บทที่ 723 พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 723 พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

หลังจากคู่ดวงตาอันเย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึกปรากฏ ปราณใสจึงก่อเค้าร่างในทันใด ลมพัดโหมกระหน่ำสาดซัดมาอย่างกะทันหัน เสื้อผ้าปลิวไสวในทันควัน รูปลักษณ์ของนักพรตขงจื๊อซึ่งชายผ้ากำลังพลิ้วสะบัดก็ปรากฏต่อหน้าสวี่ผิงเฟิงและคนอื่นๆ

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มาเยือนโลกอีกครั้ง อานุภาพคุกคามที่น่ากลัวบังเกิดขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน เฉกเช่นภูผาทลาย สมุทรแผดเสียง นภาถล่ม

เนื่องจากระยะใกล้เกินไป มนุษย์สามคนและอสูรหนึ่งตนจึงแทบจะประจันหน้ากับการจับจ้องจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

แขนขาของไป๋ตี้สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม มันโค้งคลาน แยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนกลับกลายเป็นสัตว์ และส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำเหมือนแสดงพลังจากลำคอ

สวี่ผิงเฟิงและเฮยเหลียนถอยร่น พวกเขาซึ่งเป็นขั้นสองไม่กล้าอวดฝีมือ ณ ขณะนี้

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อาศัยอำนาจข่มขวัญจากร่างธรรมวชิระ และการป้องกันจากร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ซึ่งเป็นตัวตนที่ทนต่อการต่อยตีที่สุดของขั้นหนึ่ง เขาต้านการซัดสาดของคลื่นสมุทรเฉกเช่นหินโสโครก

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นรูปร่าง ตรงหว่างคิ้วของท่านโหราจารย์แหวกออกเป็นบาดแผล เลือดแดงสดไหลยาวเป็นสาย

กายหยาบเริ่มดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความล่มสลาย ซึ่งนี่คือราคาที่จำเป็นต้องจ่าย

เขากระโดดออกไปก้าวหนึ่ง แล้วส่งดาบสลักในมือออกไป สิ่งที่แทงออกไปเป็นอย่างแรกคือพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทำท่าทางที่ประสานกัน ราวกับเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านโหราจารย์

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนตระหง่านไม่สั่นไหว จีวรพลิ้วสะบัดอย่างเข้มขรึม กล้ามเนื้อทั้งตัวพองบวม เส้นเลือดดำที่แข็งกร้านปูดนูนขึ้นเป็นเส้นๆ ใต้ผิวหนัง

แม้เขาจะไม่ขยับก็ตาม แต่ร่างธรรมวชิระด้านหลังกลับก้าวไปข้างหน้า มากำบังด้านหน้าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้

ดาบสลักแทงมาอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับไม่กลัวศัตรูหนี

แขนทั้งสิบสองคู่ของร่างธรรมวชิระประสานไว้ข้างหน้า ฝ่ามือทั้งยี่สิบสี่ข้างทำท่าประกบกัน โดยขนาบท่านโหราจารย์และดาบสลักไว้กลางฝ่ามือ

ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีนั่งขัดสมาธิประสานฝ่ามือ รวมตัวเป็นม่านปราณด้านหลังร่างธรรมวชิระ และกำบังพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้ด้านใน

ทันใดนั้นเอง แขนทั้งสิบสองคู่ของร่างธรรมวชิระเริ่มสั่นคลอน ราวต้านทานการบุกทะลวงของดาบสลักไว้ไม่อยู่

‘ตูม!’

วงแหวนไฟหลังศีรษะร่างธรรมวชิระขยายตัว เปลวเพลิงที่บาดตาลุกพรวดขึ้น

แขนสิบสองคู่ที่สั่นระริกสงบนิ่งลงอีกครั้ง

แต่ในช่วงต่อมา ฝ่ามือขนาดยักษ์ทั้งสิบสองข้างแตกออกก่อน ตามด้วยแขนและลำตัว…ร่างธรรมวชิระที่ขึ้นชื่อในเรื่องการป้องกันและพลังต่อสู้ค่อยๆ พังทลายลงทีละนิ้ว

พลังงานที่ล้นกระจายออกมาจากการพังทลายของร่างธรรมแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทาง และแตกกระจายลงบนทะเลเมฆเบื้องล่าง เผยให้เห็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่

ท่านโหราจารย์ถือดาบสลักไว้ ยังคงแทงไปยังม่านกำบังที่ค้ำยันด้วยร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี

‘ครืน!’

พลังงานที่บิดเบี้ยวและยุ่งเหยิงสาดออกมาจากจุดที่ม่านปราณสีทองอ่อนปะทะกับดาบสลัก

แสงสีขาวเข้าใกล้ท่านโหราจารย์อย่างไร้สุ้มเสียง และลอบจู่โจมจากด้านหลัง

ในรูม่านตาร่องแนวตั้งสีครามเข้มของไป๋ตี้หลงเหลือเพียงความบ้าคลั่งประหนึ่งสัตว์ร้าย ไร้ซึ่งจิตวิญญาณแม้เพียงเล็กน้อย

มันกดทับจิตวิญญาณของตนเองไว้ และแสดงความบ้าคลั่งที่หยั่งรากลึกลงในกระดูกของสายเลือดแห่งเทพมารออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพื่อหักล้างอานุภาพคุกคามจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ทายาทเทพมารที่บ้าคลั่งจะไม่หวาดหวั่น

นอกจากนี้ แม้จิตวิญญาณจะถูกยับยั้ง ทำให้ไม่สามารถใช้วรยุทธ์ได้อีก แต่นี่จะไม่ลดทอนพลังต่อสู้ของมัน แม้กายาจิตของทายาทเทพมารจะแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

ท่านโหราจารย์ชูมือซ้ายขึ้น และยิงมงกุฎแห่งปราชญ์ออกไปดัง ‘ปัง’ ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า

“ถอยไปห้าร้อยลี้”

ไป๋ตี้อ้าปากแยกเขี้ยว ทำท่าโผเข้าโจมตี พริบตาที่กำลังจะสัมผัสท่านโหราจารย์ เขาหายไปอย่างไม่คาดคิด ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ว่าท่านโหราจารย์ได้เรียนรู้การลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ แต่เป็นการแสดงวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อด้วยพลังของมงกุฎแห่งปราชญ์

ทว่า หากไม่มีการควบคุมจากผู้บำเพ็ญระดับสูงในระบบเดียวกัน อานุภาพที่มงกุฎแห่งปราชญ์สำแดงออกมาได้ก็จะมีจำกัด และไป๋ตี้ก็เป็นระดับสูงสุด ท่านโหราจารย์จึงไม่สามารถโจมตีมันโดยตรงด้วยการพึ่งพาพลังของมงกุฎแห่งปราชญ์

เพราะนั่นถูกกำหนดให้ไม่สามารถคุกคามไป๋ตี้ได้อยู่ก่อนแล้ว

แต่สัญชาตญาณที่เป็นลักษณะเฉพาะของลัทธิขงจื๊อไม่ได้อยู่ที่การโจมตี แต่เป็นคำว่า “ตบตาลวงหลอก” สี่พยางค์นี้

หลังจากเตะไป๋ตี้ออกจากสนามรบชั่วขณะ ท่านโหราจารย์ถือดาบสลักไว้ในมือ และก้าวไปอีกขั้นอย่างแข็งแกร่ง

ม่านปราณที่ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีค้ำยันไว้ แห้งเหือดไปอย่างเกินความเป็นจริง

นี่ไม่ใช่ว่าพระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่แข็งแกร่งพอ แต่ตรงกันข้าม สามารถยืนหยัดจนถึงตอนนี้ภายใต้มนต์ของกายาจิตปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสมควรแก่ชื่อเสียงด้วยสุดยอดระดับที่ขึ้นชื่อของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

สวี่ผิงเฟิงซึ่งอยู่ไกลออกไปเปิดกระเป๋าผ้าไหม หยิบปืนใหญ่ออกมา สูงเก้าฉื่อ (1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว) ลำกล้องปืนยาวหนึ่งจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 3.33 เมตร ) หลอมด้วยเหล็กดำทั้งลำ สลักลวดลายค่ายกลไว้อย่างหนาแน่นบนพื้นผิว

ตัวเขาซึ่งเป็นขั้นสองไม่อาจประจันหน้ากับอานุภาพคุกคามจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในระยะใกล้ โชคดีที่การโจมตีระยะไกลเป็นสิ่งที่โหรชื่นชอบที่สุด

ลวดลายค่ายกลทยอยสว่างขึ้นเป็นดวงๆ ค่ายกลที่สลักไว้บนตัวปืนเริ่มดูดซับพลังวิญญาณบริเวณรอบๆ ปากปืนใหญ่ที่ดำมืดควบรวมมวลแสงสีขาวเจิดจ้าขนาดเท่ากำปั้นซึ่งกำลังยุบตัวเข้ามาด้านในอย่างต่อเนื่อง

การงัดเอาพลังฟ้าดินด้วยค่ายกล เป็นไม้เด็ดที่โหรถนัดมือที่สุด

‘ตูม!’

เมื่อยุบตัวจนถึงขีดสุดก็ระเบิดออก ลำแสงขาวเจิดจ้ายิงออกมาจากปากกระบอกปืน

ขณะที่ลำแสงกำลังจะยิงโดนท่านโหราจารย์ ค่ายกลที่ห้อมล้อมด้วยเกลียวแสงใสสว่าง ตัดขวางด้านหน้าวิถีกระสุนในฉับพลัน

ปืนใหญ่ที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขั้นสามบาดเจ็บสาหัส หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับวัวโคลนลงทะเล

วินาทีถัดมา ลำแสงขาวเจิดจ้ายิงออกมามิดตัวเขาจากอากาศด้านหลังสวี่ผิงเฟิง

ท่านโหราจารย์ส่งคืนการโจมตีด้วยปืนใหญ่กลับไปยังเขาด้วยการใช้ค่ายกลส่งตัว

‘ครืน!’

อากาศข้างท่านโหราจารย์สั่นไหว ลำแสงยิงออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งแทบจะฉาบใบหน้าของเขา

สวี่ผิงเฟิงไม่ได้ถูกลำแสงที่จู่โจมมาจากด้านหลังปกคลุม เขาคัดลอกกลวิธีของท่านโหราจารย์ ซึ่งก็คือรับมือท่านโหราจารย์กลับด้วยวิธีที่เขาใช้

ด้วยเหตุนี้ แสงสีขาวจึงปรากฏและแวบหายไปซ้ำอย่างต่อเนื่องระหว่างศิษย์อาจารย์ทั้งสอง

จนกระทั่งท่านโหราจารย์ส่งมันไปให้นักบวชเฮยเหลียนที่อยู่ไกลออกไป เฮยเหลียนซึ่งไม่มีลางล่วงรู้วิกฤติของจอมยุทธ์ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงแสดงให้เห็นเพียงเทพเจ้าหยางอมตะของลัทธิเต๋าสลายการโจมตีด้วยปืนใหญ่จนแตกสลาย

ขณะนี้ ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีค้ำยันไว้ไม่อยู่ในท้ายที่สุด ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แทงทะลุม่านปราณ ดาบสลักจ่ออยู่ที่หน้าผากพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ท่ามกลางพายุพลังงานที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี

แสงใสสว่างแวบผ่าน

พรึบ! ศีรษะของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ระเบิดออก ชิ้นกระดูกและเลือดเนื้อกระจัดกระจาย

ร่างที่สูงแปดฉื่อของเขาหย่อนยานลงในชั่วพริบตา หงายหน้าล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง และร่วงหล่นไปยังแผ่นดินอันกว้างไพศาล

และในขณะเดียวกันนี้ ทรวงอกของท่านโหราจารย์ระเบิดหมอกโลหิตออกมา พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์กำลังทำลายกายหยาบของเขา

ท่านโหราจารย์ไม่ได้พะวงสภาพของร่างกาย และก็ไม่ได้โจมตีสวี่ผิงเฟิงกับเฮยเหลียน แต่หันกลับไปแทงดาบสลัก

เงาสีขาวเฉียดร่างเขาไป

เงาสีขาวกลายเป็นไป๋ตี้ มันกลิ้งคว่ำอย่างจนตรอกเหมือนกับหมาเร่ร่อนที่ถูกเตะปลิว และเลือดไหลปริ่มๆ ออกมาในขณะนั้น

สวี่ผิงเฟิงยกมือมายันไว้ ค่ายกลรูปวงกลมค้ำไป๋ตี้ไว้ และปัดแรงกระแทกให้เขา

“เฮือก เฮือกๆ …”

ดวงตาอันชั่วร้ายสีครามเข้มของไป๋ตี้เต็มไปด้วยอาการบ้าคลั่ง ส่วนท้องของมันฉีกออกเป็นบาดแผลลึก แทบจะถูกผ่าหน้าอกแหวกช่องท้อง ลำไส้ใหญ่ห้อยโตงเตง

แต่ในปากของมันกัดหัวใจไว้ดวงหนึ่ง ซึ่งก็คือหัวใจของท่านโหราจารย์

ไป๋ตี้เงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย แล้วกลืนหัวใจลงไปในท้องโดยไม่แม้แต่จะเคี้ยว ไม่กี่วินาทีต่อมา ความบ้าคลั่งในดวงตาของมันก็หายไป จิตวิญญาณก่อเกิดและได้สติกลับมา

สีหน้าของไป๋ตี้งุนงงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับคาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้สติกลับมาล่วงหน้า

หลังจากไตร่ตรองคร่าวๆ จึงเข้าใจอะไรบางอย่าง แววตาที่มองท่านโหราจารย์เต็มไปด้วยความโลภ

ท่านโหราจารย์ก้มศีรษะมองไปที่รูขนาดใหญ่ตรงทรวงอกอย่างเชื่องช้า ซึ่งด้านในหัวใจได้ขาดหายไป

‘ฉวยโอกาสเอาชีวิตเขาขณะเขาไม่สมบูรณ์’ …ลำแสงอันรุนแรงยิงออกมาจากดวงตาเฮยเหลียน เทพเจ้าหยางแยกออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กันในทันที แต่รูปร่างของเทพเจ้าหยางทั้งสี่องค์นั้นแตกต่างกัน

ร่างหนึ่งดำขลับราวน้ำหมึก เส้นผมเหมือนวัชพืชใต้น้ำที่กำลังกวัดแกว่ง รอบกายหมุนล้อมด้วยหมอกบางเป็นสายใยที่แปลงจากพลังจิตวารี ร่างหนึ่งแดงทั้งตัว สลักตราเปลวเพลิงไว้ตรงหว่างคิ้ว เส้นผมเป็นเปลวเพลิงซึ่งกำลังแผดเผาอย่างลุกโชน

ร่างหนึ่งราวกับก่อตัวจากกระแสปราณ ไม่ค่อยมั่นคง บางครั้งร่างกายก็เอนเอียง บางครั้งก็ยืดยาว พร้อมที่จะกลายเป็นลมกระหน่ำและหายไปทุกเมื่อ

ร่างหนึ่งปกคลุมไปด้วยเกราะหินทั้งตัว สภาพร่างกายสูงใหญ่ และกระเพื่อมระลอกคลื่นสีดินเหลืองออกมาเป็นวงๆ

ซึ่งนี่ก็คือร่างธรรมทั้งสี่ของลัทธิเต๋า ‘ดิน ลม น้ำ ไฟ’

สิ่งที่บำเพ็ญในช่วงหนีเคราะห์กรรมขั้นสองก็คือร่างธรรมทั้งสี่นี้ หลังจากบรรลุสมบูรณ์ขั้นสอง ร่างธรรมทั้งสี่จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง จากนั้นจึงเผชิญชะตากรรม

เมื่อผ่านพ้นชะตากรรม ร่างธรรมและกายหยาบจะเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถบุคลิกสถานะเซียนครองพิภพ

เดิมทีเฮยเหลียนควรจะบรรลุสมบูรณ์ขั้นสองนานแล้ว แต่จินเหลียนออกจากร่างไปอย่างช่วยไม่ได้ จึงทำให้เขากลายเป็น ‘ร่างไม่สมบูรณ์’ ไม่เพียงสิ้นหวังกับการหนีเคราะห์กรรม กระทั่งพลังต่อสู้ก็ดิ่งลงไปขั้นหนึ่ง

ร่างธรรมทั้งสี่ไม่มีภูมิปัญญา พึ่งพาการควบคุมจากเฮยเหลียนทั้งสิ้น แม้จะมองว่าเป็นหุ่นเชิด แต่ก็ไม่เกรงกลัวอานุภาพคุกคามจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ขวดลายครามบินออกมาจากกระเป๋าเก็บของที่ท่านโหราจารย์ห้อยไว้ระหว่างเอวด้วยตัวมันเอง จุกไม้ดีดออก ยาเม็ดสีเหลืองอร่ามบินเข้าไปในปาก

พริบตานั้น เลือดเนื้อตรงทรวงอกของเขาเลื้อยขยุกขยิก หัวใจงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แม้โหรจะไม่มีความสามารถในการรักษาตนเองของจอมยุทธ์ แต่โหรสามารถซื้อยาอายุวัฒนะที่สามารถชุบชีวิตคนตายและฟื้นคืนเลือดเนื้อให้กระดูกมาพกพาไว้ข้างกายแทนได้

‘รอโอกาสอย่างสงบนิ่ง’ …เฮยเหลียนเรียกร่างธรรมกลับมาอย่างเงียบๆ เลือกที่จะเฝ้าสังเกตแทน

“เจ้าเป็นผู้เฝ้าประตูจริงๆ เสียด้วย”

ไป๋ตี้ยิ้ม บาดแผลที่ส่วนท้องของมันไม่สามารถรักษาได้ พลังของดาบสลักกำลังกัดกร่อนพลังชีวิตของมัน

กลับกัน หลังจากท่านโหราจารย์ทานยาอายุวัฒนะ เขาเหมือนคนที่กำลังจะตายได้ต่อลมหายใจ และกลับมายังจุดสูงสุดในช่วงสั้นๆ

“อย่าขยับ!”

ท่านโหราจารย์ชูมือและยิงมงกุฎแห่งปราชญ์ออกไป

ครั้งนี้ ม่านลวงตาของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็ทำท่าทางเดียวกัน

ร่างกายของไป๋ตี้ดิ่งลง และแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ท่านโหราจารย์กระโดดไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และแทงดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างเรียบง่าย เหมือนอย่างที่จัดการเจียหลัวซู่เมื่อครู่นี้

ซึบๆๆ เขาบนศีรษะของไป๋ตี้ ข้างหนึ่งโลดเต้นด้วยประจุไฟฟ้า ข้างหนึ่งควบรวมกลุ่มแสงสีดำ

สายฟ้ากับจิตวารีไหลมาบรรจบกันระหว่างเขา รวมตัวเป็นกลุ่มพลังงานที่แกนในเป็นสีดำขลับ ส่วนภายนอกห่อหุ้มด้วยแสงไฟฟ้า

พริบตาที่ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แทงมา ไป๋ตี้กู้คืนสิทธิ์ในการควบคุมบางส่วนของร่างกายอย่างสุดกำลัง ศีรษะแหงนขึ้น เขาหันรับดาบสลัก

รังสีอันร้อนแรงระเบิดออก งูไฟฟ้าที่หนาแข็งเป็นสายๆ เต้นเป็นพัลวันเสมือนแส้

พลังจิตวารีพุ่งทะลักไปทั่วทิศทางประหนึ่งเขื่อนแตก

ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ลึกเข้ามาเป็นชั้นๆ ทะลวงการซัดสาดจากพายุพลังงานทั้งสองสาย แทงเข้าไปที่ศีรษะของไป๋ตี้

“โฮก…”

มันแผดเสียงแหลมสูงออกมา

แม้จะเป็นทายาทเทพมารก็มิอาจต้านทานวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเห็นว่าไป๋ตี้กำลังดำเนินรอยตามเจียหลัวซู่ ทันใดนั้นเอง ดวงอาทิตย์ที่แผดร้อนก็โผขึ้นทางทิศตะวันตก

…………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท