บทที่ 738 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 738 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (1)

ห้าแสนตำลึงนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการเก็บภาษีหนึ่งปีของราชสำนัก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะด้วย

เพื่อรักษาการดำเนินงานของราชสำนักและสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางทหาร จำเป็นต้องใช้ตำลึงเงินมหาศาล ราชสำนักนั้น ‘ยากจนข้นแค้นและจิตใจท้อแท้’ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องรอฟื้นคืนการเพาะปลูกหลังฤดูใบไม้ผลิถึงสามารถต่อลมหายใจได้อีกหนึ่งเฮือก

ความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของการเจรจาสงบศึกคือ ‘อยู่รอดต่อไป’ อวิ๋นโจวอยากใช้การเจรจาสงบศึกบีบต้าฟ่งเข้าสู่ทางตาย ราชสำนักต้องไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน

จักรพรรดิหย่งซิ่งกล่าวเรียบๆ

“ข้ามีความตั้งใจจะเจรจาสงบศึกกับอวิ๋นโจว ดูท่าเป็นอวิ๋นโจวที่ไม่ยอมเจรจาสงบศึกกับราชสำนัก”

จีหย่วนขมวดคิ้วมุ่น

“ฝ่าบาททำให้ข้าลำบากใจแล้ว กองทัพอวิ๋นโจวของข้ามีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร หากมิใช่เป็นเพราะเสด็จพ่อคำนึงถึงอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า เกรงว่าตอนนี้กองทัพคงบุกประชิดพรมแดนนานแล้ว อวิ๋นโจวเราเจรจาสงบศึกด้วยความจริงใจ เหตุใดในสายตาของราชสำนักถึงดูเหมือนกับกำลังให้ทานขอทาน”

เขาพูดถึงความได้เปรียบของอวิ๋นโจวในสนามรบอีกครั้ง บอกเป็นนัยถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่าย

ได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหย่งซิ่งและบรรดาขุนนางก็ขมวดคิ้ว

ขณะนี้จู่ๆ จีหย่วนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถอนหายใจกล่าว

“ช่างเถอะ ข้าเสนอความเห็นโดยพลการ ถอยหนึ่งก้าว ลดเครื่องบรรณาการในปีนี้ให้ครึ่งหนึ่ง แต่ต้องชดเชยในปีหน้า ฝ่าบาทและใต้เท้าทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

จักรพรรดิหย่งซิ่งแอบถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ทางด้านรายละเอียดปลีกย่อยนั้น มอบให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงลูหารือกับท่านทูตจีเถิด”

รายละเอียดปลีกย่อยที่กล่าวถึงนั้นก็คือการต่อรองราคาต่อ และโต้เถียงกันอย่างสะเปะสะปะ

การอภิปรายงานราชการหน้าท้องประโรง ถกปัญหากันคร่าวๆ เท่านั้น ไม่พูดถึงข้อปลีกย่อย

สวี่หยวนซวงฟังอยู่เงียบๆ พอจะจับอุบายของจีหย่วนได้ เมื่อคืนจีหย่วนกับเก่อเหวินเซวียนใช้หอยสังข์กระแสจิตถกปัญหา วิเคราะห์จิตใจจักรพรรดิต้าฟ่งกับบรรดาขุนนาง และความสามารถในการแบกรับโดยคร่าวๆ มาก่อนแล้ว

ข้อสรุปที่ได้คือ ขีดจำกัดอยู่ที่ระหว่างสองแสนถึงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน (ผ้าไหมคิดแยก)

ระหว่างทางสวี่หยวนซวงยังคิดอยู่ว่า บางทีเงื่อนไขแรกอาจเป็น ‘สงครามที่ดุเดือดรุนแรง’ แต่ด้วยคารมของพี่เก้าคิดว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ตอนนี้ถึงมองออกว่าตนเองยังประเมินจีหย่วนต่ำเกินไป

‘เหตุใดเขาถึงประมาณการได้แม่นยำเช่นนี้…’ สวี่หยวนซวงใจเต้น เดาว่าคงเกี่ยวข้องกับการวางมาดใหญ่โตเพื่อหยั่งเชิงที่นอกเมืองหลวงเมื่อวาน

หลังจากจัดการเงื่อนไขแรกเป็นที่เรียบร้อยในขั้นแรกแล้ว จีหย่วนก็กล่าวต่อ

“เงื่อนไขข้อที่สอง เสด็จพ่อหวังว่าฝ่าบาทจะทรงติดประกาศอย่างกว้างขวางว่ายอมรับเชื้อสายอวิ๋นโจวเราเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง”

บรรดาขุนนางกลับสงบกับเรื่องนี้มาก ไม่มีใครก้าวออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหน้าบึ้งตึงเสียงดังลั่น

“รังแกเกินไปแล้ว!”

เฉียนชินอ๋อง พระอนุชาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวออกไปและจ้องมองจีหย่วนด้วยโทสะ เขาตะคอกออกมา

“กบฏอย่างพวกเจ้าควรคู่ควรกับระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลางหรือ ก็แค่โจรผู้ร้ายที่ยึดครองภูเขาเพื่อประกาศตัวเป็นราชาเท่านั้น”

ในบัดดลนั้นก็มีจวิ้นอ๋องและชินอ๋องสองสามพระองค์ก้าวออกมาผสมโรงด้วย

ซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างจากบรรดาขุนนางอย่างสิ้นเชิง ลักษณะท่าทางของเชื้อพระวงศ์ดูดุเดือดมาก เชื้อสายที่ราบกลางนับว่าเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง แล้วพวกเราล่ะ พวกเราเป็นกบฏหรือ

หากจะสืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแท้ให้ได้ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เพราะอย่างนี้ เชื้อพระวงศ์ต้าฟ่งถึงไม่ตอบตกลงและยอมให้อย่างเด็ดขาด

จีหย่วนมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา เขากวาดสายตามองชินอ๋องและจวิ้นอ๋องสองสามพระองค์ก่อนกล่าวเรียบๆ

“ปีนั้นจักรพรรดิอู่จงได้บัลลังก์มาได้อย่างไร ทุกท่านยังไม่รู้อยู่แก่ใจหรอกหรือ พวกเราก็แค่ต้องการตำแหน่งฐานะของตนเองคืน ซึ่งเป็นเรื่องตามหลักธรรมดาของมนุษย์”

ชินอ๋องที่ก้าวออกมาเมื่อครู่กล่าวตำหนิ

“ห้าร้อยปีก่อน ทรราชไร้ศีลธรรม สนิทชิดเชื้อกับคนต่ำทราม ออกห่างจากขุนนางที่มีคุณธรรม ทำลายล้างบุคคลที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง เพื่อปกป้องรากฐานของบรรพบุรุษ จักรพรรดิอู่จงจึงยืดอกสู้อย่างองอาจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามเจตนาของประชาชน”

จีหย่วนพูดเสียงดังแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

“อดีตจักรพรรดิหยวนจิ่งโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ ลุ่มหลงอยู่กับความงดงามของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ บำเพ็ญเต๋ายี่สิบปีโดยไม่สนใจบริหารบ้านเมือง ส่งผลให้บ้านเมืองไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ เชื้อสายอวิ๋นโจวของข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นรากฐานของบรรพบุรุษถูกทำลายด้วยมือของทรราช ประชาชนลุกฮือขึ้นก่อการก็เป็นเรื่องหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ เป็นการปฏิบัติตามเจตนาของประชาชน”

ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องสองสามพระองค์เดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา

“พูดจาบ้าระห่ำ! ฝ่าบาท เจ้าเด็กนี่ควรถูกประหาร!”

หากให้บรรดาขุนนางมาเลือก นี่เป็นเงื่อนไขที่สามารถตอบตกลงได้โดยไม่ลังเล เพราะไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นแก่นสาร

แน่นอน ก็ใช่ว่าจะไม่มีค่าตอบแทน

พอราชสำนักตอบตกลงเรื่องนี้ ฝ่ายกบฏอวิ๋นโจวก็จะกลายเป็น ‘ผู้ชอบธรรม’ ส่วนประชาชนจะกลับไปสวามิภักดิ์หรือไม่นั้นยังเป็นแค่เรื่องรอง กลัวก็แต่คหบดีเจ้าของที่ดินในชนบทเหล่านั้น และข้าราชการท้องถิ่นจะมีเหตุผลอย่างเต็มปากเต็มคำในการแปรพักตร์ไปบากหน้าพึ่งอาศัยอวิ๋นโจว

ในเมื่อเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง เช่นนั้นก็ไม่นับว่าทรยศ ต่อให้อยากเป็นทหารที่ซื่อสัตย์และยอมพลีชีพเพื่อชาติ ยอมตายแต่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ยังยาก

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น เพราะสถานการณ์ของต้าฟ่งในขณะนี้ ต่อให้รบก็ไม่ชนะ ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ เรื่องที่บรรดาข้าราชการจะแปรพักตร์บากหน้าไปพึ่งอาศัยก็เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น

บรรดาขุนนางไม่ได้รู้สึกขัดอารมณ์กับเรื่องนี้มากนัก

แต่ในสายตาของเชื้อพระวงศ์ การยอมรับอวิ๋นโจวเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากกว่าการเสียเงินห้าแสนตำลึงเงิน เพราะนี่คือการทรยศบรรพบุรุษ

จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้วและกล่าวช้าๆ

“เรื่องนี้ค่อยหารือกันทีหลัง!”

เขาไม่คิดจะทำการตัดสินใจตอนนี้ ถึงอย่างไรการหารือหน้าท้องพระโรงคือการกำหนดแนวคิดพื้นฐานหลัก การเจรจากันระหว่างสองเมืองเกี่ยวพันถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่ซับซ้อน ไม่สามารถบรรลุผลในระยะเวลาอันสั้นได้

ไหนเลยจะคาดคิดว่าจีหย่วนจะมีแนวโน้มมาแรงมาก เขาส่ายหน้ากล่าว

“ก่อนมา เสด็จพ่อกำชับเป็นพิเศษว่า หากฝ่าบาทไม่ตอบรับในเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องเจรจาสงบศึกต่อแล้ว”

นี่เท่ากับว่าปิดการสนทนา

‘หย่งซิ่ง ถ้าเจ้าไม่ตอบตกลง ก็หยุดชะงักการเจรจาสงบศึกกลางคัน อวิ๋นโจวจะไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้เด็ดขาด’

“คิดเพ้อฝันไปแล้ว!”

อวี้อ๋องก็ก้าวออกมากล่าวเสียงทุ้ม

“ข้าเองก็บอกเจ้าได้ว่า เรื่องนี้ราชสำนักจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน”

จีหย่วนยืนเอามือไพล่หลัง และทอดถอนใจกล่าว

“ข้ายอมอ่อนข้อเรื่องเครื่องบรรณาการถึงขนาดนี้ ซึ่งไว้หน้าราชสำนักมากแล้ว ไม่คิดว่าจะได้รับผลตอบแทนเช่นนี้”

สีหน้าเขาอึมครึมขึ้นมาเละกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“พวกเจ้าไม่กลัวกองกำลังทหารม้าหนึ่งแสนนานของพวกข้าหรือ!”

ใช้เหตุผลครอบงำก่อนแล้วค่อยใช้อำนาจ จากนั้นก็ยืดเอวและขับดุนให้เห็นว่าบรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องนั้นเถียงข้างๆ คูๆ ไม่รู้จักว่านี่เป็นการให้เกียรติ

จวิ้นอ๋องคนหนึ่งตะคอกออกมา

“เช่นนั้นก็สังหารเจ้าเซ่นไหว้ธงชาติ!”

จีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ

“หากข้ากลัวตายคงไม่เข้ามาเมืองหลวงหรอก”

ที่จริงจุดประสงค์แท้จริงของการเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ คือการบีบต้าฟ่งให้แบ่งดินแดนให้โดยที่ดาบไม่ต้องเปื้อนเลือด แย่งชิงเขตอิทธิพลคือเป้าหมายสำคัญของอวิ๋นโจว

เพราะยิ่งได้เขตอิทธิพลมามาก โชคชะตาที่ราชครูสวี่ผิงเฟิงหลอมออกมาก็ยิ่งมาก ส่งผลให้เข้าใกล้ปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามากขึ้น

จีหย่วนกัดเงื่อนไขข้อที่สองไม่ปล่อย พอมองดูก็เหมือนกับสนใจแต่สิ่งน้อยๆ ละเลยสิ่งที่สำคัญ แต่ความจริงแล้วมั่นใจมากว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งจะตอบตกลง

เทียบกับผลประโยชน์ที่แท้จริงและช่วงจังหวะความเป็นความตายแล้ว ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต้องเอาไว้ทีหลัง

และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างราชวงศ์ต้าฟ่งสองเชื้อสาย ไม่พัวพันถึงผลประโยชน์หลัก อารมณ์ต่อต้านของบรรดาขุนนางมีไม่มาก

เช่นนั้นอาศัยเชื้อราชวงศ์แค่ไม่กี่พระองค์ ต่อให้จะเอ็ดตะโรโกเฉแค่ไหน ก็ทำได้แค่โมโหอย่างบ้าคลั่งโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

จักรพรรดิหย่งซิ่งจ้องมองจีหย่วนครู่หนึ่งและค่อยๆ กล่าวทีละคำ

“ได้ ข้าตกลง!”

พอคำพูดนี้ออกจากปาก เชื้อพระวงศ์ในท้องพระโรงก็หน้าเปลี่ยนสี และส่งเสียงสูงออกมา

“ฝ่าบาท…”

จักรพรรดิหย่งซิ่งโบกมือและใช้สายตาคมกริบกดดันจนชินอ๋องและจวิ้นอ๋องถอยออกไป

“ข้าตัดสินใจแล้ว!”

สายตาของบรรดาเชื้อพระวงศ์รวมถึงอวี้อ๋องที่มองหย่งซิ่งนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง

จักรพรรดิหย่งซิ่งหันกลับมาทางจีหย่วนและถามขึ้นมา

“เงื่อนไขข้อที่สามคือสิ่งใด”

จีหย่วนยื่นฝ่ามือออกมา นิ้วทั้งห้ากางออก และกล่าวเสียงดัง

“แบ่งดินแดน ต้าฟ่งต้องยกยงโจว อวี่โจวและจางโจวให้พวกเรา”

ภายในตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัดในพริบตา ครู่ต่อมาก็มีวิพากษ์วิจารณ์ดังจ้อกแจ้กจอแจ

ไม่ว่าจะเป็นบรรดาขุนนางและจักรพรรดิหย่งซิ่งต่างก็คาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอวิ๋นโจวจะเสนอข้อเรียกร้องสูงมาก จะต้องเรียกร้องให้ชดใช้และแบ่งดินแดนแน่นอน แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีความต้องการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้เป็นตายมานานเช่นนี้ ต้าฟ่งสูญเสียไปแค่ชิงโจวเท่านั้น

ต่อมาคิดจะอาศัยการเจรจาสงบศึกเอาไปทั้งสามโจวโดยที่ดาบไม่ต้องเปื้อนเลือดหรือ

สมุหเลขาธิการเฉียนชิงซูก้าวไปข้างหน้าแล้วยืนตรง เขากวาดสายตาอันเยือกเย็นมองดูจีหย่วนและคนอื่นๆ ก่อนกล่าว

“แม้จะรักษาชิงโจวไว้ไม่ได้ แต่ต้าฟ่งมีอาณาเขตสิบเอ็ดโจว มีแม่ทัพและทหารมากมาย คิดจริงๆ หรือว่าจะกลัวพื้นที่แคบๆ อย่างอวิ๋นโจว ฝ่าบาทยอมเจรจาสงบศึกกับพวกเจ้า เพราะทนเห็นประชาชนถูกพิษไฟสงครามที่หลงเหลืออยู่ไม่ได้ ใช่ว่าจะหวาดกลัวอวิ๋นโจวของพวกเจ้า”

จีหย่วนหัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนกล่าว

“หากจำไม่ผิดล่ะก็ ก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เว่ยเยวียนนำกองกำลังทหารเกรียงไกรหนึ่งแสนนายไปปราบปรามสำนักพ่อมด เกือบจะพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งกองทัพ นี่คือประการแรก หลังเข้าฤดูหนาวแล้ว ราชสำนักรวมพลกองทัพใหญ่เก้าหมื่นนายอีกครั้ง และปักหลักต่อสู้กับเหล่าทหารหาญของอวิ๋นโจวเราอย่างไม่ถอยที่ชิงโจว สูญเสียไปกว่าครึ่ง นี่คือประการที่สอง กำลังทหารของสามโจวทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือก็ใช้ต้านทานการก่อความวุ่นวายของทหารพันธมิตรดินแดนประจิมทิศ โยกย้ายกำลังทหารไปช่วยเหลือสงครามทางใต้ไม่ได้ นี่คือประการที่สาม มีแม่ทัพและทหารมากมาย มีแม่ทัพทหารมากมายหรือ ขอบังอาจถามสมุหราชเลขาธิการเฉียน ราชสำนักยังมีกำลังทหารที่สามารถต่อสู้กับอวิ๋นโจวเราได้หรือ”

แต่ละประโยคที่จีหย่วนพูดออกมา ทำให้สีหน้าของบรรดาขุนนางในท้องพระโรงดูไม่ได้เล็กน้อย

ลมปากของพวกเขาไม่ยอมรับ แน่ในใจรู้ว่าแต่ประโยคที่จีหย่วนพูดเป็นความจริง แต่ละประโยคทิ่มแทงจุดสำคัญ

สงครามที่เหลยโจวทางตะวันตกไม่รุนแรง ทหารพันธมิตรเมืองต่างๆ ในดินแดนประจิมทิศอาศัยการก่อกวนเป็นหลัก สงครามเล็กๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่มีสงครามใหญ่ ถึงอย่างไรสำนักพุทธก็มีเผ่าปีศาจในซินเจียงตอนใต้ตรึงอยู่

แต่เพื่อป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง ไม่สามารถส่งกำลังทหารจำนวนมากไปได้จริงๆ

เฉียนชิงซูเงียบงันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาก็แค่ไม่ชอบการเล่นสำบัดสำนวน จึงสะบัดแขนเสื้อด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

สมุหราชเลขาธิการตรงหน้าถูกตอกกลับจนรู้สึกโกรธแต่ไม่พูดออกมา บรรดาขุนนางก็มองหน้ากัน ติดใคร่ครวญอยู่ว่าจะโต้กลับอย่างไร

ขณะนี้รองเจ้ากรมการคลังเดินออกมา และกล่าวช้าๆ

“หากจำไม่ผิดละก็ รัชศกหยวนจิ่งที่สามสิบ มีประชากรแปดแสนสามหมื่นครัวเรือนในบันทึกของอวิ๋นโจว บังอาจถามท่านทูตจี สิบครัวเรือนในอวิ๋นโจวเลี้ยงทหารหนึ่งนาย หรือยี่สิบครัวเรือนเลี้ยงทหารหนึ่งนาย กองกำลังทหารม้าหนึ่งแสนนายมาจากไหน อวิ๋นโจวมีกองกำลังทหารเกรียงไกรมากแค่ไหน สามารถคำนวณมูลเหตุได้ อูฐผอมตายยังมีขนาดใหญ่กว่าม้า ต้าฟ่งจะอ่อนแออย่างไร จัดการกองกำลังทหารเกรียงไกรทั้งหมดของอวิ๋นโจวก็เป็นเรื่องสบายๆ”

รองเจ้ากรมการคลัง มีความอ่อนไหวต่อค่าภาษีที่นา สมุดสำมะโนครัวเรือน ประชากรและอื่นๆ มากที่สุด

หลิวหง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายก้าวออกมากล่าวผสมโรงด้วยทันที

“ผลสุดท้ายก็แค่บอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย และอย่าลืมว่าสำนักพ่อมดจ้องจะเขมือบอยู่ข้างๆ พันธมิตรของสำนักพุทธคงไม่ได้ทุ่มเทเพื่ออวิ๋นโจวของพวกเจ้าด้วยใจจริงหรอกกระมัง”

เมื่อครู่เขาพยายามสาธยายสถานการณ์เพื่อพูดเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่มาจากอวิ๋นโจวผู้นี้

แต่ถูกเสียงหัวเราะขัดจังหวะ จีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม

“ใต้เท้าหลิว คำพูดเหล่านี้เอาไว้หลอกเด็กสามขวบก็พอ เล่นคารมต่อหน้าข้า แอบเปลี่ยนแนวคิด ไม่รู้สึกว่ามันน่าขันหรอกหรือ”

เขามองไปทางรองเจ้ากรมการคลัง

“ใต้เท้าท่านนี้กล่าวไม่ผิด แต่แล้วจะอย่างไรล่ะ ตอนนี้ชิงโจวถูกพวกเราควบคุมแล้ว ผู้ลี้ภัยทั้งหมดกลายเป็นทหาร อยากจะจัดการกองกำลังทหารเกรียงไกรของอวิ๋นโจวก็มาลองดูเลย นอกจากนี้ ท่านโหราจารย์ก็ถูกราชครูของพวกเราสังหารที่ชิงโจวแล้ว ไม่มีนักบุญอุปถัมภ์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าจะเอากำลังวังชาจากไหนมาจัดการกองกำลังทหารเกรียงไกรของอวิ๋นโจวเรา”

สุดท้ายก็พูดถึงปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะสูญเสียท่านโหราจารย์ไป จักรพรรดิหย่งซิ่งกับบรรดาขุนนางถึงถูกขู่จนหวาดกลัว ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ยามค่ำคืนนอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ที่น่ากลัวกลุ่มนั้นจะสังหารเข้ามาในเมืองหลวง สังหารเข้ามาในพระราชวัง และฝันว่าตัวเองถูกเด็ดศีรษะไป

เจ้ากรมอาญาซุนได้ยินก็กล่าวตอบโต้

“แม้ท่านโหราจารย์จะเสียชีวิต แต่ใช่ว่าต้าฟ่งจะไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ ซุนเสวียนจีของท่านโหราจารย์ ท่านราชครูลั่วอวี้เหิง และจ้าวโส่วที่เป็นเจ้าสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ ยังมี…สวี่ชีอันด้วย!”

“ไม่ผิด พวกเรายังมีฆ้องเงินสวี่” เหมือนกับปลุกเร้าใจให้ฮึกเหิมอีกครั้งเมื่อมีคนพูดผสมโรงมาอีกหนึ่งประโยค

จีหย่วนยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร ข้าราชการชุดคลุมสีแดงที่อยู่ด้านหลังของเขากล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“แม้แต่ท่านโหราจารย์ยังตายในเงื้อมมือของท่านราชครูของพวกเรา สวี่ชีอันแค่ขั้นสาม คู่ควรที่จะต่อสู้กับเขาหรือ ดูท่าท่านชายเก้าจะนอบน้อมถ่อมตัวเกินไป ทำให้พวกเจ้าคิดว่าอวิ๋นโจวเราจะกลัวต้าฟ่ง อยากเจรจาสงบศึกก็ตอบรับเงื่อนไขของพวกเรา หากไม่อยากเจรจาสงบศึก แน่นอนว่าย่อมมีผู้แข็งแกร่งของอวิ๋นโจวเราสังหารเข้าสู่เมืองหลวง ทำลายพวกเจ้าก่อน จากนั้นกองทัพใหญ่ของอวิ๋นโจวจะบุกประชิดพรมแดน และเข้าสู่ที่ราบกลาง พวกเจ้ายังมีตัวเลือกอื่นอยู่อีกหรือ”

เมื่อถึงที่สุดแล้วเจตนารมณ์ก็เผยออกมา การฉีกหน้าเป็นช่วงวิถีของการเจรจา ฝ่ายที่ถือเบี้ยเหนือกว่าก็นำมาใช้กดดัน

แบ่งดินแดนต้องแบ่งอยู่แล้ว แบ่งมากแบ่งน้อยถึงเป็นข้อปลีกย่อยของการเจรจา

จีหย่วนขยับพัดกระดูกเงินเล็กๆ เบาๆ แล้วกล่าวราบเรียบ

“ฝ่าบาทกับบรรดาขุนนางอาจไม่ทราบรายละเอียดชัดเจนในวันที่ท่านโหราจารย์เสียชีวิต จะว่าไปแล้ว ท่านโหราจารย์แข็งแกร่งไร้คู่ต่อสู้จริงๆ หากไม่ใช่อสูรเทพไป๋ตี้ในตำนานที่ท่านราชครูเชิญมาอวิ๋นโจว และผู้นำเต๋าเฮยเหลียนแห่งนิกายปฐพี การสังหารท่านโหราจารย์คงยากกว่าการขึ้นสวรรค์”

เขาบรรยายช่วงวิถีที่บรรดาผู้แข็งแกร่งล้อมสังหารท่านโหราจารย์ในวันนั้นอย่างช้าๆ แน่นอนล้วนเป็นการปั้นเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้า แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเขาอาศัยช่วงวิถีที่กล่าวถึง ทำให้จักรพรรดิหย่งซิ่งและบรรดาขุนนางรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังของอวิ๋นโจวน่ากลัวเพียงใด

เชื้อพระวงศ์ในท้องพระโรง ขุนนางฝ่ายบุ๋น รวมถึงขุนพลต่างๆ ล้วนมีสีหน้าที่ดูไม่ได้ บ้างก็มีสีหน้าอึมครึม บ้างก็กุมหมัดทั้งสองไว้แน่น บ้างก็หน้าม่อยคอตกอย่างช่วยไม่ได้

ความอัปยศอดสูและการเหยียดหยาม!

จักรพรรดิหย่งซิ่งเอามือบีบหัวคิ้วอย่างอดไม่ได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ดินแดนสามโจวไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ค่อยหารือทีหลัง เงื่อนไขข้อที่สี่คือสิ่งใด”

ความหมายก็คือตอบตกลงแบ่งดินแดนแล้ว ส่วนเรื่องขนาดยังต้องหารือกัน

จีหย่วนกระตุกมุมปาก เป้าหมายของเขาบรรลุแล้ว สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว การเจรจารอบนี้ราบรื่นทุกอย่าง ไม่มีอุปสรรคมากนัก

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เงื่อนไขข้อที่สี่ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เงื่อนไขเพิ่มเติมเท่านั้น”

พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเคร่งขรึมของจักรพรรดิหย่งซิ่งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“พูดออกมา ไม่เป็นไร”

จีหย่วนพับพัดกระดูกเงินเล็กๆ เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’

“ข้าขอคู่มือหลอมอาวุธของท่านโหราจารย์จากฝ่าบาท”

เทียบกับเงื่อนไขทั้งสามในก่อนหน้าแล้ว นี่คือเงื่อนไขเพิ่มเติมจริงๆ แม้ว่าคู่มือหลอมอาวุธของโหรขั้นหนึ่งจักต้องล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่สิ่งของที่มีระดับสูงเกินไปนั้น ไม่สำคัญเท่าผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างแท้จริง

………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท