่าง​ทั้งหลาย​ของ​ข้า​ล่ะ​?’

‘ตึก​ตึก​ตึก​…’ ขณะนั้น​เอง​ สวี่ห​ลิง​อิน​ก็​วิ่ง​ออกมา​พร้อม​ถุงใส่น้ำ​

เมื่อ​เห็น​รอบ​กองไฟ​ว่างเปล่า​ นาง​ก็​หยุดนิ่ง​กะทันหัน​

อาจารย์​และ​ศิษย์​ต่าง​มองหน้า​กัน​

ลี่​น่า​ริมฝีปาก​กระตุก​ พูด​อย่าง​ยากลำบาก​ว่า​ “หนู​มัน​วิ่งหนี​ไป​เอง​แล้ว​ เจ้าเชื่อ​หรือไม่​?”

…เสี่ยว​โต้​ว​ติง​ทิ้ง​ถุงใส่น้ำ​ แล้ว​นั่ง​ดิ้น​ร้องไห้​งอแง​พลาง​ถีบ​ขา​ลง​กับ​พื้น​ยกใหญ่​

บริเวณ​ด้านนอก​

ลั่วอวี้เหิง​ผู้​มีรอยยิ้ม​งามดั่ง​บุปผา​ และ​รูปโฉม​อัน​พราว​เสน่ห์​ใน​เสื้อคลุม​ขนนก​ที่​ล่องลอย​ตาม​แรงลม​ กำลัง​ปล่อย​ผม​ดำขลับ​ปลิว​สยาย​ท่ามกลาง​สายลม​อ่อน​

ณ วัด​หนาน​ฝ่า

ผนึก​ที่​ล้อมรอบ​เจดีย์​ได้​พังทลาย​ลง​ และ​แผ่ขยาย​ออก​ไป​วงกว้าง​

หลัง​ศีรษะ​ของ​พระอรหันต์​ตู้​เอ้อร์​ปรากฏ​แสงไฟเจ็ด​สีส่อง​ประกาย​ โดยที่​เขา​กำลัง​นั่งขัดสมาธิ​บน​เบาะ​ พลาง​ลาก​เคลื่อน​บาตร​ทองคำ​ใน​มือ​

“หาก​ผ่าน​ค่าย​กล​แปด​ทุกข์​ และ​ด่าน​ถามใจตน​ นี่​คือ​ความหมาย​ของ​พระโพธิสัตว์​กว่าง​เสีย​น​ หาก​เจ้าผ่าน​ด่าน​ทั้งสอง​นี้​ได้​ เรื่อง​ผนึก​ที่​ล้อมรอบ​เจดีย์​โดน​ทำลาย​ ก็​จะคลี่คลาย​”

จากนั้น​ภิกษุ​เฒ่าร่าง​ผอม​ผิวดำ​ก็​ใช้สายตา​ที่​สงบนิ่ง​มอง​อา​ซูหลัว​

“ศิษย์​เข้าใจ​แล้ว​”

อา​ซูหลัว​พนมมือ​ เดิน​ออก​ไป​หนึ่ง​ก้าว​ ก่อน​จะเข้าไป​ยัง​บาตร​ทองคำ​

พระอรหันต์​ตู้​เอ้อร์​ดึง​มือ​กลับ​ จากนั้น​บาตร​ทองคำ​ก็​ค่อยๆ​ ลอย​ขึ้น​กลางอากาศ​ ตอนนั้น​เอง​บริเวณ​ปากบาตร​ทองคำ​ก็​ปรากฏ​ม่าน​แสงฉาก​หนึ่ง​

กลาง​ม่าน​แสงนั้น​ อา​ซูหลัว​ที่​สวมใส่​กาสาวพัสตร์​กำลัง​พนมมือ​ ตั้ง​ตระหง่าน​อย่าง​ไร้​ความกลัว​ แต่​เมื่อ​ยืน​อยู่​หน้า​ค่าย​กล​แปด​ทุกข์​ ก็​กลับ​ราว​ว่า​ไม่เคย​เข้าร่วม​สนามรบ​มาก่อน​

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท