ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 335 สาวกหญิงลัทธินอกวิถี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 335 สาวกหญิงลัทธินอกวิถี

ตอนนี้บนท้องฟ้าส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วผืนฟ้า ร่างแยกทั้งสองร่างของเทพวิญญาณโยวจิงสู้กับผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่สามคน สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าดิน

อีกทั้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่นี่เท่านั้น แต่ยังพุ่งไปบนท้องฟ้า ที่ปลายขอบฟ้าไกลจนสุดสายตานั่นก็ยังโหมโรมรันกันสุดกำลัง

ทุกอย่างบนพื้นดิน พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่สนใจอะไรแล้ว ยิ่งไม่อาจเสียสมาธิได้

ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามดวงจิตของจักรพรรดิภูต เทพวิญญาณโยวจิงแม้จะอยู่ในระดับหวนคืนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง แต่ความไม่ธรรมดาของชาติกำเนิดทำให้กำลังรบของนางน่าครั่นคร้าม เทียบได้กระทั่งขั้นสูงสุดของขั้นที่หนึ่ง

สิ่งที่เกินสมควรไปยิ่งกว่านั้นคือนางยังมีความเป็นอมตะ นอกเสียจากว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณจะแตกดับพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นพลังชีวิตของนางไร้ขีดจำกัด

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมหลายปีก่อนหน้านี้โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันจึงไม่ได้ลงมือกับสามเทพวิญญาณ ทั้งสามตนนี้จัดการยากเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่า วันนี้โถงครองกระบี่มาด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องชนะ ดังนั้นการลงมือของสามผู้อาวุโสโถงครองกระบี่ก็ทำให้เทพวิญญาณโยวจิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปในทันที จำต้องเข้าโรมรัน ต่อสู้อยู่บนท้องฟ้าสูง ยากจะไปสนใจบนพื้น

บนพื้น ในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงและนายกองพุ่งออกไป ทางด้านเยื้องไปทางขวาของพวกเขา บริเวณที่ห่างจากศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงอีกสิบกว่าจั้งตรงนั้น หญิงสาวชุดแดงกัดฟันคลาน

นางเห็นการกระทำชิงตัดหน้าของทั้งสองคนนั้นในใจเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่นางออกมาจากถ้ำ เนื่องจากผลเก็บเกี่ยวช่างน้อยนิดนักจึงคิดว่าจะไปดูที่อื่นสักหน่อย จนกระทั่งเห็นร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้ตกลงมา

หลังจากเห็นความอัศจรรย์ของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้ นางก็มุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เป้าหมายก็คือศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้

จากข้อมูลที่นางถืออยู่ ร่างแยกของเทพวิญญาณโยวจิงล้วนเป็นประเภทต้นไม้วิญญาณ และจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตัวตนประเภทนี้คือส่วนศีรษะ

“บนร่างของสองคนนี้มีการปิดบังอำพราง มองหน้าตาที่แท้จริงและเป็นคนของขั้วอำนาจใดไม่ออก” สายตาของหญิงชุดแดงเย็นเยียบ ขณะกัดฟันเคียวยมทูตผีร้ายข้างกายก็แผ่ประกายแสงสีดำ

เพียงพริบตา ภายใต้การเพิ่มพลัง ความเร็วของเด็กสาวชุดแดงคนนี้ก็เร่งเร็วขึ้น ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

แต่จะอย่างไรก็ช้าไปแล้ว

ตอนนี้สวี่ชิงและนายกองตอนนี้แบกรับพลังกดดัน ปีนไปถึงบริเวณจมูกของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงแล้ว

เนื่องจากร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงตนนี้สูงใหญ่นัก ดังนั้นสวี่ชิงและนายกองอยู่บนใบหน้าของร่างแยกตนนี้ก็เหมือนกับไส้เดือนสองตัว

ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังดูดซับอยู่ที่สองข้างจมูกของร่างแยกนี้อย่างสุดกำลัง ข้างๆ พวกเขาก็คือรูจมูกที่มีความสูงเลยหัวคน

การดูดซับของนายกองนั้นบ้าคลั่งมาก เขากอดปีกจมูกเอาไว้ ใบหน้าของเขาที่ปรากฏในรูม่านตาตอนนี้กำลังลืมตาอยู่ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

แต่กลับมีแรงดูดอย่างทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากรูขุมขนทุกอณูบนร่างของเขา ดูดซับสุดกำลัง

ปีกจมูกข้างที่เขาดูดซับค่อยๆ กลายเป็นสีเทา สีต่างไปจากสีผิวปกติเล็กน้อย

สวี่ชิงก็ไม่น้อยหน้า ตอนนี้ในดวงตาฉายประกายวาววาบ มือขวาขณะเงื้อขึ้นก็โคจรวิชาพรางมารยาชิงมรรคาขึ้น ทำให้มือขวาโปร่งแสงทันที ก่อนจะแตะไปที่ปีกจมูกข้างหน้า

แม้จะไม่สามารถทะลุไปจนสุด แต่ก็ทะลุเข้าไปได้ประมาณหนึ่งชุ่น

พลังเซียนมหาศาลทะลักเข้ามาในร่างสวี่ชิงทันที ส่วนเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระเห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับภาพนี้ดี ตอนนี้ต่างเริงร่า แผ่ออกไปดูดซับเช่นกัน

เจ้าเงาปกคลุมไปบนผิวที่อยู่ข้างๆ ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระ…เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าสวี่ชิงว่าจะทะลวงขั้นในสามเดือนเมื่อตอนก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงร้อนอกร้อนใจ สู้สุดตัวบินเข้าไปในรูจมูกร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงทันที…

สวี่ชิงกวาดตามองแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจ ตอนนี้ผิวใต้เสื้อผ้าร้อนลวก ภาพสัญลักษณ์วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณฉายวาบ วิหคทองที่อยู่ในนั้นลืมตาขึ้นมา

แต่ว่าภายใต้การควบคุมจากสวี่ชิงไม่ได้ปล่อยให้วิหคทองแผ่ออกไป แต่เคลื่อนไปตามแขนของเขา ผสานไปในปีกจมูก ดูดซับที่นี่

ในขณะที่เสียงร้องอย่างเริงร่ายินดีของวิหคทองดังก้องในใจสวี่ชิง บนผิวใต้ร่มผ้าที่คนอื่นมองไม่เห็น ภาพสัญลักษณ์วิหคทองขยับเคลื่อนไหว หางไม่มีสิบสามหางอีกต่อไป แต่มีถึงสิบเจ็ดหางแล้ว

ตอนนั้นวิหคทองกลืนกินเมี่ยเหมิง หางก็มีถึงสิบสามหางแล้ว ภายหลังสวี่ชิงสู้กับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง วิหคทองยกระดับขึ้นสองขั้น สิ่งที่แสดงให้เห็นหลักๆ ไม่ใช่หางแต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและคุณสมบัติภายใน ดังนั้นหางก็ยังคงมีสิบสามหางเช่นเดิม

แต่หลังจากที่ยกระดับขึ้นพลังแท้จริงเพิ่มขึ้น ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้หางทั้งสิบเจ็ดหางปกคลุมอยู่บนผิวของสวี่ชิงไปครึ่งตัว ต่อให้มีเสื้อผ้าบดบัง แต่ความร้อนก็ยังแผ่ออกมา

เห็นเป็นเช่นนี้ ประกายในดวงตาสวี่ชิงฉายวาบ บังคับวิหคทองดูดซับสุดกำลัง

ดังนั้น เพียงพริบตา ปีกจมูกข้างหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า และจากการถ่ายทอดเข้ามาจากพลังมหาศาลเช่นนี้ วังสวรรค์วังที่สามในร่างสวี่ชิงก็แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้ วังสวรรค์วังที่สามของเขาก็แปรสภาพเป็นวัตถุจริงไปแล้วกว่าครึ่ง ตอนนี้ภายใต้การไหลทะลักเข้ามาของพลังเซียน เพียงพริบตาก็แปรสภาพไปถึงเก้าส่วน จนใกล้จะถึงสิบส่วนแล้วเต็มที ขาดอีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น!

นี่คือขีดจำกัดสูงสุดของการแปรสภาพมายาให้เป็นวัตถุจริง

เสี้ยวสุดท้ายต้องบรรจุแก่นลมปราณที่ก่อตัวขึ้นเข้าไปถึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และแก่นลมปราณของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ ทุกเม็ดล้วนพิถีพิถันมาก ต้องคิดให้ดีก่อนล่วงหน้าว่าจะใช้วิธีการใดก่อมันขึ้นมา

โดยปกติแล้ววัตถุภายนอกก็เป็นทางหนึ่ง ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์หลายคนในบรรดาแก่นลมปราณหลายเม็ดของตัวเอง ก็จะมีสามสี่เม็ดที่เลือกเอาไว้เช่นนี้ และวัตถุภายนอกแปรสภาพเป็นแก่นลมปราณเมื่อสะกดเอาไว้ในวังสวรรค์แล้ว ก็จะทำให้วัตถุภายนอกกลายเป็นของวิเศษแก่นวิญญาณของตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่นตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้

ตัวเองก่อแก่นลมปราณขึ้นมาเองก็เป็นอีกทางหนึ่ง วิธีนี้ส่วนมากคือใช้เคล็ดวิชาของตัวเองประทับก่อขึ้น หากสำเร็จก็จะทำให้พลานุภาพของเคล็ดวิชาหรือวิชาตัวเองพุ่งเพิ่มมหาศาล

ดังนั้นการเลือกตัดสินใจเลือกของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณล้วนแตกต่างกันไป

แผนของสวี่ชิงคือจะใช้ลูกกลอนพิษต้องห้ามที่เปิดได้จากกล่องปรารถนาของตัวเองเม็ดนั้นเป็นแก่นลมปราณเม็ดแรกของตัวเองหลังจากที่ใช้ตะเกียงแห่งชีวิต มาสะกดไว้ในวังสวรรค์วังที่สาม

แต่ว่าที่นี่ผู้คนมากมาย เขาไม่สะดวกจะเอาลูกกลอนพิษต้องห้ามออกมา ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งสวี่ชิงก็ลองดูดซับพลังเซียนมาไว้ในวังสวรรค์วังที่สี่ แต่ไม่นานสวี่ชิงก็พลันรู้แจ้ง

พลังเซียนที่ผสานเข้าไปในวังสรรค์วังที่สี่ ไม่สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นวัตถุจริงได้ เหมือนมีเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่งขวางกั้นเอาไว้

ทำให้พลังเซียนทำได้แค่รวมอยู่นอกวังสวรรค์วังที่สี่ สะสมไม่ขาดสาย แต่ไม่สามารถหลอมผสานเข้าไปได้

เห็นได้ชัดว่าการยกระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์จะต้องดำเนินไปทีละก้าว ลุล่วงหนึ่งวังจึงจะเปิดวังที่สองได้

ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นได้เพียงมายาเท่านั้น

แต่นี่ก็ไม่เป็นไร แม้จะผสานหลอมรวมตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังสะสมอยู่ในทะเลความรู้สึกของเขา รอเมื่อลูกกลอนพิษต้องห้ามของเขาสะกดไว้ในวังที่สาม ค่อยผสานพลังเซียนเข้าไปในวังที่สี่ก็ได้แล้ว

ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เพิ่มแรงดูดซับต่อไป ทำให้พลังเซียนในทะเลความรู้สึกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นภาพที่ทำให้สวี่ชิงไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้น

จากการดูดซับไม่หยุด จากความเข้มข้นของพลังเซียนในทะเลความรู้สึก เขาจักรพรรดิภูตที่เขาลอกเลียนแบบย้ายมาในทะเลความรู้สึก จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนขึ้น ในนั้นแผ่แรงดูดมหาศาลกลุ่มหนึ่งออกมา เหมือนวาฬสูบกลืน ดูดซับพลังเซียนรอบๆ ไปในทันที

จากการดูดซับนี้ เงาร่างของเขาจักรพรรดิภูตก็ยิ่งเปล่งประกายพร่างพราย และเกิดเค้าโครงรางเลือนขึ้นมา

และเค้าโครงนี้…สวี่ชิงเห็นเพียงปราดเดียวก็จำได้ นั่นเหมือนจะเป็นใบหน้าของตัวเอง

เพียงแต่ตอนนี้ยังรางเลือนมาก เขาไม่แน่ใจเท่าไรนัก

นี่ทำให้สวี่ชิงในใจนึกแปลกใจ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมาก สวี่ชิงหลังจากที่ครุ่นคิดก็ไม่ได้เลิกดูดซับ

ไม่นานนัก ปีกจมูกร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงที่มือขวาสัมผัสก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีเทา อีกทั้งยังแผ่ลามไปรอบๆ ด้วย ส่วนพลังเซียนที่ดูดซับไปในกาย ก็ไหลทะลักไปยังภูเขาจักรพรรดิภูตไม่ขาดสาย

ภูเขาจักพรรดิภูตทำให้สวี่ชิงมีความรู้สึกพิเศษมากอย่างหนึ่งรางๆ มันเหมือนจะต่างออกไปจากภูเขาจักรพรรดิภูตของจริงที่เขาเคยเห็นไปแล้ว

แม้จะมาจากที่นั่น แต่ในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงตอนนี้ หลังจากผ่านการหล่อเลี้ยง ภูเขาจักรพรรดภูตลูกนี้เหมือนแยกและเป็นอิสระออกมา…ที่สำคัญที่สุดคือภูเขาจักรพรรดิลูกนี้ก็เหมือนจะแปรสภาพจากมายาเป็นวัตถุจริงเช่นกัน อีกทั้งยังมีการเชื่อมโยงติดต่อซับซ้อนกับเขาอีกด้วย

การค้นพบนี้ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เขาตัดสินใจว่าจะถามท่านอาจารย์หลังจากนี้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรกันแน่

ในยามที่สวี่ชิงขบคิดอยู่ทางนี้ ทางนายกองทางนั้นก็กำลังดูดซับอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นไม่นานนักจมูกของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงก็กลายเป็นสีเทาไปเป็นแทบ ขยายแผ่ลามออกไปเป็นบริวเณกว้าง

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงชุดแดงในที่สุดก็มาถึง นางมองนายกองและสวี่ชิงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ทั้งคนรีบปีนไปที่หว่างคิ้วของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง ดูดซับอยู่ตรงนั้น

การดูดซับของนางก็รวดเร็วทรงพลังนัก ผีร้ายบนเคียวยมทูตปรากฏออกมา ในขณะที่ช่วยดูดซับ ข้างหลังของหญิงชุดแดงคนนี้ก็มีภาพประหลาดปรากฏขึ้น

ภาพประหลาดนั่นคือทะเลสาบเลือดสีแดงฉานผืนหนึ่ง

การปรากฏขึ้นของทะเลสาบนี้แผ่จิตสังหารและรังสีอำมหิตน่าครั่นคร้ามออกมา เหมือนว่าเลือดในนั้นแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายที่ยากบรรยาย

แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏขึ้น สวี่ชิงก็พลันเงยหน้ามองไปทันที วิหคทองในกายของเขาก็แผ่ความดุร้ายออกมาในเสี้ยวขณะนี้ จับเป้าหมายไปที่ทะเลสาบเลือดข้างหลังหญิงสาว

‘เคล็ดวิชาระดับจักพรรดิ อีกทั้งดูจากระลอกคลื่นพลังแล้วไม่ใช่ขั้นหนึ่ง แต่เป็นขั้นที่สอง!’ ปฏิกริยาแบบนี้ของวิหคทองทำให้สวี่ชิงกระจ่างแจ้งในทันที นายกองที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าทันทีเช่นกัน ในดวงตาฉายประกายประหลาด เอ่ยขึ้นเสียงเบา

“ตำนานเล่าว่าลัทธินอกวิถีที่มีสาวกทั่วหมื่นเผ่า นับถือเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณที่ต่างออกไป บนแท่นพิธีของพวกเขาเมื่อหลายปีก่อนมีเทพชะตาลงมาเยือนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ มอบเมล็ดพันธุ์มรดกเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิแยกออกเป็นเก้าสายแตกต่างกันไปให้กับลัทธินอกวิถี

“แต่เงื่อนไขการสัมผัสรับรู้ยากลำบากนัก มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับการถ่ายทอดสำเร็จ หนึ่งในนั้นเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดให้กับสายที่นับถือจักรพรรดิโบราณสายนี้ชื่อว่าวิถียมโลกทะเลโลหิต วิชานี้มีจุดเด่นคือไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว อีกทั้งยังสามารถสังเวยเซ่นไหว้ให้แดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การยกระดับขั้นรวดเร็วมาก แต่ขั้นตอนการสังเวยเซ่นไหว้จะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ส่วนมากล้วนดับดิ้น!”

หญิงสาวชุดแดงมองนายกองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ดูดซับต่อไป

นายกองหรี่ตา เร่งความเร็ว สวี่ชิงเองก็เช่นกัน

ทั้งสามคนต่างดูดซับอย่างบ้าคลั่งบนใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงไปเช่นนี้เอง ไม่นานนัก ใบหน้าของร่างแยกร่างนี้จากจมูกและหว่างคิ้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เชื่อมเป็นผืนเดียว ใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงก็หลายเป็นสีเทา เหมือนใบหน้าของคนตาย

กระทั่งว่าบางที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว

เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงตัดสินใจหยุดมือ เขาคิดว่าไปตอนนี้ยังทัน หากลงมือต่อไป ทันทีที่ใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงกลายเป็นสีดำ เช่นนั้นก็จะสุดุดตาเกินไป

คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็เงยหน้าทองไปทางนายกอง หลังจากส่งสัญญาณสายตาให้ก็จะจากไป

ทางนายกองทางนั้นเห็นสายตาของสวี่ชิง แล้วมองไปทางหญิงสาวชุดแดงที่ยังดูดซับอยู่แวบหนึ่ง ในใจก็แอบพูดว่าครั้งนี้คนที่ต้องเป็นแพะรับบาปก็จะไม่ใช่ตนแล้ว

ดังนั้นแล้วสองมือจึงคลายจากปีกจมูกร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงที่คว้าเอาไว้ ภายใต้แรงผลักร่างของเขาก็หอบม้วนไปไกลทันที สวี่ชิงกำลังจะปล่อยมือ แต่ตอนนี้เอง…

จู่ๆ แสงสีทองกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากใบหน้าสีเทาของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้ นั่นเป็นเลือดสีทองหยดหนึ่ง

“โลหิตเต๋าหวนคืนสู่อนัตตา!!” ภายใต้แรงผลักนั่น นายกองที่ร่างถอยหลัง เมื่อเห็นภาพนี้ก็ร้องออกมาเสียงหลง ทั้งคนเปลี่ยนมาบ้าคลั่ง คิดจะไล่ตามไป แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจทำได้ในเวลาสั้นๆ

สวี่ชิงใจสั่นสะท้านเฮือก ภูเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของเขาก็สั่นสะเทือนรุนแรงเช่นเดียวกัน คล้ายว่าถูกเลือดสีทองหยดนี้ดึงดูด

หญิงสาวชุดแดงก็ลมหายใจหอบถี่เช่นกัน ในดวงตาฉายประกายวาววับ ร่างพลันทะยานออกไป พุ่งดิ่งไปยังโลหิตเต๋าสีทองนั่น

แม้นางจะเร็ว แต่สวี่ชิงเร็วกว่า พุ่งออกไปเพียงเสี้ยวพริบตา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท