บทที่ 1339 ความโกลาหลระหว่างนิกาย
บทที่ 1339 ความโกลาหลระหว่างนิกาย
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด และประกายแสงอันร้อนแรงทุกรูปแบบก็ปกคลุมไปรอบ ๆ
การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนทั้งสองนั้น เป็นเหตุการณ์ที่สามารถอธิบายได้ว่า สามารถสั่นคลอนไปทั้งจักรวาล
“เจ้ามังกรปีศาจคำรามอันน่าชัง หลายปีมานี้เจ้าไม่อาจเอาชนะข้าได้ แต่ตอนนี้เจ้ากลับรวมหัวกับพวกบัดซบเหล่านั้น เจ้านี่มีความสามารถจริง ๆ!”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ตะโกนเสียงดังดุจฟ้าลั่น พลันฟันขวางด้วยขวานสีดำขนาดมหึมาเพื่อต้านการโจมตีของศัตรูทั้งหมด
“ฮึ่ม! เจ้าวัวโง่! เป็นเพราะเจ้าเอาแต่หุบหางอยู่ในหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดต่างหาก มีอาจารย์คอยปกป้อง ข้าจึงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ แต่ตอนนี้อาจารย์ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ให้ข้าดูว่าเจ้าจะดิ้นรนต่อไปได้อีกนานเพียงใด!” ชิวเชี่ยนหลินแค่นเสียงเย็น
ในขณะที่กล่าว การกระทำของเขาไม่ได้ช้าลงเลย ตรีศูลสีทองก่อให้เกิดแสงสว่างมากมายนับไม่ถ้วน และแฝงด้วยกฎแห่งราชันเซียนอันเกรี้ยวกราด ขณะทุบลงมาที่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์อย่างดุร้าย
มันบังคับให้มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ดูด้อยกว่าเมื่อต้องเผชิญหน้า และทำได้เพียงกัดฟันต้านทาน สถานการณ์ในยามนี้เลวร้ายอย่างแท้จริง
“อู๋เซียงจื่อ! โผล่หัวออกมาซะ! หยุดลอบโจมตีจากเงามืดเหมือนคนขี้ขลาดได้แล้ว!” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์คำรามอย่างฉุนเฉียว การต่อสู้ครั้งนี้บีบคั้นเกินไป และตระหนักดีว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจจะตายที่นี่จริง ๆ
“หึ หึ! ไอ้โง่ ต่อให้แหกปากร่ำร้องก็ไร้ประโยชน์! นี่คือภูมิภาคบรรลุเทพ! เต๋าแห่งสวรรค์ที่นี่อยู่ในโกลาหลและกรรมก็ถูกซุกซ่อนอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ที่อาจารย์ของเจ้าจะมาช่วยก็ตาม!” ชิวเชี่ยนหลิน หัวเราะอย่างเย็นชา ขณะที่ร่างของเขาวูบไหว และตรีศูลสีทองพุ่งทะลุท้องฟ้า
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วฟ้า มันกระแทกมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จนถึงจุดที่ทั้งร่างเซกลับไป
แต่ก่อนที่จะได้ตอบสนอง ตรีศูลสีทองก็ตวัดกวาดออกไปแนวนอนอีกครั้ง
ครืน!
มันกระแทกเข้ากับร่างของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ทำให้เขากระอักเลือดสีทองออกมาเต็มปาก
“ระยำเอ๊ย! อู๋เซียงจื่อเป็นเจ้าอีกแล้ว! ข้าจะฆ่าแกไอ้สารเลวบัดซบ! แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เดือดดาลเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าตนถูกโจมตีจนกระอักเลือด ดวงตาแดงก่ำ จนต้องร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับวัวศักดิ์สิทธิ์ เขาหันหลังกลับอย่างฉับพลัน จากนั้นก็สับลงไปที่พื้นที่ด้านข้างด้วยขวานสีดำขนาดมหึมาที่อยู่ในมือ
ทว่าก่อนที่ร่างของเขาจะได้ขยับ คลื่นพลังผันผวนที่ไร้รูปร่างก็บังเกิดขึ้นทันที คล้ายแส้เส้นหนาเข้ารัดร่าง จนทำให้การโจมตีนี้พลาดเป้า
ชิวเชี่ยนหลินคว้าโอกาสนี้บุกโจมตีอีกครั้ง ร่างอันทรงพลังบดขยี้ดวงดาวตรงหน้า ตรีศูลสีทองระเบิดแสงเจิดจ้าออกมามากมาย ทำให้ฟ้าดินมืดลงเมื่อเปรียบเทียบกัน
ตู้ม!
การปะทะที่สั่นสะท้านโลกาดังกึกก้อง ร่างกายของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์สั่นสะท้านราวกับว่าถูกฟ้าผ่า เขากระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ใบหน้าขรุขระซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง
ทว่าแววบ้าคลั่งกลับไม่ลดน้อยลงเลย
“ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ขัดขืน หากอู๋เซียงจื่อและข้าไม่สามารถฆ่าวัวโง่ ๆ เช่นเจ้าทั้งที่ร่วมมือกัน เราก็จะเอาหัวโขกกำแพง ปลิดชีพตนเอง” ชิวเชี่ยนหลินเหลือบมองมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์อย่างเย่อหยิ่ง จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเสียงกัมปนาท
คล้ายตั้งใจกำจัดมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ในการโจมตีนี้
ตู้ม!
ทว่าปราณกระบี่แสงอันยิ่งใหญ่ได้ฉีกผ่านชั้นบรรยากาศ ผ่านดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วน มันเปี่ยมด้วยอานุภาพสูงสุดขณะที่ฟันลงมา
“ผู้ใดกัน!” ชิวเชี่ยนหลินตกตะลึง สะบัดตรีศูลเพื่อต้านรับปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างฉับพลันนี้
โครม!
แสงสว่างเจิดจ้า คล้ายภูเขาไฟสองลูกชนกันกลางอากาศ ทำให้เกิดแรงที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
ชิวเชี่ยนหลินถึงกับถอยร่นจากพลังโจมตีนี้ คลื่นพลังทำลายดวงดาวจนแหลกสลายเป็นผุยผง ในขณะที่สีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“กระบี่เทพลึกลับ!” เขาตะโกนด้วยความตกใจและเดือดดาลสุดขีด เป็นเพราะจำตัวตนของบุคคลที่เปิดฉากโจมตีครั้งนี้ได้
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ก่อนที่จะได้ตีโต้กลับ แสงหลากสีเก้าดวงก็พุ่งทะลุท้องฟ้า พวกมันล่องลอยราวกับภาพฝัน เข้ามัดร่างของชิวเชี่ยนหลินที่สูงเทียมฟ้าไว้
“มงกุฎหยกเก้ากระจ่าง!” ชิวเชี่ยนหลินร้องออกมาอย่างตระหนก ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว นอกจากนี้ ความหวาดกลัวได้ปรากฏบนใบหน้าเลือนราง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม พยายามปลดพันธนาการของแสงศักดิ์สิทธิ์เก้ากระจ่าง หมายตั้งใจหลบหนีจากสถานการณ์วิกฤต
ทว่าในทันใดนั้น ขวานศึกสีม่วงที่ดูเหมือนจันทร์เสี้ยวได้เหวี่ยงลงมาจากท้องฟ้า และสะบั้นคอกระเด็นหลุดออกจากบ่า ด้วยความเร็วที่ฉับไวอย่างน่าเหลือเชื่อ!
ฟิ่ว!
ฝนสีทองโปรยปรายลงมา ในขณะที่ชิวเชี่ยนหลิน เจ้านิกายเลิศจุติ และเป็นลูกหลานของมังกรปีศาจคำรามบรรพกาลก็สิ้นชีพลงที่นั่น เสียชีวิตทันทีและไม่มีโอกาสให้ดิ้นรนอีกต่อไป
เพราะมันเป็นการผสานโจมตีของราชันเซียนทั้งสาม!
เหตุการณ์นี้ทำให้มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ตกตะลึง จากนั้นจึงตระหนักได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในเวลาเช่นนี้ก็ไม่อาจใส่ใจต่อเรื่องอื่น ๆ ได้ และเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา พร้อมกับพุ่งไปทางด้านข้าง
“อู๋เซียงจื่อ! ยังจะซ่อนตัวอยู่อีกหรือ?!”
โครม!
ขวานยักษ์สีดำได้ทะลุทะลวงผ่านผืนฟ้า ฉีกรอยแยกขนาดมหึมาในอากาศที่อยู่ห่างออกไปสองแสนห้าหมื่นลี้อย่างแรง จากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากรอยแยกนั้น
ร่างนี้โปร่งแสงและมีรูปร่างเหมือนกิ่งไม้คดเคี้ยวที่แกว่งไกวไม่รู้จบ ทันทีที่ร่างนี้ปรากฏตัว เขาก็แปลงร่างเป็นชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผมสีม่วง ริมฝีปากสีม่วง และสวมชุดสีม่วง
คนผู้นี้คืออู๋เซียงจื่อ
“ฮึ่ม! ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน เมื่อใดที่เราพบกันที่เทวาคารบรรลุเทพ เมื่อนั้นจะเป็นเวลาตายของเจ้า!” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีม่วงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา ก่อนที่ร่างจะวูบไหว และบินหลบหนีไปทันที
ตู้ม!
ทันใดนั้น ปราณกระบี่แสง แสงหลากสีเก้าดวง และขวานศึกสีม่วงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกันในอากาศ และพวกมันก็ฟาดฟันใส่เขาโดยไม่คิดเปิดโอกาสให้ได้ตั้งตัว
ตู้ม!
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีม่วงเผยให้เห็นรอยยิ้มประหลาด ก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นดวงแสงนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกไปทุกทิศทาง
ด้วยพลังทำลายจากการผสานโจมตีของสืออวี๋ เซียงหลิวหลีและเตียนเตี้ยน พวกเขาจึงสามารถทำลายดวงแสงส่วนใหญ่ได้ ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่หายไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายเมื่อเห็นสิ่งนี้ ความรู้สึกไม่พอใจพวยพุ่งอยู่ในอก
“พี่ใหญ่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์” สืออวี๋และคนอื่น ๆ รีบทะยานเข้ามา จากนั้นเฉินซีก็เข้าไปทักทายอีกฝ่ายทันที
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ไอ้หนู ไยถึงมาที่นี่ได้เล่า? ไม่กลัวความตายหรือ?” ร่างของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์สว่างวาบ ก่อนจะแปลงกายเป็นร่างที่สูงเพียงสิบจั้งสี่ฉื่อ กวาดดวงตาผ่านสืออวี๋และคนอื่น ๆ ก่อนจะหยุดที่ชายหนุ่มตรงหน้า จากนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดแน่นพลางถอนหายใจยืดยาว
เฉินซีตกตะลึง เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่า สิ่งแรกที่ผู้เหยียบสวรรค์จะกล่าวหลังจากที่พบเขาจะแข็งทื่อเพียงนี้ ทว่าเฉินซีก็สัมผัสได้ว่า มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์นั่นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนและไม่มีเจตนาร้าย
“เจ้าวัวเฒ่า! เราอุตส่าห์ช่วยเจ้า ไม่คิดจะขอบคุณเราเลยหรือ?” สืออวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ แล้วพวกเจ้าจะช่วยข้าหรือ? ถ้าต้องขอบคุณใครสักคน ข้าก็ควรจะขอบคุณเขา!” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ชี้ไปที่เฉินซี และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
สืออวี๋และเซียงหลิวหลีต่างจ้องมองกัน ทั้งคู่ต่างกล่าวไม่ออก “เจ้าวัวเฒ่านี่ยังคงไร้เหตุผลจริง ๆ”
“ว่าแต่พี่ใหญ่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ทำไมท่านถึงได้ต่อสู้กับพวกมัน?” เฉินซีรีบเปลี่ยนหัวข้อ เขาสัมผัสได้ว่า ลึก ๆ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ไม่ยอมรับสืออวี๋และเซียงหลิวหลี ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะเห็นทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน
เตียนเตี้ยนจดจ้องมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ คล้ายจมอยู่ในภวังค์ และไม่ได้กล่าวคำใด
“เฮ้อ นิกายยุคแรกกำเนิดล้วนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ถอนหายใจ
ปรากฏว่า ตั้งแต่ซากโบราณสถานแรกกำเนิดกลายเป็นจุดเริ่มต้นกลียุคของสามภพ นิกายแรกกำเนิดทั้งหมดล้วนกังวลต่อความปลอดภัยของตนเอง และกำลังแสวงหาหนทางเอาตัวรอด แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาคือโลกภายนอก
บางนิกายตั้งใจที่จะสร้างนิกายใหม่ในภพเซียน ในขณะที่บางนิกายเลือกที่จะเข้าร่วมกองกำลังของนิกายอำนาจเทวะ
ในระหว่างการเดินทางไปยังภูมิภาคบรรลุเทพ เหล่านิกายของยุคแรกกำเนิดที่ไม่ได้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากการกดขี่ข่มเหงเต็มรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมือของชิวเชี่ยนหลินและอู๋เซียงจื่อ ซึ่งเป็นเจ้าสำนักนิกายเลิศจุติและนิกายวิญญาณมาร
กองกำลังทั้งสองนี้ได้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดนัก
เดิมทีสืออวี๋และคนอื่น ๆ คิดว่านิกายอำนาจเทวะส่งซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวมาที่นี่เท่านั้น ซึ่งอย่างมากก็น่าจะได้รับความร่วมมือจากนิกายยุคแรกกำเนิดเพียงสองหรือสามนิกาย ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงเพียงนี้
“มีกี่นิกายที่เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ?” สืออวี๋เอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ย่นริมฝีปากของเขาด้วยสีหน้าหดหู่ “ถ้าข้ารู้ ข้าจะถูกไอ้สารเลวสองคนนั้นหลอกได้อย่างไร?”
ที่เขาถูกไล่ล่าก่อนหน้านี้ เป็นเพราะถูกหลอกโดยชิวเชี่ยนหลินและอู๋เซียงจื่อ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกคับแค้นใจเช่นนี้
“ดูเหมือนสถานการณ์จะย่ำแย่จริง ๆ” ความเคร่งเครียดเข้าปกคลุมใบหน้าของสืออวี๋ทันที เพราะก่อนหน้านี้ เขาทราบแล้วว่า เล่อเชียนโฉวจากนิกายสววรค์สุญตาและเป่ยห่าวหลิงจากนิกายหมื่นวิถี ร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะเพื่อทำลายล้างกลุ่มของพวกตน ทว่าสุดท้าย พวกเขาก็ถูกซุ่ยเหรินถิงใช้เป็นเครื่องสังเวย จนซุ่ยเหรินถิงเกือบกำราบพวกตนได้สำเร็จ
ในวันนั้น เฉินซีได้ช่วยพวกเขาไว้ แต่ครั้งต่อไปล่ะ?
“เท่าที่ข้าทราบมา มีนิกายยุคแรกกำเนิดประมาณเก้านิกายที่มาถึงภูมิภาคบรรลุเทพในครั้งนี้ นอกจากนิกายเอกวิถีที่ข้าเป็นตัวแทนแล้ว ยังมีอีกแปดนิกาย” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์รู้ว่าสถานการณ์นั้นร้ายแรงเพียงใด เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาก็กล่าวทันที “ในกรณีที่เลวร้ายกว่านั้น พวกมันทั้งหมดอาจกำลังร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะ”
“ช้าก่อน ปัจจุบัน เจ้านิกายสวรรค์สุญตา นิกายหมื่นวิถี และนิกายเลิศจุติได้สิ้นชีพแล้ว ดังนั้นจึงเหลือนิกายยุคแรกกำเนิดเพียงห้านิกายเท่านั้น ในบรรดานิกายเหล่านี้ เราสามารถยืนยันได้ว่า อู๋เซียงจื่อ เจ้านิกายวิญญาณมาร ได้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีอีกสี่นิกายที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูหรือมิตร”
เซียงหลิวหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ดังนั้นกรณีที่เลวร้ายที่สุด ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวอาจร่วมมือกับราชันเซียนอีกห้าคน”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ในทางกลับกัน หากมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา เราก็จะมีราชันเซียนสี่คน ดังนั้นเราอาจพอรับมือพวกมันได้”
หลังจากที่ได้ยินการวิเคราะห์ของเซียงหลิวหลีแล้ว สืออวี๋และเตียนเตี้ยนก็พยักหน้าเห็นด้วย และสีหน้าของพวกเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์กลับยิ้มเย้ยหยัน “ข้าบอกตอนไหนว่าข้าจะร่วมมือกับพวกเจ้า”
“พี่ใหญ่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ถ้าท่านอยู่เพียงลำพัง…” เฉินซีกล่าวด้วยความกังวล
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็กล่าวขัดด้วยความโกรธทันที “เอาละ เอาละ! ข้าจะฟังเจ้า ไอ้หนู พอใจหรือยัง?”
สืออวี๋ เซียงหลิวหลี และเตียนเตี้ยนลอบยิ้ม เพราะโดยปกติแล้ว มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ย่อมไม่เต็มใจที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เพราะคำพูดของเฉินซี ทำให้เขาสามารถตกปากรับคำได้โดยไม่ต้องเสียหน้า