บทที่ 727 ควันหลง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 727 ควันหลง

“แค่กๆ…”

สวี่ผิงเฟิงปิดปากไออย่างรุนแรงจนเลือดไหลออกมาระหว่างนิ้ว

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งจึงได้หยุดลงแล้วถอนหายใจแผ่วเบา

“ครึ่งชีวิตหายไปเสียแล้ว ท่านโหราจารย์ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”

เขากวาดตามองทุกคนแล้วแนะนำว่า “กลับไปรักษาตัวก่อนดีกว่า อาการบาดเจ็บของพวกท่านไม่น้อยเลย ส่วนข้าก็ต้องใช้เวลาหล่อหลอมโชคชะตาแห่งชิงโจวด้วย”

เมื่อเอ่ยถึงสภาพของพวกเขาสามคนกับหนึ่งสัตว์ สวี่ผิงเฟิงนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาเกือบจะตายอยู่ในมือของท่านโหราจารย์แล้ว ที่บอกว่าครึ่งชีวิตหายไปนั้น ความจริงคือกำลังแสดงความเคารพ

ศีรษะของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่อาจงอกขึ้นใหม่ได้อีกต่อไป พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กัดกร่อนร่างวิญญาณของเขาและลดทอนกำลังลง จึงจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อหล่อหลอมและขจัดออก

สภาพกายเนื้อของ ‘ไป๋ตี้’ ย่ำแย่ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ อีกทั้งผู้พิทักษ์ประตูก็อยู่ในมือ ตอนนี้มันเพียงแต่อยากจะส่งหอกยาวกลับไปนอกทะเลเพื่อความสบายใจ

ส่วนนักบวชเต๋าเฮยเหลียน เขาไม่ได้ถูกท่านโหราจารย์เพ่งเล็ง จึงบาดเจ็บน้อยที่สุด

ด้วยสภาพเช่นนี้ พวกเขาล้วนแต่ไม่กล้าบุกสังหารตรงไปยังเมืองหลวง

“รุ่นแรกสิ้นไปแล้วยังเหลือผู้รับช่วงต่อ เราทำให้ท่านโหราจารย์ต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในเมื่อเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเหมือนกัน แต่ใครจะรับประกันได้ว่าท่านโหราจารย์จะไม่มีคนรับช่วงต่ออยู่อีก?”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มั่นคงแน่วแน่มาก

“การต่อสู้ครั้งนี้เรากำจัดท่านโหราจารย์ได้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

นักบวชเต๋าเฮยเหลียนแค่นเสียง ‘เฮอะ’

“ก็มีแค่สวี่ชีอันคนเดียว ไม่อาจทำให้เกิดคลื่นลมอันใดได้หรอก อย่างมากก็เพิ่มลั่วอวี้เหิงหรือซุนเสวียนจีมาอีก อืม ยังมีเจ้าเศษเดนจินเหลียน นั่นก็น่าจะถึงขั้นสามแล้ว”

สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ “อย่าลืมล่ะว่ายังมีโค่วหยางโจว”

แต่แล้วอย่างไร อย่ามองว่าในต้าฟ่งมียอดฝีมือเหนือสามัญมากมาย แต่ล้วนเป็นขั้นสองขั้นสามกันทั้งนั้น ส่วนฝ่ายตนแค่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่คนเดียวก็สามารถสยบลั่วอวี้เหิง โค่วหยางโจว และสวี่ชีอันได้แล้ว เขาสามารถจัดการจนพวกนั้นไม่มีกำลังโต้กลับได้เลย

ไหนจะยังมีไป๋ตี้ เฮยเหลียน จีเสวียน และโหรขั้นสองสูงสุดอย่างเขาอีกคน

รอให้พิชิตชิงโจวและหล่อหลอมโชคชะตาชิงโจวเสร็จ พลังของเขาก็จะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง

ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว…มู่หนานจือนั่งยองอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน แววตาสับสนงุนงง

“มะ หมายความว่าอะไร?”

นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

มู่หนานจือไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางรู้ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน สีหน้าของสวี่ชีอันย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และตอนนี้เขาก็ไม่ได้ส่องกระจก

ไม่อย่างนั้นก็คงได้เห็นสีหน้าราวกับตนได้เผชิญกับหายนะและกำลังเข้าใกล้วันสิ้นโลกไปแล้ว

ในความเข้าใจของเทพดอกไม้ผู้กลับชาติมาเกิด ความดื้อรั้น ความเย่อหยิ่ง และความโอหังที่ฝังอยู่ในกระดูกของชายผู้นี้ไม่อาจทำให้เขายอมจำนนได้แม้ความตายจะมารออยู่ตรงหน้า

แต่สีหน้าหมดหวังเมื่อครู่นั่นเป็นภาพที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้นางเกิดความรู้สึกลนลานอย่างไม่รู้สาเหตุ

“หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาเยือน…”

สวี่ชีอันที่ฟื้นตัวในขั้นแรกเอ่ยอธิบายออกมาคร่าวๆ แล้วหยิบหอยสังข์กระแสจิตออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนส่งกระแสจิตลงไป

“ศิษย์พี่ซุน ท่านโหราจารย์เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่”

อาณาจักรกำลังจะพินาศ โชคชะตาส่งเสียงเตือน เขารู้ว่าท่านโหราจารย์เกิดปัญหาขึ้นแล้ว แต่สัมผัสรับรู้ไม่อาจบอกรายละเอียดให้เขารู้ได้

สังข์กระแสจิตเงียบสนิทไม่มีเสียงตอบกลับ แม้แต่คำเดียวก็ไม่มี

สวี่ชีอันรอคอยอย่างร้อนรนพลางคิดใคร่ครวญไปด้วย จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างที่ชิงโจวเป็นแน่ จากสถานการณ์ในตอนนี้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ด้วยพลังของสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ อย่างมากที่สุดคือรั้งท่านโหราจารย์ไว้ แต่ไม่สามารถคุกคามอะไรท่านโหราจารย์ในถิ่นของชิงโจวได้เลย แต่ท่านโหราจารย์ก็เจอเคราะห์ร้ายเข้าแล้วจริงๆ…ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีผู้ช่วยอีกแน่

ตอนนี้ถ้าพิจารณาบรรดากองกำลังใหญ่ๆ ในจิ่วโจว จากทัศนคติที่พวกสำนักพ่อมดมีแต่ภาคกลาง พวกเขาจะต้องกำลังนั่งบนภูดูเสือกัดกันอย่างแน่นอน หรือถึงขั้นเกิดความคิดเช่นนกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์[1] แต่ดูจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน สำนักพ่อมดย่อมไม่อยากให้ต้าฟ่งพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้แน่

พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุนัขจะกัดกันแรงขึ้นกว่านี้อีก ดังนั้นพ่อมดใหญ่อย่างซ่าหลุนอากู่คงจะไม่เข้าร่วม

ในส่วนของกองกำลังอื่น เผ่าพันธุ์กู่นั้นไม่มีทางมองว่าต้าฟ่งเป็นศัตรูแน่ ทั้งยังยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจ พลังวิญญาณก็ล้วนแต่นำไปป้องกันห้วงเหวลึกทั้งนั้น ส่วนทางฝั่งอรัญตามีปีศาจทางใต้จับตามองอยู่ หากพวกเขากล้ารุกรานภาคกลางเพื่อช่วยสวี่ผิงเฟิง จิ้งจอกเก้าหางก็ต้องพาราชาหมีและเสินซูไปสยบอรัญตาและปลดผนึกศีรษะของเสินซูตั้งนานแล้วสิ แต่จากการสื่อสารระหว่างไป๋จีกับนางก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่มีความคิดด้านนี้เลย

ปีศาจทางเหนือสิ้นแล้ว ปีศาจจู๋จิ่วที่เป็นขั้นสามก็ยากจะผงาดขึ้นมาได้

ส่วนบรรดาผู้อยู่เหนือสามัญที่นอกเหนือจากกองกำลังใหญ่ๆ นั้น ตัดนิกายสวรรค์ออกไปได้เลย เฮยเหลียนจากนิกายปฐพีคิดจะสู้ตายกับพรรคฟ้าดิน ส่วนข้า ในฐานะที่เป็นคนที่เนื้อหอมที่สุดในพรรคฟ้าดิน ย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งอยู่แล้ว

ไป๋ตี้เป็นเผ่าต้าฮวง เผ่าต้าฮวงวางแผนที่จะเป็นผู้พิทักษ์ประตู จึงมีการติดต่อกันกับสวี่ผิงเฟิง แต่ไม่แน่ว่าเขาจะยอมลงมือจัดการท่านโหราจารย์ เพราะไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันโดยตรง และสวี่ผิงเฟิงก็ไม่แน่ว่าจะมีข้อต่อรองที่พอจะทำให้เขาหวั่นไหวได้ ดังนั้นสัตว์ตนนี้จึงอยู่ในหมวดหมู่น่าสงสัย

ดังนั้นอาศัยแค่เฮยเหลียนเข้ามาร่วงวง ก็ย่อมไม่อาจคุกคามท่านโหราจารย์ได้ สวี่ผิงเฟิงจะต้องมีไพ่ตายอย่างอื่นอีกแน่…

เมื่อวิเคราะห์ถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็คาดเดาบางอย่างได้…โหราจารย์รุ่นแรก!

โหราจารย์รุ่นแรกแซ่ไฉ และสุสานที่ตระกูลไฉเฝ้าอยู่ก็คือสุสานของโหราจารย์รุ่นแรก ซึ่งผิงเฟิงก็ได้รวบรวมแผนที่และเข้ายึดครองสุสานแห่งนั้นได้แล้ว

ถ้าหากบนโลกนี้ยังมีสิ่งที่สามารถคุกคามปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้ เช่นนั้นก็มีแต่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเท่านั้น

ตอนนี้เอง หอยสังข์กระแสจิตก็มีเสียงของผู้พิทักษ์หยวนดังขึ้น

“ฆ้องเงินสวี่ ข้าคือผู้พิทักษ์หยวน”

สวี่ชีอันพลันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ แล้วลุกลี้ลุกลนคว้าหอยสังข์กระแสจิตไว้ จากนั้นนำมาแนบที่หูแล้วเอ่ยถามอย่างเร่งด่วน

“เจ้าว่ามา!”

ทางนั้นเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นผู้พิทักษ์หยวนจึงเอ่ยว่า

“มารดามันเถอะ อาจารย์โหราจารย์ไม่มีทางตายสิ…ข้าจะฆ่าเจ้าพวกเศษสวะจากอวิ๋นโจว…ท่านโหราจารย์ไม่มีทางตาย ไม่มีทาง…มารดาเถอะ มารดามันเถอะ….ตอนนี้จะทำอย่างไรดี…อาจารย์ท่านโหราจารย์ไม่มีผู้สืบทอด…อาจารย์ถูกฆ่าจริงหรือ? มารดามันเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้าพวกเศษสวะจากอวิ๋นโจวกลุ่มนั้น…”

นี่คือความในใจที่จริงแท้ที่สุดของซุนเสวียนจี

ท่านโหราจารย์ สิ้นแล้ว สภาพจิตใจของศิษย์พี่ซุนพังทลายแล้ว…สวี่ชีอันฟังด้วยสีหน้าหมองคล้ำ ดวงตาค่อยๆ เบิกขยาย

เขาวางหอยสังข์กระแสจิตในมือไว้เงียบๆ แล้วนั่งลงเงียบๆ

มู่หนานจือนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขาโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง จิ้งจอกขาวตัวน้อยในอ้อมกอดขดม้วนตัวอยู่ในอ้อมแขนของนาง โผล่ออกมาเพียงดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งที่มองมาที่เขาอย่างระมัดระวัง

ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็เอ่ยถามขึ้น

“สถานการณ์ที่ชิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”

ผู้พิทักษ์หยวนเงียบไปครู่หนึ่ง

“ความในใจของศิษย์พี่ซุนไม่ได้บอกข้า…”

ในหัวของซุนเสวียนจีสับสนอลหม่านไปหมดแล้ว

“แต่คาดว่าชิงโจวคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ข้าเดาว่าคงต้องถอยไปที่ยงโจว” ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยการคาดเดาของตัวเองอกมา

“ข้าเข้าใจแล้ว…” สวี่ชีอันจบการส่งกระแสจิตเพียงเท่านั้น

เผ่าพันธุ์กู่

ที่ขอบของหุบเหวลึก แม่ย่าเทียนกู่นำเหล่าผู้นำเหนือสามัญทั้งหลายเตรียมเข้าไปชะล้างอสูรกู่และหนอนกู่ในเหวลึก แต่ฉับพลันนั้นก็นั่งงันแล้วเงยหน้ามองไปทางเหนือ

ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่และยอดฝีมือขั้นสี่ที่อยู่ข้างกายก็พากันหยุดฝีเท้าไปตามๆ กัน

เยียนมองไปยังหลวนอวี้ผู้มีกิริยานวยนาด พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย

“แม่ย่าเป็นอะไรหรือ?”

แม่ย่าเทียนกู่เงียบไปนาน สีหน้าก็หนักอึ้ง

“ท่านโหราจารย์ สิ้นแล้ว…”

เทียนกู่สามารถมองเห็นภาพของอนาคตได้เป็นครั้งคราว และในชั่วขณะเมื่อครู่ แม่ย่าเทียนกู่ก็ได้มองเห็นแท่นแปดทิศในหอดูดาวของต้าฟ่ง

นั่นเป็นแท่นแปดทิศที่ว่างเปล่า

ในฐานะปรมาจารย์เทียนกู่ขั้นสอง นางให้ความสำคัญกับมุมหนึ่งของอนาคตเสมอ

หลังจากอ่านดูอย่างละเอียดแล้ว นางก็เข้าใจความหมายของอนาคตมุมนั้น…หลังจากนี้ต่อไป ต้าฟ่งจะไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว!

‘ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว…’ ผู้นำเหนือสามัญของเผ่าพันธุ์กู่ในที่นั้นต่างเผยสีหน้างุนงง

‘อะไรคือท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว?’

‘ท่านโหราจารย์จะสิ้นชีพได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นต้าฟ่งจะเป็นอย่างไร?’

หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อพวกเขารู้ข่าวนี้คงจะต้องกู่ก้องร้องโห่ดีใจกัน แล้วเฉลิมฉลองที่ต้าฟ่งสูญเสียนักบุญอุปถัมภ์ผู้นี้

แต่บัดนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ผูกติดอยู่บนเชือกเส้นเดียวกับต้าฟ่ง แต่ก็ได้ลงทุนลงแรงไปด้วยเหมือนกัน

โดยเฉพาะผู้นำเผ่าลี่ ซิน ซือ และอั้น ในใจพลันตกไปที่ตาตุ่ม ฉุนเอียนแห่งเผ่าซินกู่เอ่ยพลางขมวดคิ้ว

“แม่ย่า นี่หมายความว่าอันใด?”

แม่ย่าเทียนกู่ส่ายหน้า

“ข้าเพียงแต่มองเห็นว่าท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว บางทีอาจจะจบชีวิตหรืออาจจะถูกผนึก รายละเอียดมากกว่านี้ข้าไม่รู้”

ผู้นำทั้งหลายมีสีหน้าย่ำแย่ในพริบตา

จากความเข้าใจเกี่ยวกับเทียนกู่ของพวกเขา ในเมื่อแม่ย่าบอกข้อมูลนี้ให้รู้ นั่นก็หมายความว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการเผยแพร่ความลับของสวรรค์

“นี่มัน…” หลวนอวี้ขมวดคิ้วขนงอันงดงามของนาง

“เมื่อไม่มีท่านโหราจารย์ แล้วต้าฟ่งต้องต่อกรกับอวิ๋นโจวและสำนักพุทธที่ร่วมมือกันในสภาพเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น อย่างนั้นที่เจ้าเด็กนั่นติดค้างค่าชดเชยให้ข้าสามเดือน จะทำอย่างไรเล่า”

โม่ซาง…หลงถูหันหน้ามองไปทางเหนือ

เมืองจิ้งซาน

ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่บนยอดเขารกร้างแล้วมองไปยังทิศใต้

“สังหารอาจารย์ คือชะตากรรมของโหร เจ้าผงาดขึ้นมาโดยการสังหารอาจารย์ จึงต้องจบลงด้วยชะตากรรมสังหารอาจารย์เช่นกัน นี่คือวงจรแห่งเหตุต้นผลกรรม”

เขามองไปยังรูปสลักเทพพ่อมดบนแท่นบูชาที่อยู่ไกลๆ จากนั้นก็ทอดถอนใจออกมาว่า

“เมื่อไม่มีผู้พิทักษ์ประตู ผู้อยู่เหนือระดับอย่างพวกท่านก็คงจะโล่งอกแล้ว เพียงแต่การนำพาเผ่าต้าฮวงมาเยือนจิ่วโจวเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ดีหรือร้าย”

พ่อมดใหญ่ถอนหายใจ

“แม้ท่านจะดับสูญแล้ว แต่เดิมพันระหว่างพวกเรายังคงไม่นับ”

เขายกมือขึ้นไปทางทิศใต้แล้วตะโกนเสียงลั่น

“มา!”

ในค่ายทหารชิงโจวและอวิ๋นโจว ลำแสงสายหนึ่งปะทะพัวพันกันอย่างรุนแรงแล้วพุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

อรัญตา

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์แล้วมองไปยังเงาร่างของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่สะท้อนอยู่ในชามทองคำ

เขาฟังสิ่งที่เจียหลัวซู่เอ่ยจบอย่างนิ่งๆ จากนั้นประนมมือว่า

“อามิตตาพุทธ สิ่งที่ทุ่มเทไปทั้งหมดล้วนคุ้มค่าแล้ว”

ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมา

“เจ้าจงจำไว้ ก่อนที่จะโค่นล้มต้าฟ่งได้ จำเป็นต้องให้สวี่ผิงเฟิงมายังอรัญตา สำนักพุทธไม่อาจทำผิดซ้ำสองอย่างเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้ อีกอย่าง จะต้องระวังสายเลือดเทพมารตนนั้นไว้ให้ดี จนถึงตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าเขามีแผนการอันใด”

เนื่องจากพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่มีศีรษะ จึงไม่อาจพยักหน้าและแสดงสีหน้าได้ จึงทำได้แต่ส่งเสียงตอบรับอย่างเรียบง่าย

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเอ่ยถามอีก

“ต่อไปมีแผนการอย่างไร?”

เสียงของเจียหลัวซู่ก้องกังวาน แต่น้ำเสียงกลับราบเรียบ

“รอให้สวี่ผิงเฟิงหลอมรวมโชคชะตาแห่งชิงโจวเสร็จ รอให้ข้าขจัดพลังจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และฟื้นฟูกำลังเสียก่อน จากนั้นค่อยไปพิชิตทางเหนือ”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเงียบไปพักหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย

“นี่คือวิธีที่ปลอดภัยแล้ว”

สำนักอวิ๋นลู่

จ้าวโส่วอัญเชิญมงกุฎแห่งปราชญ์เอกและดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กลับมายังตำหนักปราชญ์เอก

เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกจากตำหนัก ก่อนจะคำนับไปทางสำนักโหราจารย์

พระราชวัง

จักรพรรดิหย่งซิ่งประทับอยู่ด้านหลังโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมทองคำ มือขวากุมศีรษะแล้วนวดหว่างคิ้วเบาๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

บางคราวเขาก็เงยหน้ามองไปยังประตูใหญ่ของห้องทรงพระอักษรและรอคอยอย่างร้อนใจ

ไม่นานนัก เงาร่างที่เดินอย่างเร่งรีบของจ้าวเสวียนเจิ้นผู้เป็นขันทีรับใช้ก็ปรากฏขึ้น เขาก้าวผ่านธรณีประตูแล้วรีบวิ่งเข้ามา

“เป็นอย่างไรบ้าง ได้พบท่านโหราจารย์หรือไม่”

จักรพรรดิหย่งซิ่งลุกขึ้นทันที สองมือวางกดไว้บนโต๊ะแล้วจ้องจ้าวเสวียนเจิ้นเขม็ง

คนหลังส่ายหน้าเล็กน้อย

“บ่าวพบกับซ่งชิงและได้ถ่ายทอดพระดำริของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ ซ่งชิงขึ้นไปยังแท่นแปดทิศ แล้วบอกว่าท่านโหราจารย์ไม่ได้อยู่ที่สำนักโหราจารย์”

ประกายแสงในแววตาของจักรพรรดิหย่งซิ่งค่อยๆ หม่นลงแล้วนั่งบนบัลลังก์ที่เดิม ก่อนกล่าวอย่างหมดแรงไร้กำลัง

“ซ่งชิงได้กล่าวหรือไม่ว่าท่านโหราจารย์อยู่ที่ใด?”

จ้าวเสวียนเจิ้นส่ายหน้าและราวกับจะเอ่ยบางอย่าง

จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมา”

จ้าวเสวียนเจิ้นเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“ตอนนั้นสีหน้าของซ่งชิงไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ท่าทางเหมือนพูดไม่ถูก ทั้งยังมีความร้อนรนด้วย กระหม่อมลองถามแล้ว เขาก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร บอกเพียงแค่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”

‘อาจจะเกิดเรื่องใหญ่…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งจมอยู่ในความคิด ลางสังหรณ์ไม่ดีก่อตัวขึ้นในใจของเขา

ตอนนี้เอง ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรพร้อมเสียงชุดเกราะ เขากุมมือแล้วโค้งตัวก่อนเอ่ยเสียงดัง

“ฝ่าบาท ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งไป ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเริ่มหนักอึ้งขึ้น

ชิงโจว ที่ว่าการมณฑล

เจ้าพนักงานแต่ละคนพากันเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ รายงานการศึกถูกวางไว้บนโต๊ะของสมุหเทศาภิบาลหยางกง

‘อำเภอหว่านจวิ้นแตกพ่าย กองทัพป้องกันทั้งกองล้วนสิ้นหมดแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นไม่รู้ว่าหายตัวไปที่ใด เป็นตายหรือก็มิรู้…ชีก่วงป๋อปล่อยทัพกบฏและผู้ลี้ภัยเข้ามาปล้นฆ่าสังหารในเมือง หว่านจวิ้นกลายเป็นเศษซากภายในชั่วข้ามคืน…’

‘อำเภอที่อยู่ใกล้เคียงกับตงหลิงแตกพ่ายแล้ว แม่ทัพผู้พิทักษ์จ้าวกว่างนำกำลังสองพันนายล่าถอย ซุนเสวียนจีออกจากค่าย ไม่รู้ไปแห่งใด…’

‘อำเภอซงซานแตกพ่าย ทัพอสูรบินเสียหายไปกว่าครึ่ง แม่ทัพผู้พิทักษ์จู๋จวินนำกำลังต้านรับข้าศึกและสู้ตายจนชีพวาย สวี่ซินเหนียนนำทัพเผ่าพันธุ์กู่ที่เหลือจำนวนแปดร้อยนายและกองทัพป้องกันอีกสามร้อยนายล่าถอย ระหว่างทางพบแม่ทัพฆ่าศึกจัวเฮ่าหรานไล่ล่า สวี่ซินเหนียนถูกดาบฟัน เป็นตายมิรู้…’

ในชั่วข้ามคืน แนวป้องกันที่สองของชิงโจวก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ กองทัพชิงโจวล้วนแต่เสียหายกันอย่างหนัก

เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในชิงโจวไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ นอกจากจะสะเทือนขวัญแล้ว ยังสร้างความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน

“ทุกท่าน ชิงโจวคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ข้าจึงตัดสินใจว่าจะถอยไปตั้งหลักที่ยงโจว”

หยางกงถอนหายใจยาวเหยียดแล้วค่อยๆ กวาดสายตามองเหล่าขุนนางและนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ไปเตรียมเรื่องต่างๆ ให้พร้อมอพยพเถอะ”

สิ่งที่เรียกว่าเรื่องต่างๆ นั้นรวมไปถึงการล้างคลังเสบียงครั้งใหญ่ เก็บสัมภาระทางทหารและเงินทอง และการกวาดต้อนผู้คน

แน่นอนว่าจากตัวอย่างในอดีต การอพยพผู้คนนั้นหมายถึงเหล่าขุนนางชั้นสูงในท้องถิ่น ไม่ใช่ชาวบ้านชั้นล่างอย่างแท้จริง

นี่ไม่ใช่การปฏิบัติต่อชาวบ้านราวกับสุนัข แต่ในช่วงศึกสงคราม ชาวบ้านชั้นล่างไม่ได้มีคุณค่าใดๆ จริงๆ ขุนนางชนชั้นสูงนั้นมีเงิน มีอาหาร และมีคน เมื่อผูกติดกับพวกเขา ราชสำนักก็จะได้รับการตอบแทน (ผลประโยชน์) ที่เกี่ยวข้องได้

ส่วนชาวบ้านชนชั้นล่างนั้นไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น ที่ควรจะปล่อยก็ต้องปล่อย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการฉุดรั้งราชสำนักแทน

ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นเงียบๆ แล้วคำนับให้กับหยางกง ก่อนจะถอยออกจากโถงใหญ่เงียบๆ แล้วหายไปทำธุระของตนเอง

ภายในโถงใหญ่ พริบตาเดียวก็ไร้เงาคนจนเงียบงันไร้สุ้มเสียง

แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลผู้นี้นั่งนิ่งอยู่ในโถง ชั่วพริบตาเดียวก็ราวกับแก่ขึ้นหลายสิบปี

รัชศกหย่งซิ่งปีที่หนึ่ง ฤดูหนาว

ชิงโจวแตกพ่าย สมุหเทศาภิบาลหยางกงสั่งอพยพกองกำลังถอยร่นไปตั้งหลักยังยงโจวและเริ่มการต่อต้านอวิ๋นโจวที่นั่น

ใต้หล้าล้วนสั่นสะเทือน

…………………………………………

[1] นกปากซ่อมกับหอยสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายถึง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันและไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน จนปล่อยให้บุคคลที่สามฉวยโอกาสคว้าผลประโยชน์ไปแทน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท