บทที่ 724 เข้ามาเลย

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 724 เข้ามาเลย

ดวงอาทิตย์สองดวงปรากฏบนท้องฟ้า ทางตะวันออกหนึ่งดวง ทางตะวันตกหนึ่งดวง

ดวงอาทิตย์ทางตะวันออกลอยอยู่อย่างอบอุ่น ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางตะวันตกนี้กลับเปล่งประกายแสงทอง ย้อมทั่วทั้งทะเลเมฆให้โชติช่วงชัชวาล

นอกจากนำมาซึ่งแสงสว่างและความร้อน มันยังนำมาซึ่งความกดดันอันน่ากลัวหาใดเปรียบ ทำให้รู้สึกราวกับเผชิญหุบเหว เกิดความเกรงกลัวและยอมจำนนจากหัวใจ

สวี่ผิงเฟิง เฮยเหลียน รวมทั้งไป๋ตี้ที่บาดเจ็บสาหัส ข้างหูแว่วเสียงสวดมนต์ที่ยิ่งใหญ่อัศจรรย์

เทียบกับ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ กับ ‘ร่างธรรมเทพารักษ์’ ที่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สำแดงออกมา ดวงอาทิตย์นี้อยู่อีกระดับหนึ่งโดยสิ้นเชิง มันราวกับเป็นการแสดงพลังแห่งสวรรค์และโลก แฝงด้วยพลังอันยิ่งใหญ่เกินควบคุม

“อ๊าก…”

เฮยเหลียนร้องโหยหวนขึ้นมาก่อน ร่างกายที่มีของเหลวหนืดสีดำไหลเวียนถูกแสงทองเผาไหม้ มีควันเขียวพวยพุ่งออกมา

‘ดินน้ำลมไฟ’ ร่างธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ทยอยสูญสลาย กลายเป็นความว่างเปล่า

ภายใต้แสงพุทธะสาดส่อง ไม่ปล่อยให้พลังอันแตกต่างดำรงอยู่

“ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ…”

สวี่ผิงเฟิงพึมพำ

เขามองเพียงแวบเดียวก็เบนสายตากลับทันที โลหิตไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองข้าง

สุดยอดแห่งร่างธรรมทั้งเก้า ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ

นักบวชเต๋าเฮยเหลียนร้องโหยหวนกลายร่างเป็นกระแสน้ำสีดำลอยล่องเข้าสู่ในร่างสวี่ผิงเฟิง อีกฝ่ายรวบรวมค่ายกลป้องกัน รวมทั้งอาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสุด หลบเลี่ยงการเผาไหม้ของแสงพุทธะอย่างยากลำบาก

“ถอย รีบถอย…”

เสียงตกใจลนลานของเฮยเหลียนดังขึ้นในหัวของสวี่ผิงเฟิง

สวี่ผิงเฟิงหันหน้ามองโหราจารย์ รวมทั้งวิญญาณวีรบุรุษระดับกำเนิดปราชญ์ข้างหลังเขาแวบหนึ่ง

ผู้ที่รับมือกับขั้นเหนือมนุษย์ได้ มีเพียงขั้นเหนือมนุษย์

ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ คือร่างธรรมที่สำนักพุทธใช้เพื่อสยบวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ

ผ่านวีรกรรมเว่ยเยวียนปิดผนึกเทพอูที่เมืองจิ้งซาน พวกเขาจะไม่จัดการดาบสลักและมงกุฎแห่งปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างไร

ส่วนสิ่งที่ต่างจากครั้งนั้นของเว่ยเยวียนคือ ไม่ว่าอย่างไรเว่ยเยวียนก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสอง ร่างกายและจิตใจองอาจห้าวหาญ ไม่ใช่ผู้ที่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเทียบได้

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เข้าสถิต ความกดดันที่โหราจารย์ได้รับย่อมรุนแรงกว่าเว่ยเยวียน

บีบให้โหราจารย์เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ ก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง…สวี่ผิงเฟิงน้ำตาโลหิตไหลอาบแก้ม มุมปากกลับเผยยิ้ม

เขาไม่ได้ฝืนต้านแสงสว่างของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ แต่เคลื่อนที่พริบตาถอยไปไกล

‘ฟู่ๆ’

เกล็ดของไป๋ตี้ดำไหม้อย่างรวดเร็ว ควันเขียวพวยพุ่ง มันคำรามด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

โหราจารย์กวัดแกว่งดาบสลัก ในเสียง ‘ฉับ’ กะโหลกของไป๋ตี้หลุดลอย เสียงร้องโหยหวนหยุดลงทันที

ไป๋ตี้ตัวอ่อนยวบ ร่วงหล่นสู่พื้นดินอันกว้างใหญ่เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ โหราจารย์หันข้างช้าๆ มองดวงอาทิตย์ร้อนแรงนั้น วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ข้างหลังก็ทำเช่นเดียวกัน

ในสายตาของโหราจารย์สะท้อนเค้าโครงของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ แสงสว่างเจิดจ้าแผดเผาดวงตาของเขา วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยแสงบริสุทธิ์ ต้านทานแสงสว่างจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะออกไปไกลเกือบสิบเมตร

“พระพุทธเจ้า…”

โหราจารย์ยิ้มมุมปากเช่นเดียวกับกับสวี่ผิงเฟิง

เขาสูดหายใจลึก ยกมือโยนมงกุฎ ไม่ควบคุมพลังของวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

ครู่เดียว รูปร่างวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะยาน จากความสูงประมาณยี่สิบเมตร กลายเป็นยักษ์สูงเกือบเจ็ดสิบเมตร

ฟ้าดินที่นี่ถูกพลังทั้งสองแบ่งแยกเป็นสองส่วนที่แตกต่างกันชัดเจนทันที ส่วนหนึ่งปราณใสทั่วฟ้าดิน อีกส่วนปกคลุมด้วยแสงทองเจิดจ้า

นี่…เห็นวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์สำแดงพลัง สวี่ผิงเฟิงใจจมดิ่ง ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่โหราจารย์จงใจสะกดพลังยิ่งใหญ่ของวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สำแดงพลังทั้งหมด

‘เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือพระพุทธเจ้า?!’

ความคิดนี้แวบผ่าน สวี่ผิงเฟิงที่ดวงตาสองข้างฟื้นคืนการมองเห็น มองโหราจารย์ก้าวไปข้างหน้า ล่วงล้ำสู่เขตแดนที่ซึ่งแสงพุทธะสาดส่อง

ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะรับแรงปะทะระเบิดแสงที่ยิ่งร้อนแรงยิ่งเจิดจ้า แสงทองกลายเป็นแสงขาว กลืนกินวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ในขณะเดียวกัน เสียงสวดมนต์ยิ่งกระชั้นชิดยิ่งดังกังวาน ราวกับนักบวชหลายร้อยหลายพันคนท่องบทสวดพร้อมกัน เสียงพุทธะดังสนั่นทั่วฟ้าดิน

ในมหาสมุทรแสงพุทธะสว่างไสวไร้ที่สิ้นสุด ชุดขาวของโหราจารย์เกิดไฟลุกลาม เนื้อหนังปรากฏรอยไหม้แดง วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็จางหายไปไม่น้อย

ดาบสลักในมือถูกแผดเผาจนเปล่งแสงแดงก่ำ

แต่นี่ไม่อาจขัดขวางฝีเท้าของโหราจารย์และวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ที่มีโชคชะตาเป็นรากฐานทั้งสองท่าน ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแน่วแน่

ทุกย่างก้าวที่พวกเขาขยับเขยื้อน ปราณใสทั่วท้องฟ้าก็ทยอยกัดกร่อนเขตแดนแสงพุทธะ

เจ็ดสิบเมตร ห้าสิบเมตร สามสิบเมตร สิบห้าเมตร…แต่เมื่อโหราจารย์พาวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ล่วงล้ำสู่ ‘พระอาทิตย์ร้อนแรง’ จนถึงสิบเมตร จู่ๆ ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะที่ขาวสว่างเจิดจ้าก็สำแดงร่างทอง

ร่างทององค์นี้หน้าตาเลือนราง รูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย สองมือถือดอกไม้ นิ่งเงียบนั่งขัดสมาธิ

พระอาทิตย์ร้อนแรงหลังศีรษะ ก็คือร่างธรรมพระมหาไวโรจนะที่ปลดปล่อยแสงสว่างและความร้อนเมื่อครู่

ร่างธรรมนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

‘เปรี้ยง’…โหราจารย์ที่เผชิญกับสายตาของร่างธรรม ในหัวดังก้องดั่งสายฟ้าฟาด วิญญาณราวกับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จิตสำนึกสูญสิ้นทันที

นี่ก็คือร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ สุดยอดแห่งร่างธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า รากฐานการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ยามนี้ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือ กุมมือที่ถือดาบสลักของโหราจารย์ ยื่นไปข้างหน้าเบาๆ

‘ฉึก’…ร่างธรรมสีทองที่หน้าตาเลือนราง หน้าผากแตกร้าว รอยแตกลุกลามอย่างรวดเร็ว กระจายไปทั่วร่าง

ครู่ต่อมา ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะพังทลาย

มันหดกลับสู่ส่วนพังทลายกลายเป็นดวงอาทิตย์สีทอง หยุดชะงักชั่วครู่ ระเบิดออกทันที

มองขึ้นไปจากพื้นดิน จะเห็นเหนือทะเลเมฆ คลื่นยักษ์สีทองแผ่ขยายซ้อนกันเป็นชั้นๆ กระจายครึ่งท้องฟ้า

สวี่ผิงเฟิงหลับตาทันที รู้สึกถึงอาการสั่นเทิ้มจากจิตวิญญาณ ค่ายกลป้องกันตัวและอาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสุดทยอยแตกสลาย บอบบางราวกับกระจก

ขณะที่การป้องกันทั้งหมดถูกทำลาย เขาเคลื่อนที่พริบตาไปไกลแล้ว

อรัญตา

ส่วนลึกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธลูกนี้ แว่วเสียงคำรามแหบแห้งโหยหวน แยกไม่ออกว่าโกรธแค้นหรือเจ็บปวด

จากนั้นทั่วทั้งเทือกเขาสั่นสะเทือน ราวกับแผ่นดินไหว ธารน้ำแข็งบนยอดเขาพังทลาย เบียดเสียดซึ่งกันและกัน ก่อตัวเป็นหิมะถล่มขนาดใหญ่

หิมะถล่มขนาดมโหฬารเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ก็ถูกเขตปราณไร้รูปร่างขวางไว้ หิมะนับหมื่นตันปะทะกับเขตปราณดัง ‘ครืน’ ภายใต้เขตปราณคือเขตพักอาศัยของภิกษุสำนักพุทธ โบสถ์และวิหารกระจายอยู่ทั่ว

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์มีสีหน้าเปลี่ยนไป หันหน้าทันที มองส่วนลึกของอรัญตา

พระโพธิสัตว์หลิวหลีหน้าถอดสี คิ้วงามขมวดแน่น ไม่อาจฟื้นคืนความเยือกเย็นเช่นเดิม

ข้างสระน้ำแข็ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่นั่งขัดสมาธิบนฐานดอกบัว นักบวชอาซูหลัวผู้อัปลักษณ์ที่ยืนข้างสระน้ำ หันหน้าพร้อมกัน มองส่วนลึกของอรัญตา

“เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พูดเสียงเบา

เขาหมายถึงเสียงคำรามเมื่อครู่

พระพุทธเจ้า? เสินซู? หรือเป็นระดับเหนือมนุษย์ผู้นั้นที่อาจมีอยู่จริง?

อาซูหลัวส่ายหน้าเล็กน้อย

“ไม่รู้

“แต่มองออกว่าครั้งนี้พวกเราเอาเปรียบไม่ได้ ซ้ำยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือตรงกับแผนของโหราจารย์พอดี”

พระอาทิตย์ดวงนั้นที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ หายไปกลางอากาศ

แม้ไม่ได้ข่าวล่วงหน้า สองคนก็เดาได้ว่าหายไปเพราะต่อสู้กับโหราจารย์

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้า

“ไม่อาจดูถูกโหราจารย์ได้เลย พลังยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของโหรขั้นหนึ่งไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการวางแผน”

เว้นวรรคเล็กน้อย พระชราพึมพำว่า

“ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ต้องเสียเปรียบถึงเพียงใด”

อาซูหลัวพยักหน้า พูดต่อ

“ในเมื่อร่างธรรมพระมหาไวโรจนะลงมือ งั้นหมายความว่าสงครามทางชิงโจวนั้นจะเห็นผลลัพธ์แล้ว

“นอกจากนี้ ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะที่ปรากฏขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อนไม่ใช่เสินซู”

ข้อสงสัยนี้ ยามนี้นับว่าเฉลยออกมาแล้ว

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นิ่งเงียบใคร่ครวญ

ชายแดนตอนใต้

เขาหมื่นปีศาจ เจดีย์ที่เพิ่งบูรณะซ่อมแซมสั่นสะเทือนเล็กน้อย ลำตัวของเสินซูเดินออกจากเจดีย์ ยืนอยู่บนยอดเจดีย์ มองไปทางทิศตะวันตก

“เป็นอะไรไป เสินซู!”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางปรากฏตัวข้างกายเขา รูปโฉมหยาดเยิ้ม ผมสีเงินหางจิ้งจอก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น

เสินซูพึมพำ “เขากำลังขอความช่วยเหลือ เขาต้องการกลับสู่ร่างสมบูรณ์”

ได้ยินคำพูดนี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเผยยิ้ม พูดว่า

“ดูท่าสงครามชิงโจวจะเห็นผลลัพธ์แล้ว”

เสินซูไม่พูด เพียงขยับตัวเล็กน้อย

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มหวานพูดว่า

“ข้าเป็นพันธมิตรกับโหราจารย์ตั้งนานแล้ว เขาเคยพูดไว้ ขอเพียงข้าช่วยสวี่ชีอันทุกเรื่อง ช่วยเขาเติบโต เขาก็จะช่วยข้าในระดับหนึ่ง ช่วยข้าแย่งศีรษะของเจ้าคืน

“เพียงแต่ นี่ต้องรอลูกศิษย์เขาก่อกบฏก่อน”

เสินซูพูดช้าๆ “เหตุใด”

หลังจากที่ร่างกายกลับมารวมกัน จิตเดิมของเขาได้รับความสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง ไม่สุดขั้วขนาดนั้นแล้ว แน่นอน ถ้าถูกกระตุ้น ก็ยังไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่ายหน้า

“โหราจารย์เป็นนักวางหมากโดยกำเนิด ไม่มีผู้ใดเดาความคิดของเขาได้ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะทำอะไร ต้องการอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าเขาวางแผนอะไร สวี่ชีอันอยู่ในตำแหน่งสำคัญบนกระดานหมากของเขาเสมอ

“จับตาดูสวี่ชีอัน อาจมองการวางหมากของโหราจารย์ออกไม่มากก็น้อย”

ส่วนนางมองอะไรออก ไม่ได้พูดออกมา

เสินซูก็ไม่ได้สนใจ พูดว่า

“บนร่างเจ้าผู้นั้นยังมีแขนอีกข้างของข้า มันสมดุลอารมณ์รุนแรงของข้าได้”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพูดอย่างจนปัญญา

“นี่ทำได้เพียงรอโอกาส ไม่ว่าเป็นตู้เอ้อร์หรืออาซูหลัว พวกเราก็จับไม่ได้ นอกจากจะโจมตีอรัญตา”

เสินซูพยักหน้า “พรุ่งนี้ก็ไปโจมตี”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตวาดว่า

“ไม่ได้! เจ้าไสหัวกลับไปในเจดีย์เถอะ ออกมานานแล้ว สติเริ่มหลุดลอยอีกแล้ว!”

เสินซูนิ่งเงียบ กระโจนลงจากยอดเจดีย์ กลับสู่ข้างใน

หลังจากที่แสงทองสูญสลาย เหนือทะเลเมฆ เหลือเพียงรูปร่างมนุษย์ไหม้เกรียม

ผ่านไปไม่กี่วินาที ก้อนเนื้อไหม้เกรียมแตกออก เผยให้เห็นโหราจารย์ร่างเปลือยเปล่า

เขาเหวี่ยงมือขึ้นไปในอากาศ คว้าเสื้อคลุมสีขาวมาห่มร่าง มงกุฎแห่งปราชญ์กับดาบสลักในมือกลายเป็นแสงกระจ่างกลับสู่สำนักอวิ๋นลู่

ลมหายใจของโหราจารย์อ่อนแรงถึงขีดสุด แม้ภายนอกเขาไร้ซึ่งบาดแผล

กายเนื้อก็ทรุดโทรมไม่น้อย ผิวที่เดิมทีมีสีแดงเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยรอยย่น เกิดรอยกระ

“บริสุทธิ์ยิ่งกว่าพระ…”

โหราจารย์พึมพำ ยกมือลูบคิ้ว คาง และศีรษะ สัมผัสได้ถึงผมขาวนุ่มลื่น เคราขาว และคิ้วขาว

ฟื้นคืนท่าทางของโหรขั้นหนึ่งแล้ว โหราจารย์หันหน้า มองทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้า จากนั้นกวาดตามองทางขวาแวบหนึ่ง

ทะเลเมฆแหวกออก เงาร่างไม่สมบูรณ์สองร่างกลับสู่เหนือเมฆ แบ่งเป็นพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และไป๋ตี้

ฝ่ายแรกลำคอว่างเปล่า รอยขาดเปรอะเปื้อนเลือดเนื้อ ราวกับมนุษย์ศพหัวขาด

ฝ่ายหลังกะโหลกเปิดออก เห็นสมองรูปร่างราวกับมันฮ่อรำไร ลำไส้ห้อยต่องแต่งตรงช่วงท้อง

ร่างกายของพวกเขาไม่อาจฟื้นคืน พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขัดขวางการฟื้นฟูเลือดเนื้อ

แต่ในฐานะที่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เป็นยอดฝีมือด้านการป้องกันอันดับหนึ่งใต้ระดับเหนือมนุษย์ รวมทั้งเทพปีศาจที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคบรรพกาลเช่นไป๋ตี้ ถือเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็ไม่เกินไป หวังฆ่าพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย

“เจ้าทำอะไรกับพระพุทธเจ้า!”

เสียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ดังออกมาจากร่างกาย

“ภายหลังเจ้าจะรู้เอง”

ท่านโหราจารย์พูดเสียงเรียบ

ยามนี้ สวี่ผิงเฟิงเคลื่อนย้ายพริบตากลับมา ยืนอยู่ระหว่างไป๋ตี้กับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

นักบวชเต๋าเฮยเหลียน ‘คลาน’ ออกมาจากในร่างเขา ยืนเคียงข้างกัน

เพียงชุดสีขาว เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสูงสุดสี่ท่านอีกครั้ง

แต่กลิ่นอายของสองฝ่าย เทียบกับยามเริ่มต่อสู้ ต่างก็ลดลงฮวบฮาบ มีเพียงสวี่ผิงเฟิงยังค่อนข้างสมบูรณ์

“ใช้การไม่ได้แล้ว”

ท่านโหราจารย์ถอนใจ “ถ้าอยู่ในช่วงสูงสุด ยามนี้พวกเจ้าหนีไปได้แล้ว”

ขณะพูด เขาเหวี่ยงมือขวาไปกลางอากาศอีกครั้ง คว้าแผ่นทองสัมฤทธิ์แปดเหลี่ยม แผ่นนี้ด้านหลังสลักพระอาทิตย์พระจันทร์ภูเขาแม่น้ำ ด้านหน้าสลักแผนภูมิสวรรค์ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น โลกนี้ก็เดือดพล่านตามไปด้วย

พลังแห่งเวไนยสัตว์พรั่งพรูออกมา หลั่งไหลเข้าสู่ร่างโหราจารย์ราวกับสายธาร

กลิ่นอายของเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที

ปราณใสแวบผ่านนัยน์ตา จ้องมองสี่คน

“เข้ามาเลย!”

…………………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท